บทที่ 27 การปะทะของสุดยอดพลัง
บทที่ 27 การปะทะของสุดยอดพลัง
ประตูบานใหญ่เปิดออก เด็กสาวเดินผ่านบานประตูนั้นเข้าไป เบื้องหน้าเธอคือห้องโถงกว้างใหญ่ รอบข้างซ้ายขวาเต็มไปด้วยผู้คนที่สวมชุดคลุมแปลกประหลาด สายตาจับจ้องมาทางเด็กสาวเป็นจุดเดียว เธอเดินตรงผ่านเส้นพรมสีแดงเข้าไปโดยไม่มีท่าทีไหวหวั่น สุดระยะสายตาของเธอมีร่างของชายชราผู้หนึ่งยืนรออยู่
ท่ามกลางประกายแสงเจิดจ้าซึ่งมาจากโคมไฟระย้าหลายจุดทั่วห้องโถง มีรูปปั้นมากมายที่ถูกสร้างขึ้นด้วยรูปลักษณ์เหมือนจริงจนมองดูคล้ายกับว่ามันมีชีวิตอยู่ ชายชราที่สุดปลายห้องโถงมองตรงมาทางเด็กสาวเรือนผมสีน้ำเงินซึ่งกำลังเดินเท้าเปล่าเข้ามา ร่างกายเธอสวมเพียงเสื้อคลุมสีขาวเท่านั้น
“นับแต่นี้เป็นต้นไป...เจ้าจะต้องกลายเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์แห่งเอนด์เลส” ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าพร้อมยอมรับชะตากรรมที่ไม่อาจดับสูญนี้ได้หรือไม่”
“ข้ายอมรับ” เด็กสาวก้มหน้าลงน้อมรับคำพูดนั้นด้วยคำสาบานที่มาจากใจจริง
สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ภายในเขตแดนของอาณาจักรในการครอบครองของตระกูลเมโลเดีย มันถูกเรียกว่าอาณาจักรเอนด์เลส ซึ่งเป็นดินแดนที่ถูกหิมะปกคลุมหนาเตอะตลอดทั้งปี
สถานที่แห่งนี้ไม่มีปรากฏอยู่ในแผนที่โลก เนื่องจากมันเป็นดินแดนมายาที่มีตัวตนอยู่ภายในเอทาเนียร์
“เนื่องในวาระสำคัญที่บุตรีแห่งข้าผู้ครอบครองอาณาจักรเอนด์เลส หนึ่งในสามเสาหลักของจุดสูงสุดแห่งโลกเวทมนตร์ ตัวข้า ฟีร์ลานีน เอนด์เลส เมโลเดีย ขอประกาศแก่ทุกผู้คนที่อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้เพื่อร่วมเป็นสักขีพยาน” ชายชราก้าวเท้าขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวก่อนจะชูมือขึ้น พลันนั้นปรากฏแสงสว่างเรืองรองบนฝ่ามือ แสงนั้นเจิดจ้าก่อนจะหายไปและปรากฏไม้เท้ายาวขึ้นมาหนึ่งด้าม
“ในวาระสำคัญของพิธีบรรลุนิติภาวะของ ฟาร์ชูลัน เอนด์เลส เมโลเดีย จะดำเนินขึ้นและจบลงที่นี่ และนับจากนี้บุตรีแห่งข้าคนนี้จะมีสิทธิ์ในการครอบครองอำนาจแห่งพลังอันไร้ขอบเขตอย่างสมภาคภูมิและถูกต้องตามธรรมเนียมสืบต่อกันมา”
ฟีร์ลานีนเดินเข้าไปหาฟาร์ชูลัน หัวไม้เท้าที่ประดับลูกแก้วสีน้ำเงินไว้ส่องแสงเรืองรองออกมา เขายื่นไม้เท้าเข้าไปสัมผัสกับหน้าผากของฟาร์ชูลันซึ่งอยู่ในท่านั่งคุกเข่าหนึ่งข้าง มือข้างหนึ่งของเธอแนบเข้ากับลำตัว หญิงสาวหลับตาลงพร้อมน้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
ชะตาแห่งเอนด์เลสจะอยู่คู่เคียงเจ้าเสมือนเงา
จะไม่มีหนทางใดที่จะแยกห่างจากชะตากรรมนี้ได้
แสงสว่างจำนวนมากหลั่งไหลเข้าหาตัวของฟาร์ชูลัน เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะ จนกระทั่งสติดับวูบไป
“ฮ้า!”
ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลงขึ้นมาฉับพลัน หัวใจของเธอเต้นถี่รัวราวกับตีกลอง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า สภาพที่เห็นทำเอาคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ตื่นตกใจขึ้นมา ด้วยความเหนื่อยล้าทำให้ฟาร์ชูลันเผลอหลับไปในขณะที่รอเรียกตัวเข้าสู่สนามประลองรอบสุดท้าย
“ทำไมถึงฝันเห็นเรื่องแบบนั้นขึ้นมาได้...”
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่เธอพึ่งจะบรรลุนิติภาวะในฐานะของแม่มดเต็มตัว พร้อมออกเดินทางสู่โลกภายนอก อย่างไรก็ตาม น้อยครั้งนักที่ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นจะตามมาหลอกหลอนเธอถึงที่นี่โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ นั่นทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ
ชะตาแห่งเอนด์เลสจะอยู่คู่เคียงเจ้าเสมือนเงา
เสียงในอดีตดังกังวานขึ้น ราวกับไม่ต้องการให้เธอหลงลืมโชคชะตาที่แบกรับไว้
ฟาร์ชูลันไม่สนใจสายตาคนรอบข้างที่มองเธอแปลก ๆ ในขณะนี้เธออยู่ในห้องเตรียมตัวของผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งมีบรรดาทีมงานมากมายคอยประเคนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มาให้ สักพักหนึ่งก็มีทีมงานคนหนึ่งเดินมาบอกว่าได้เวลาแล้ว เธอจึงลุกขึ้นเพื่อปรับอารมณ์ตนเองให้ดี ก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อเข้าสู่สนามประลอง
ห้องพยาบาล
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยร่างของผู้เข้าแข่งขันที่บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมตั้งแต่การแข่งขันในวันแรกจวบจนถึงวันที่สอง ทางกลุ่มอาจารย์แพทย์หรือแม้กระทั่งนักเรียนสายรักษาต่างก็ระดมฝีมืออย่างสุดกำลังเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของหลาย ๆ คนให้หายโดยไว
ภายในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง เรเนลเลี่ยนผู้บาดเจ็บจากการต่อสู้กับฟาร์ชูลันเมื่อวานถูกพามาส่งที่นี่ด้วยสภาพที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้เขาได้สติกลับมาดังเดิมแล้วแม้ว่าอาการบาดเจ็บจะยังมีอยู่ก็ตาม ในตอนที่ได้สติเขายังโวยวายอาละวาดอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะสงบลงแล้วทำใจยอมรับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนประสบพบเจอกับการต่อสู้ก็ทำเอาความมั่นใจที่เคยเต็มเปี่ยมเริ่มร่อยหรอขึ้นมา
“ยัยนั่นไม่ใช่แม่มด แต่เป็นปีศาจ!”
