บทที่ 20 : ข่าวลือ
บทที่ 20 : ข่าวลือ
ลมหนาวเย็นเยียบพัดผ่านโพรงต้นเมเปิล ก่อเสียง ‘วืดวือ’ ในอากาศเข้ากันกับเสียงกระดิ่งลมมากมายหลายสิบพวงที่ห้อยอยู่ตามขื่อคานหลังคาไม้แบบฉบับดั้งเดิมของเผ่าจิ้งจอก ที่ถึงแม้จะจากบ้านบนหุบเขามาไกลถึงดินแดนเก่าแก่ของเอลฟ์ป่าอย่างเทรียลก็ยังนำวัฒนธรรมและประเพณีของตัวเองติดมาด้วย
แน่นอนว่านั่นรวมไปถึงว่าวตัวใหญ่ติดกระพรวนเล็กๆ ซึ่งคอยส่งเสีย ‘กรุ้งกริ้ง’ อยู่บนฟ้าและเทศกาลงานฉลองรับจันทร์เหมันต์ที่ชาวบ้านจะออกมาดื่มน้ำชาหรือสุราชมพระจันทร์เต็มดวงครั้งแรกในรอบฤดูหนาวที่กำลังจะจัดขึ้น
ถึงแม้ว่าดั้งเดิมแล้วมันควรจะมีหิมะขาวโพลนจนสะท้อนแสงนวลได้เต็มตา แต่เพราะเทรียลไม่ใช่หุบเขาหยกบ้านเกิดของเหล่าจิ้งจอก มันถูกห้อมล้อมด้วยป่าอาเคนสีม่วงและถึงอากาศจะหนาว แต่ทั้งปีก็มีหินมะตกเพียงแค่สามหรือสี่วันเท่านั้น ฉะนั้นมันจึงเป็นเทศกาลชมจันทร์ในแบบฉบับเฉพาะของเทรียล คือเอามาผสมกับเทศกาลชมดอกไม้หน้าหนาวของเอลฟ์ ใช้ดอกเหมันต์ขาวแทนหิมะ และตั้งโต๊ะใหญ่กลางแจ้งเลี้ยงอาหารซึ่งทำจากเนื้อที่ล่ามาได้ในการล่าสัตว์ประจำปีของชาวเกล็ด
และท่ามกลางบรรยากาศน่ารื่นเริงนั้นเอง บนถนนเส้นหลักตัดผ่านตลาดยังคงคึกคักไปด้วยผู้ที่มาจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากต่างแดนซึ่งมากกว่าปกติเป็นพิเศษด้วยใกล้เทศกาล อีกทั้งภายหลังจากเหตุการณ์บุกโจมตีที่ผ่านมานั้น ข่าวคราวที่ว่าสมาคมนักผจญของเทรียลมีเจ้าหน้าที่ระดับยอดฝีมือสังกัดอยู่ก็แพร่ซะพัดไปทั่ว ไม่แปลกอะไรหากนักผจญภัยฝึกหัดที่ยังไร้สังกัดจากหมู่บ้านใกล้เคียงจะเดินทางมาที่นี่ในวันนี้เพื่อเตรียมการทดสอบภาคพื้นฐานเพื่อขอรับอัตตะศิลา
แน่นอนว่ารวมไปถึงชายหนุ่มในชุดคลุมปกปิดศีรษะสีดำอมม่วงถักอย่างง่ายจากใยธรรมชาติด้วย เขาเดินผ่านตลาดด้วยท่าทางนิ่งเฉย ไม่สนใจสิ่งใดรอบตัวนอกจากเป้าหมายของตัวเองนั่นคือสมาคมนักผจญภัย ซึ่งได้รับการปรุงสร้างขึ้นใหม่ทั้งหลังด้วยงบประมาณไม่อั้น ทั้งยังขยายเพิ่มเติมส่วนต่างๆ ยกระดับขึ้นจนเทียบชั้นได้กับสมาคมในเมืองใหญ่ มีอุปกรณ์และส่วนปฏิบัติงานครบถ้วน รวมไปถึงส่วนใหม่ที่ได้เพิ่มเข้ามาคือสนามทรายขนาดใหญ่สำหรับการฝึก
และภายใต้ผ้าคลุมผืนนั้นเขาซ่อนกระเป๋ายาใบใหญ่ทำจากไม้หุ้มหนังสัตว์กันแทกเอาไว้อย่างดี บ่งบอกว่ามันอาจจะมีค่ามหาศาลจึงสมควรแก่การปกปิดจากสายตาของผู้คน