แน่นอนว่าสิ่งที่เรเนลเลี่ยนพูดออกมานั้นหมายถึงคำเปรียบเปรยความรู้สึกที่มีต่อฟาร์ชูลันเท่านั้น
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ เรเนลเลี่ยนหันไปมองยังทิศทางของบานประตูก่อนจะส่งเสียงบอกให้ผู้มาเยือนเปิดประตูเข้ามาได้ ในใจก็นึกสงสัยว่าใครกันที่นึกอยากมาเยี่ยมเขา เพราะถึงอย่างไรตัวเขาเองก็ไม่ใช่บุคคลเด่นดังพอให้มีใครอยากมาเยี่ยมขนาดนั้น
ทว่า...พอได้รู้ว่าเป็นใครที่เดินเข้ามา ลมหายใจของชายหนุ่มก็ติดขัดจนแทบจะถูกดับหายไปดื้อ ๆ ณ ตรงนั้น
เขาลนลานจนแทบบ้า ทั้งยังตะเกียกตะกายพยายามพาตนเองให้ลุกออกจากเตียงผู้ป่วย เพื่อที่จะลงไปหมอบราบกับพื้นห้อง
“นอนรักษาตัวต่อเถอะ”
เสียงพูดของผู้มาเยือนทำให้เขาหยุดการกระทำทุกอย่างที่กำลังดำเนินอยู่ เรเนลเลี่ยนแม้จะลงไปนอนบนเตียงตามเดิม แต่หัวใจยังคงเต้นถี่รัวราวกับจะหลุดออกมาจากแผ่นอกอันหนาแน่น
เพราะไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำ น้ำเสียง หรือใบหน้าก็ล้วนแต่มีน้ำหนักมากเพียงพอจะดับลมหายใจเขาได้ง่าย ๆ เพียงแค่เธอก้าวเดินมาหยุดอยู่ใกล้ในระยะที่ห่างเพียงเอื้อมมือคว้า
มีเพียงผู้เดียวในสถาบันที่สามารถทำให้ทุกผู้คนที่ได้พบเจอต้องเกิดอาการเช่นนี้ขึ้นมา
เจ้าตำหนักเมฆา ฟลอร์เลน
สายตาทั้งคู่ของเธอจับจ้องมายังดวงตาของเรเนลเลี่ยนที่ในตอนนี้ปรากฏความสั่นไหวออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เพียงแค่จ้องตากันครั้งเดียว กลับทำให้เรเนลเลี่ยนเกิดความรู้สึกขึ้นมามากมาย
นี่มันเป็นดวงตาของชนชั้นสูงที่คนอย่างเขาไม่สมควรสบตาด้วย!
เพียงแค่จ้องมองก็รู้สึกเหมือนความผิดพลาดทุกอย่างในชีวิตพลันสลายหายไปโดยทันที
เรเนลเลี่ยนคือนักเรียนเกรดแปดที่อยู่ภายใต้สังกัดของตำหนักเมฆาซึ่งปกครองโดยฟลอร์เลน ตัวเขาใฝ่ฝันมาตลอดว่าจะได้ต่อสู้เพื่อพิทักษ์เธอ ผู้ซึ่งเป็นคนที่เขาเคารพนบนอบจากหัวใจจริง เขาฝึกฝนอย่างหนักเพียงเพื่อที่จะได้เข้าใกล้เธอแม้สักนิด แต่ในยามนี้กลับเกิดสถานการณ์เกินความคาดหมายขึ้นมา เขาไม่นึกว่าคนใต้สังกัดที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักอย่างเขาจะทำให้เจ้าตำหนักอย่างเธอถึงกับเดินทางมาเยี่ยมด้วยตนเอง
“อาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฟลอร์เลนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เมื่อเป็นเรเนลเลี่ยนฟังเสียงนั้น เขากลับรู้สึกล่องลอยไปไกลราวกับว่าเสียงของฟลอร์เลนผสมเอาปุยนุ่นเข้าไปด้วย
“ดีขึ้นเยอะแล้วขอรับท่านเจ้าตำหนัก ข้าประมาทเกินไปเลยเอาชนะยัยแม่มดนั่นไม่ได้ ถ้ามีโอกาสอีกครั้งล่ะก็...!” เรเนลเลี่ยนพยายามหาคำพูดเพื่อไม่ให้ตัวเองดูด้อยค่าในสายตาของฟลอร์เลน เขากำหมัดแน่นเมื่อนึกถึงใบหน้าของฟาร์ชูลันผู้มอบความพ่ายแพ้ให้กับเขา
“ข้าไม่ได้ติดใจอะไร ต่อให้พยายามเต็มที่เจ้าก็เอาชนะเธอคนนั้นไม่ได้หรอก” แต่ฟลอร์เลนกลับเอ่ยคำพูดที่ไม่ทำให้เขาเกิดความหวังขึ้นมา วินาทีนั้นเรเนลเลี่ยนเหมือนตกลงไปในบ่อน้ำลึกที่ไม่มีวันปีนขึ้นมาได้ คำพูดของเธอบ่งบอกถึงความอ่อนหัดที่เขามีอย่างชัดเจน
“ให้ข้าดูบาดแผลของเจ้า”
“โอ๊ะ”
ฟลอร์เลนไม่พูดปากเปล่า เธอยื่นมือเข้ามาสัมผัสกายของเรเนลเลี่ยน สัมผัสจากมือของฟลอร์เลนทำให้เขาลืมเลือนเรื่องทุกอย่างไป
“อย่างนี้นี่เอง เวทมนตร์นี่...” ฟลอร์เลนเอ่ยออกมาก่อนจะหันหลังกลับไปทางประตูห้อง “รักษาตัวให้ดี” กล่าวจบก็เดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งให้เรเนลเลี่ยนต้องตกอยู่ในสภาพของคนที่มีใบหน้าสับสนเหมือนกับไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะต้องเดินอย่างไรต่อ...