ทว่าถึงจะใช้ผ้าคลุมปกปิดตัวตนมาแล้ว แต่อย่างไรวิธีการเดินและการแสดงออกอันไร้จิตวิญญาณ ไม่สนสิ่งใดนอกจากหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนั้นเองที่ทำให้ทุกคนในตลาดรู้ว่าชายหนุ่มใต้ผ้าคลุมคือใคร
แม่ค้าร้านขายผ้าในตลาดได้เห็นท่าทางอันนิ่งเฉยที่เดินผ่านไปก็พลันทักทายเรียกชื่ออีกฝ่ายขึ้นมาเรียกสายตาของคนอื่นๆ ที่เดินอยู่ใกล้ๆ ให้ต้องหันมองหนึ่งในวีรบุรุษผู้ปกป้องหมู่บ้านเอาไว้ในวันวิบัติ
“วันนี้มาคนเดียวหรอจ๊ะ... ฮอรัส” สาวร่างอวบเอ่ยไปทางร่างในผ้าคลุม จนเจ้าของนามนั้นจำต้องหยุดเดินแล้วหันหน้ามามองเธอด้วยดวงตาที่สร้างมณีสีดำเด่นเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกว่าใคร ซึ่งมันเคยสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้พบเห็นมาแล้วนักต่อนัก หากแต่บัดนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
“งานชมจันทร์คืนนี้ถ้ายังไม่รู้จะไปไหน ฉันยังว่างนะ” เธอเอนแอ่นเอว เท้าคางกับโต๊ะชายตาโปรยเสน่ห์ไปทางหุ่นสงครามในคราบของชายหนุ่มรูปลักษณ์อุดมคติ ด้วยถูกปั้นแต่งขึ้นจากความรักของอาร์มุน
ยิ่งได้บวกเข้ากับดวงตาสีดำลึกลับ กริยาเงียบขรึมเย็นชาและข่าวลือที่เล่าบอกกันปากต่อปากถึงวีรกรรม ความสามารถในการต่อกรกับอสูรยิ่งทำให้เขากลายเป็นที่พูดถึงในวงสนทนาของเหล่าสาวน้อยสาวใหญ่ในหมู่บ้านมากขึ้นไปอีก
แต่ก็ว่า ฮอรัสนั้นถึงจะเริ่มเรียนรู้วิถีชีวิตใหม่และความเป็นไปของผู้คนในหมู่บ้านบ้างแล้ว ผ่านช่วงเวลาเกือบครึ่งเดือนนับจากเหตุการณ์ในวันวิบัติ แต่อย่างไรมันก็ไม่ได้เปลี่ยนความด้านชาไร้สำนึกรู้สึกของเขาเท่าไหร่นัก เพราะเขาก็ยังเลือกที่จะแสดงออกอย่างเยือกเย็นออกมาอยู่ดี
“คืนนี้ผมไม่ว่าง” ฮฮรัสตอบเหมือนไม่ได้ใส่ใจด้วยเสียงเรียบเฉยเหมือนเช่นปกติ แล้วหันหลังกลับ มุ่งหน้าไปที่สมาคมโดยไม่สนใจสายตาหลายคู่ทั่วตลาดที่แอบชำเลืองมองมาด้วยความผิดหวัง เพราะรู้ว่าคืนนี้ชายหนุ่มคงไปกับคนอื่นแน่แล้ว
และเหมือนนัดกันมา เมื่อทุกคนเดาเป็นเสียงเดียวหมดกันว่าต้องเป็นสองแม่ลูกสายเลือดเอลฟ์แน่ที่จองตัวเขาเอาไว้ก่อนใคร ไม่คนแม่ก็คนลูก หรืออาจจะทั้งสองคน ทั้งที่ความจริงแล้วคนที่จองตัวฮอรัสเอาไว้ในคืนนี้ไม่ใช่ทั้งสองคนหากแต่เป็นนักวิเคราะห์สาวชาวช่างของสมาคมต่างหาก