สัญญาณการแข่งขันรอบชิงเริ่มต้นขึ้นพร้อมการประกาศผ่านไมโครโฟนของผู้บรรยายสด การต่อสู้ครั้งนี้ถูกถ่ายทอดสดออกทางทีวีหลายช่อง เป็นหลักฐานบ่งบอกว่าทางสถาบันต้องการจะโปรโมตการประลองครั้งนี้อย่างเต็มที่ ส่วนหนึ่งก็เพื่อต้องการจะดึงเหล่าคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาร่ำเรียนที่สถาบันหลังจากนี้ด้วย
นาฬิกาบ่งบอกเวลาสิบโมงซึ่งเป็นเวลาแห่งการเริ่มต้นการประลองแล้ว ทั้งฟาร์ชูลันและฟานต่างก็เดินขึ้นมาบนสนามประลองคนละฟากฝั่ง ตัวตนของทั้งคู่ดูเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับสนามประลองอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ทางผู้ชมที่อยู่โซนคนดูรอบข้างต่างก็รู้สึกลุ้นระทึกและตื่นเต้น เพราะฟอร์มการต่อสู้ของทั้งสองคนช่างดุดันไม่แพ้กันเลย
มีหลายเสียงวิเคราะห์ว่าฟานจะต้องเอาชนะได้อย่างไม่ลำบากมากนัก ในขณะที่มีหลายเสียงแย้งกลับมาว่าเวทมนตร์ของฟาร์ชูลันจะสร้างสถานการณ์ที่แสนลำบากให้กับฟาน เมื่อถกเถียงกันไม่ได้ข้อสรุปก็ต้องมารอลุ้นผลการต่อสู้บนสนามแข่งขันนี้เอาเอง
“ผมขอประกาศเริ่มต้นการต่อสู้ ณ บัดนี้!”
เสียงของผู้บรรยายดังขึ้นพร้อมกับเสียงเฮลั่นที่ดังมาจากผู้ชมที่อยู่รอบนอก ช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยในที่สุดก็ดำเนินมาถึง
ฟาร์ชูลันจ้องมองดูชายหนุ่มที่อยู่ไกลออกไปอย่างไม่วางตา เธอร่ายเวทมนตร์ใส่ร่างกายตัวเองไม่ต่ำกว่าห้าอย่างเพื่อเสริมสมรรถภาพทางกายให้สูงขึ้น รอบตัวยังมีบาเรียหนาสามชั้นซ้อนเพื่อป้องกันการจู่โจมอย่างกะทันหันที่อาจจะมาได้ทุกเมื่อ
ทางด้านของฟานเองก็ไม่ได้ประมาทเลย เขารู้ว่าฟาร์ชูลันต้องเตรียมพร้อมรับมือเขามาหลายอย่างแน่นอนจึงไม่กล้าผลีผลามบุกเข้าไปเหมือนอย่างที่เคยทำกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ เพราะในการต่อสู้กับผู้ใช้เวทมนตร์นี้ก็ถือเป็นครั้งแรกของเขาเช่นกัน การต่อสู้ระหว่างฟาร์ชูลันกับเรเนลเลี่ยนก็เป็นตัวชี้ชัดแล้วว่าไม่ควรทะเล่อทะล่าบุกเข้าไปแบบนั้น
ดังนั้นจึงต้องทิ้งระยะห่างให้มากทีสุด
“พลังปราณระดับเจ็ด”
มีเสียงเฮลั่นดังขึ้นมาจากโซนคนดูทันที
เพียงเริ่มเปิดฉากเขากลับใช้พลังปราณถึงระดับเจ็ด!
“อสรพิษพลิกเมฆา”
ฟาร์ชูลันเบนสายตาจากฟานขึ้นไปมองยังหมู่เมฆบนท้องฟ้า ที่นั่นมีแสงสว่างสีเขียวกระจายตัวออกมาเพียงชั่วครู่ก่อนจะปรากฏร่างมหึมาของอสรพิษที่มีดวงตาสีขาวโพลน มันพุ่งโฉบลงมาพร้อมกับส่งเสียงฟ่อดังจนชวนให้รู้สึกหวาดกลัวเป็นที่สุด
คมเขี้ยวของอสรพิษกัดเข้าไปที่ผิวบาเรียของฟาร์ชูลันอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้บาเรียชั้นนอกแตกกระจายหายไปในพริบตา เขี้ยวของมันยังทะลวงเข้ามาถึงบาเรียชั้นที่สองซึ่งทำท่าจะแตกตามไปอีกในไม่ช้านี้ ฟาร์ชูลันหยิบการ์ดออกมาสองใบ เธอเหวี่ยงการ์ดใบหนึ่งอัดใส่ใบหน้าของอสรพิษตัวนั้น ส่งผลให้เกิดแรงระเบิดขึ้นจนร่างของมันกระเด็นล่าถอยไปในที่สุด
ไม่รอช้า รีบขว้างการ์ดอีกใบไปทางอสรพิษตัวนั้น การ์ดใบนั้นส่องแสงสว่างออกมาก่อนจะระเบิดกลายเป็นกลุ่มควันจำนวนมาก ผ่านไปไม่ถึงสองวินาทีก็มีเสียงกระพือพัดสายลมอย่างหนักหน่วง ปัดเป่าเอากลุ่มควันพวกนั้นให้กระเจิดกระเจิงหายไปจนหมด
ปรากฏช่วงปีกขนาดมหึมาขึ้นสองฟากฝั่ง จะงอยปากแหลมคมยื่นออกมาให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัวเป็นที่สุด ดวงตาสีแดงสดจ้องมองร่างสีเขียวเข้มของพญางูที่อยู่เบื้องหน้า ปีกทั้งสองขยับไหวอยู่เบื้องบนเวหาก่อนจะค่อย ๆ ร่อนตัวลงมา รูปร่างของมันมีลักษณะใหญ่โตและล่ำสันกำยำคล้ายคลึงกับร่างกายของมนุษย์ ถ้าไม่นับว่ามีปีกกับหางและใบหน้าที่คล้ายคลึงกับนก
สิ่งที่ปรากฏออกมาสร้างความตื่นตาให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก
มันคือ พญาครุฑ!
หนึ่งในสิ่งมีชีวิตแห่งโลกมายาอันเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจที่กล้าแข็ง พญาครุฑถูกยกย่องให้เป็นสัตว์เทพที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และไม่ค่อยจะปรากฏตัวออกมาให้ผู้คนได้เห็นสักเท่าไรนัก
ฟาร์ชูลันถึงกับใช้เวทอัญเชิญพญาครุฑออกมาได้ สิ่งนี้มากกว่าที่สร้างความแตกตื่นให้กับทุกคนในที่นี้
พญาครุฑกระพือปีกอันกว้างใหญ่ พุ่งเข้าหาร่างของพญางูที่ขดตัวโฉบกลับเข้ามา มันแฝงพิษร้ายไว้ทั่วทุกอณูเขี้ยว เพียงสัมผัสโดนผิวกายเข้าหน่อยก็ยากที่จะรอดชีวิตได้
ทว่า...สิ่งที่เป็นปรปักษ์แก่บรรดาสัตว์ประเภทงูทั้งหลาย ต่อให้เป็นพญานาคมาเองก็ไม่ได้มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะพญาครุฑซึ่งเป็นเหมือนศัตรูฟ้าลิขิตของพวกมันได้ เพียงมันพุ่งเข้ามาก็โดนปลายเล็บของพญาครุฑตะปบเข้าที่ส่วนคอ เพียงออกแรงไม่มากก็บี้เนื้อส่วนนั้นจนแหลกเละคามือ พญาครุฑโยนร่างไร้วิญญาณของงูตัวนั้นทิ้งก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปทางชายหนุ่มซึ่งมีกลิ่นอายของอสรพิษแฝงอยู่
ฟานกางฝ่ามือออกทั้งสองข้าง มีดาบปรากฏออกมาสองเล่ม พญาครุฑเห็นท่าทางนั้นแล้วก็เดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายต้องการจะห้ำหั่นกับตน มันพุ่งตัวโฉบเข้าไปหมายจะสั่งสอนมนุษย์ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้
ทว่า...พลังปราณที่หลั่งไหลออกมาจากร่างของฟานกลับถ่วงรั้งร่างของพญาครุฑเอาไว้ พลังปราณระดับเจ็ดถึงกับทำให้พญาครุฑผู้หยิ่งผยองเกิดความรู้สึกสั่นไหวขึ้นมา และในชั่วเสี้ยววินาทีที่ตัวมันเผยช่องว่างนั้นเอง
ฉัวะ!!