ฮฮรัส เดินผ่านประตูหน้าของสมาคมเข้ามายังโถงรับรองส่วนหน้าซึ่งเคยเป็นแค่ห้องที่มีเพียงเคาน์เตอร์สำหรับติดต่อสอบถามกับกระดานภารกิจเก่าๆ อันเดียว แต่บัดนี้มันกลายเป็นโถงขนาดใหญ่ มีชุดม้านั่งให้หย่อนใจข้างสระเลี้ยงปลากับงานประติมากรรมสวยสดสร้างจากหินโกเลมที่ประดับประดาอยู่ไม่ไกลจากเคาน์เตอร์ตัวใหญ่และกระดานภารกิจใหม่ที่ไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นกระดานเพราะมันคือกำแพงทรงโค้งที่สร้างจากชนวนแม่เหล็กทั้งอัน ง่ายแก่การปิดประกาศทั้งหลายแหล่ แน่นอนว่ารวมไปถึงประกาศจับ ค่าหัว ภารกิจเปิดกว้าง หรือแม้แต่กำหนดการงานเทศกาลที่กำลังจะจัดขึ้นด้วย
แต่สายตาสีนิลสนิทไม่ได้สนใจความงามของงามศิลป์หรือเห็นค่าของกระดาษบนกำแพงชนวนนั้นเหมือนเหล่านักผจญภัย
เขาเพียงแค่เดินไปเข้าแถวหน้าเคาน์เตอร์ ต่อจากหนุ่มน้อยนักผจญภัยฝึกหัดวันแรกรุ่นที่ดูจากภายนอกก็รู้ได้ทันทีว่าเดินทางมาจากหมู่บ้านอื่นเพื่อขอเข้าทดสอบและรับอัตตะศิลาเป็นนักผจญภัยมีสังกัดอย่างเต็มตัว ซึ่งรอบแรกกำลังจะจัดขึ้นในช่วงบ่ายของวันนี้ ส่วนรอบที่สองก็จะจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาลในช่วงกลางคืน เพื่อเปิดให้คนภายนอกและได้ชม
ทว่าระหว่างที่หนุ่มน้อยคนนั้นกำลังกรอกเอกสารอยู่กับพนักงานต้อนรับสาวเผ่าจิ้งจอกคนใหม่ของสมาคมนั้นเองที่เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันบางอย่างที่แผ่มาจากด้านหลัง ผสานกับอาการตาโตตกใจจากพนักงานสาวด้วย ก็ทำให้เข้าต้องวางปากกาคอแร้งราคาแพงลง แล้วหันไปเห็นใบหน้านิ่งเฉยกับดวงตามณีที่จ้องมองลึกเข้าไปถึงแก่นวิญญาณ
ในชั่ววินาทีนั้นราวกับเวลาถูกหยุดนิ่ง หนุ่มน้อยกลืนน้ำลายเสียงดังพร้อมกับพยายามตั้งสติให้มือของตัวเองหยุดสั่นไหว เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมาจากต่างหมู่บ้าน แต่ลำพังแรงกดดันและรูปลักษณ์ที่ได้เห็นก็บ่งบอกแล้วว่าอีกฝ่ายนั้นคือของจริง
“ปะ ปีศาจ” หนุ่มน้อยเอ่ยอย่างติดขัดน้ำเสียงตื่นเต้นตกใจ เพราะต่อหน้านั้นคือหุ่นสงครามที่กำลังจ้องมองมา แต่สีหน้าที่แสดงออกไม่ได้เกิดจากความหวาดกลัว ทว่าตรงกันข้าม “คุณคือปีศาจแห่งเทรียลที่ทุกคนพูดถึงใช่มั้ยครับ!! ตัวจริงเท่ชะมัด!”
หนุ่มน้อยพูดต่ออย่างตื่นเต้น ก่อความไม่เข้าใจขึ้นในกระบวนการคิดของฮอรัส เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนุ่มน้อยกำลังพูดถึงอะไร จึงได้แต่เอียงคอเล็กน้อยแล้วกล่าวทวน
“ปีศาจ?”