ผิวกายอันหนาแน่นและแข็งแกร่งของพญาครุฑถูกคมดาบทั้งสองเล่มฟันผ่าร่างในพริบตาเดียว เลือดทะลักออกจากปากแผลก่อนที่จะสลายหายไปเป็นละอองแสงพร้อมกับเจ้าของร่าง ฟาร์ชูลันไม่คิดว่าพญาครุฑที่เธอเรียกมาต่อสู้แล้วพ่ายแพ้เป็นเรื่องน่าแปลก แต่สิ่งที่น่าแปลกกลับเป็นตัวมันที่ไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้เลยมากกว่า
“งั้นลองเจอนี่หน่อย” การ์ดหนึ่งใบฟาดลงบริเวณพื้นที่เธอยืนอยู่ ปรากฏวงแหวนเวทขนาดใหญ่ยักษ์ในพริบตาเดียว “ใครใช้ให้นายอยากเล่นของหนักตั้งแต่ต้น ดังนั้นเอากลับคืนไปบ้างคงไม่ว่ากันนะ!”
มหาเวทแห่งจักรวาล ดาบพิฆาตดารา
มีดาบแสงสีขาวสว่างลอยขึ้นมาจากวงแหวนเวทของฟาร์ชูลันเป็นจำนวนมากและยังทยอยออกมาเรื่อย ๆ เหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด พลังเวทมหาศาลแผ่อานุภาพออกมาจากตรงนั้นจนคนรอบข้างรู้สึกขนลุกซู่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่เมื่อนำความรู้สึกของพวกคนที่อยู่ภายนอกมาเทียบกับความรู้สึกที่ฟานสัมผัสได้ในตอนนี้ล่ะก็ คงจะต้องบอกว่ามันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
แม้จะสวมใส่เสื้อผ้ามากชิ้นยังไงก็ไม่อาจเลี่ยงความหนาวเหน็บที่ก่อเกิดขึ้นมาจากพลังเวทอันน่าหวาดหวั่นของฟาร์ชูลัน คมดาบจำนวนมากมายมหาศาลทะลักออกมาจากวงแหวนเวทราวกับว่านั่นคือหลุม พวกมันลอยเคว้งอยู่กลางอากาศเพียงชั่วครู่ก่อนจะชี้เป้ามาทางฟานและพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ภาพที่เห็นช่างดูคล้ายกับดาวตกที่กำลังตกลงมาเสียเหลือเกิน
ฟานเคลื่อนกายหลบการโจมตีพวกนั้นได้อย่างฉิวเฉียดทุกครั้ง บ้างก็มีที่ใช้พลังปราณระดับเจ็ดปัดป้องเอาคมดาบพวกนั้นออกไปทีละเล่มสองเล่ม เขาหลบหนีจากการโจมตีเหล่านี้อย่างทุลักทุเล ก่อนจะวาดปราณขึ้นเป็นเส้นแล้วปลดปล่อยฝูงงูออกไปต้านรับดาบพวกนั้นเอาไว้ แต่มีหรือที่งูจะต้านทานคมดาบได้ พวกมันถูกทะลวงร่างตายอย่างง่ายดาย
“จบแค่นี้ล่ะ”
คมดาบจำนวนมากพุ่งดิ่งเข้าหาร่างของฟานซึ่งตกเป็นเป้านิ่ง และในวินาทีที่จะตัดสินชัยชนะนั้นเอง
“พลังปราณระดับเจ็ด...”