“ก็มันคือสมญานักผจญภัยของรุ่นพี่ไม่ใช่หรอครับ ที่หมู่บ้านของผมทุกคนพูดถึงแต่เรื่องของรุ่นพี่ ผมเองมาก็ตั้งใจมาสมัครที่นี่เพราะรุ่นพี่เลยนะครับ”
นักผจญภัยฝึกหัดอธิบายด้วยสายตาเป็นประกาย เปลี่ยนสรรพนามเรียกอีกฝ่ายให้เป็นกันเองและแฝงความนับถือ เพราะถึงตัวเขาจะยังไม่ทันได้เริ่มทดสอบมีอัตตะศิลาเป็ยของตัวเอง แต่เขาก็นับถือฮอรัสในฐานะนักผจญภัยรุ่นพี่ไปเรียบร้อยแล้ว
ด้วยข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเทรียลนั้นแพร่ไปทั่ว โดยเฉพาะเรื่องของเหล่าวีรบุรุษที่ซุ่มซ่อนตัวไม่เปิดเผยความสามารถและการมีอยู่ของตัวเองออกมา กระทั่งถึงยามเทรียลมีภัยร้ายระดับที่แม้แต่องค์ราชินีผู้ปกปักก็ยังรับมือไม่ไหวเกิดขึ้น พวกเขาทั้งหมดก็พร้อมใจกันเปิดเผยแสดงฝีมือออกมาเพื่อช่วยทุกคนและปกป้องหมู่บ้านเอาไว้
กลายเป็นเรื่องเล่าสนุกปาก ถึงขนาดวณิพกผู้หนึ่งได้ยินเรื่องนี้เข้า ก็ยังเอาไปประพันธ์เป็นบทเพลง ร้องเร่อุปมาอุปไมยถึงดาบคมที่ไม่เรียกร้องให้ผู้ใดยลโฉม เก็บซ่อนคมของมันไว้ในฝักแต่ก็ฟาดฟันทุกสิ่งขาดสะบั้นได้เมื่อจำเป็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของปีศาจแห่งเทรียลดูจะเป็นที่ถูกกล่าวขานได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะลำพังความจริง ไม่ต้องแต่งเติมเสริมอรรถรสใดๆ เข้าไป เรื่องของชายผู้มีโครงร่างเป็นกระดูกโลหะ มีดวงตาเป็นมณีนิลและเคลื่อนที่รวดเร็วรุนแรงประดุจปีศาจเงาสีเงินผู้นี้ ก็น่าฟังมากกว่าเรื่องของชาวช่างยอดฝีมือหรือพ่อครัวแก่ๆ อยู่แล้ว แถมยิ่งมันถูกเติมแต่งผ่านปากต่อปากเข้าไปอีก ก็ยิ่งไปกันใหญ่
“จริงสิ! เป็นเรื่องจริงรึเปล่าครับที่เขาว่ากันว่ารุ่นพี่จัดการโกเลมได้ด้วยมือเปล่า” หนุ่มน้อยพอรู้ว่าตัวเองได้มายืนอยู่ต่อหน้าปีศาจสีโลหะแห่งเทรียลตัวจริงเสียงจริงก็เอ่ยถามคำถามที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องเล่านั้นทันที
เพราะถึงแม้จะผิดคาดเรื่องรูปลักษณ์ที่ดูคล้ายมนุษย์ ทั้งยังหล่อเหลาไม่สมกับสมญาปีศาจที่เขาจินตนาการไว้ตอนแรกนิดหน่อย แต่แรงกดดันและสายตาที่มองมานั้นคือของจริงแน่นอน ยังไม่รวมเส้นรอยต่อบนผิวของฮอรัสซึ่งมันคือการยืนยันว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหนุ่มน้อยนั้นไม่ใช่มนุษย์อย่างคำที่เล่ากันจริงๆ
ทว่าไม่มีคำตอบออกมาเป็นคำพูด เพราะฮอรัสยังไม่เข้าใจจุดประสงค์และสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเท่าไหร่นัก แต่อย่างไรตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็ได้เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตในสังคมยุคใหม่มาจากเอลฟ์สาวสองแม่ลูกกับพวกเจ้าหน้าที่ในสมาคม จึงรู้ว่าอย่างน้อยเขาก็ตอบคำถามง่ายๆ แบบนี้ได้ โดยไม่ต้องประมวลอะไรให้ยุ่งยากมากนัก จึงพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ
แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะให้หนุ่มน้อยเบิกตากว้าง ทำหน้าบานเป็นกระด้งที่ได้รู้ว่าตำนานที่เล่ามามีเรื่องจริง ปีศาจแห่งเทรียลผู้นี้สยบอสูรระดับสูงอย่างโกเลมได้ โดยไม่ใช้อาวุธ
ถึงแม้ว่าความจริงร่างกายของฮอรัสจะนับเป็นอาวุธได้ทุกส่วนเลยก็ตาม
“สะ สุดยอด! งั้นแสดงว่าที่เขาว่ากันว่ารุ่นพี่ได้รับอัตตะศิลาชั้นทับทิมมาจากองค์ราชาก็เป็นเรื่องจริงด้วยสินะครับ” หนุ่มน้อยถามต่อ สายตาเป็นประกาย
แต่ยังไม่ทันที่ฮอรัสจะได้ตอบอะไรออกไป พลันเสียงหวานละมุนอย่างเผ่าพันธุ์แม่ แต่ก็แฝงความแก่นห้าวอย่างเผ่าพันธุ์พ่อจะดังขึ้นแทรกเหตุการณ์แทนคำตอบ พร้อมร่างอ้อนแอ้นงดงามแต่เห็นมัดกล้ามเนื้อเด่นชัดแข็งแกร่งเปื่อนเหงื่อและทราย จะปรากฏขึ้นจากทางสนามทราย บ่งบอกว่านางเพิ่งจะเสร็จสิ้นการฝึกประจำวัน
“ข่าวลือชักจะไปกันใหญ่แล้ว... หมอนี่ยังไม่ได้เป็นนักผจญภัยด้วยซ้ำ จะไปมีอัตตะศิลาได้ยังไง” เอเดลกล่าวขณะเดินมาหยุดยืนตรงหน้าสองหนุ่ม
และโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เพียงแค่เห็นว่าใต้ผ้าคลุมของฮอรัสนั้นมีกล่องยาซ่อนอยู่เธอก็ใช้มือปัดผ้าออกเบาๆ แล้วถือวิสาสะเปิดกล่องยาหยิบโพชั่นในขวดขาวใสขนาดเท่านิ้วก้อยขึ้นมากระดกดับกระหายและฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บในทันที
“ผมเอาชุดยาของคุณเอลีอามาส่ง” ฮอรัสพูดเสียงเรียบผ่านลำคอ แต่เหมือนจะไม่จำเป็นเพราะยังไงอีกฝ่ายก็หยิบยาไปดื่มก่อนเขาจะได้พูดอะไรเสียอีก
ซึ่งความจริง ถ้าเป็นคนอื่นมาทำแบบนี้มีหวังคงมือขาดไปแล้ว เพราะฮอรัสจัดลำดับการส่งยาพวกนี้เป็นภารกิจโดยตรงจากเอลฟ์สาวมันจึงห้ามล้มเหลว แต่เพราะเป็นเอเดลจึงถือเป็นความยืดหยุ่นในภารกิจอย่างสมเหตุสมผล ด้วยสุดท้ายยังไงยาพวกนี้ก็ส่งมาให้นักผจญภัยใช้อยู่แล้ว แถมเอลฟ์สาวยังกำชับให้เขาปันส่วนให้กับลูกสาวของเธอเป็นพิเศษโดยเฉพาะด้วยซ้ำไป
“หืม... แล้วแม่ล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันหรอ” เอเดลเท้าสะเอวข้างหนึ่งแล้วถามออกไป เพราะไม่เห็นว่าเอลีอาอยู่ที่นี่ด้วย
“คุณนักวิเคราะห์ขอให้คุณเอลีอาไปช่วยชาวบ้านเตรียมดอกไม้สำหรับงานเทศกาลแทน เพราะต้องเขียนรายงานเตรียมการทดสอบ”
“จริงด้วยสิ ฉันเองก็ลืมไปเลย ไอน์ต้องส่งรายงานเรื่องนายพรุ่งนี้แล้วนี่นา แถมวันนี้ยังงานยุ่งอีก” เอเดลพอได้ยินฮอรัสพูดถึงงานเทศกาลขึ้นมาก็พลันนึกได้ว่ามันคือคืนนี้แล้วที่การทดสอบรับนักผจญภัยประจำปีของเทรียลจะเริ่ม
ขณะเดียวกันมันก็คือกำหนดเวลาที่ส่วนกลางให้มาสำหรับการควบคุมสังเกตการณ์หุ่นสงครามด้วย ซึ่งจริงๆ ก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรนักเพราะฮอรัสก็ไม่ได้ก่อปัญหาขึ้นเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น