ดาบสะบั้นใจ!
ดาบทั้งสองเล่มในมือเปล่งแสงและอำนาจออกมา ก่อนจะตวัดทำลายฝูงคมดาบจำนวนมากจนแตกกระเจิงหมดในพริบตาที่มันตวัดออกไป!
“ไม่จริง!” ฟาร์ชูลันคำนวณพลาด เธอคิดว่าแค่ใช้มหาเวทสักบทก็น่าจะจัดการเขาได้แล้ว แต่ไม่เลย มันไม่เป็นไปตามที่คิดเอาไว้...
ฟานพุ่งเข้าประชิดร่างของฟาร์ชูลัน ในมือเขาถือดาบเอาไว้ทั้งสองข้าง เขาทิ้งดาบเล่มหนึ่งออกไปก่อนจะใช้สองมือจับดาบอีกเล่มไว้แน่นขนัด ในขณะที่กำลังตะลึงกับมหาเวทที่ถูกทำลายอยู่นั้น ฟาร์ชูลันเผลอตัวเปิดช่องว่างขึ้นมาและปล่อยให้ฟานรุกเข้าประชิดได้
สวบ...
ความรู้สึกน่าสะพรึงตามมาหลังจากที่มีเสียงนี้ดังขึ้น พลันนั้นรอบข้างก็เงียบกริบลง
“ฟาร์ชูลัน!!!” กลับมีเสียงของซิลเวอร์ดังขึ้นมาจากโซนคนดูรอบนอก
แต่แทนที่ผลลัพธ์จะเป็นไปตามที่ทุกคนคิด มันกลับไม่ใช่แบบนั้น ร่างของฟาร์ชูลันค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนกับละอองผิวน้ำ ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
สัมผัสที่ดาบแทงเข้าเนื้อหนังนั้นเป็นของจริงไม่ผิดแน่ แต่ทำไม?
“พวกเราเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์มักมีคติอยู่อย่างหนึ่งก่อนออกรบ” ถ้อยเสียงใส ๆ ดังขึ้นบนเวหา ฟาร์ชูลันในสภาพที่ไร้รอยบาดแผลปรากฏตัวท่ามกลางความแตกตื่นของทุกคน
“พวกเราจะเตรียมพร้อมอยู่เสมอ” ฟาร์ชูลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ว่าจะเป็นการร่ายเวทมนตร์เสริมสมรรถภาพร่างกาย สร้างบาเรีย หรือแม้กระทั่งร่างปลอมที่เป็นเหมือนกับตัวตายตัวแทนของพวกเรา” ปริศนาถูกเฉลยออกมาแล้ว ที่แท้ฟาร์ชูลันที่โดนดาบแทงและหายไปนั้นเป็นเพียงร่างปลอมที่เธอสร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์เท่านั้น
“ฉันไม่ได้อยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรก แต่ก็ควบคุมผ่านจิตสำนึกของตัวเองเหมือนกับอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน งงมั้ย”
“ลูกเล่นเยอะจริง ๆ นะ” ฟานจับดาบในมือเป็นมั่นเป็นเหมาะอีกครั้ง “มีอะไรอีกรีบ ๆ งัดออกมาให้หมดเลยก็แล้วกัน”
“ใจเย็นสิ” หญิงสาวว่าพลางหยิบการ์ดออกมา
“เดี๋ยวก็รู้เองว่าจะมีอะไรออกมาอีก”
สีหน้าความมั่นใจของฟาร์ชูลันเป็นหลักฐานที่แสดงออกให้ฟานได้เห็นว่าการจะปราบเธอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแม่มดไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่กระจอกงอกง่อยถึงขนาดที่ถ้าจนมุมแล้วจะทำอะไรไม่ได้เลย ยิ่งเป็นตัวเธอ...เธอผู้เป็นถึงทายาทแห่งเอนด์เลสด้วยแล้วล่ะก็...
ไม่มีใครอาจหาญทำลายเจตจำนงแห่งเอนด์เลสได้
เสียงของอดีตดังขึ้นในจิตใต้สำนึกของเธอ ราวกับจะตอกตรึงลงในหัวใจไปตลอดกาล...