ซ้ำยังกลายเป็นขวัญใจชาวบ้านไปซะอีกต่างหาก ส่วนความสัมพันธุ์ระหว่างฮอรัสและคนในสมาคมเองก็เป็นไปค่อนข้างดี จะมีปัญหาจริงๆ ก็เพียงแค่เรื่องของนักผจญภัยคนอื่นๆ ในสมาคมเท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่ยอมรับความสามารถของฮอรัส อาจเรียกว่าเป็นความอิจฉาก็คงได้ ไม่ผิด เพราะเขาได้ความดีความชอบในเหตุการณ์วุ่นวายครั้งนั้นไปเต็มๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นนักผจญภัยหรือเกี่ยวข้องอะไรด้วยซ้ำ
“ขะ คุณคือศรเหมันต์คนนั้น! คุณสวยมากจริงๆ ด้วย สมแล้ว” แต่ระหว่างที่สาวเจ้ากำลังใช้นิ้วเรียวลูบคางตัวเองครุ่นคิดบางอย่างอยู่นั้นเอง เด็กหนุ่มนักผจญภัยฝึกหัดคนนั้นพลันเอ่ยสมญาของเธอขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทำเอาเธอเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจที่จู่ๆ ก็ถูกชมกันตรงๆ
“ขะ ข่าวลือก็ไม่ได้แย่เสมอไปนี่นะ” เอเดลว่าเขินๆ ปนเสียงหัวเราะในลำคอ “ละ แล้ว... ที่หมู่บ้านของนายเขาว่าไงเกี่ยวกับศรเหมันต์บ้างหรอ นอกจากเรื่อง... เรื่องสวยนั่นน่ะ”
“ทุกคนที่หมู่บ้านของผม เขาว่าคุณเป็นหนึ่งในคนรักของรุ่นพี่” หนุ่มน้อยว่าด้วยน้ำเสียงทุ้ม เพราะจากที่เขาเห็น ทั้งคู่แสดงออกกันอย่างสนิทสนม หยิบยาขึ้นมาดื่มได้ไม่ถือสาก็เลยกล้าพูดข่าวลือที่ลือกันอย่างบางเบาไร้น้ำหนักขึ้นมา
กระทั่งได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว พร้อมดวงตาจิกจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนั้นเองเขาถึงได้เข้าใจว่าข่าวลือที่ว่านั้นอาจจะคลาดเคลื่อน ไม่มากก็น้อย
“กะ ก็ ผมได้ยินว่าคุณกับรุ่นพี่ รุ่นพี่แก้ผ้าแล้วก็คร่อม...”
ยิ่งแก้ตัวเหมือนยิ่งเหมือนเทน้ำมันลงบนกองไฟ เมื่อในที่สุดครึ่งเอลฟ์สาวก็พูดออกมาอย่างสุขุมเยือกเย็น สำเนียงฟังคล้ายหุ่นสงครามเป็นคนพูดเอง มากกว่าจะเป็นสำเนียงของครึ่งเอลฟ์ร่างงาม
“ฉันเป็นกรรมการจัดคู่ทดสอบรอบสอง... ฉันจับคู่นายประลองกับฮอรัส” เธอปั้นหน้านิ่งเอ่ยเบาๆ อย่างเรียบเฉยราวกับติดนิสัยเคยชินมาจากฮอรัส
ขณะเดียวกันสิ่งที่เธอเอ่ยถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกำหนดการเดิมของการทดสอบที่วางแผนไว้ จากที่วันนี้ฮอรัสควรจะเข้าทดสอบรอบแรกเสร็จแล้วข้ามรอบสองซึ่งเป็นการจำลองการต่อสู้ และรับอัตตะศิลาไปเลย ตามแผนเดิมที่นักวิเคราะห์สาวและทุกคนในสมาคมประชุมกันแล้วว่าเห็นควร หากต้องการจะให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ การขึ้นทะเบียนคนที่เก่งระดับสามารถเป็นภัยร้ายได้อย่างเขา ให้เป็นนักผจญภัยที่ติดตามง่ายกว่าจึงเป็นสิ่งจำเป็น
เพียงแต่ ตอนนี้ดูเหมือนมันจะเปลี่ยนไปแล้วเมื่อปีศาจสีโลหะแห่งเทรียลกำลังจะต้องประมือกับนักผจญภัยฝึกหัด
“ถ้าต้องสู้ ผมได้รับอนุญาตให้ฆ่ารึเปล่า” ฮอรัสเองรู้แล้วว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง จึงเอ่ยคำถามออกไปให้แน่ชัด ถึงจะรู้คำตอบอยู่แต่แรกแล้วว่าคือ ‘ไม่’ ก็ตาม
ทว่าคำถามของเขามันดันทำให้หนุ่มน้อยข้างๆ ถึงกับเข่าอ่อน