ตอนที่ 21 อับจนหนทาง
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย หัวใจของเซียวเฉินกลายเป็นว่างเปล่าและทันใดนั้นเขาก็เบี่ยงตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียด อย่างไรก็ตามมันก็ทิ้งรอยบากเล็กๆไว้ที่คอของเขาพร้อมกับเลือดก็ไหลออกมา โชคดีจริง,เซียวเฉินคิดกับตัวเอง
การโจมตีของเขาพลาดเป้า มีความประหลาดใจปรากฎขึ้นบนใบหน้าของจางเหอ จากนั้นเขาก็ไล่ตามเซียวเฉินต่อในทันที ดาบอีกเล่มถูกยิงออกไป,มันรวดเร็วกว่าเล่มก่อนหน้า เซียวเฉินไม่แม้แต่จะได้พักหายใจ
เซียวเฉินคิดหนักเพราะเขารู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องหนีแล้ว กับจางเหอที่ครอบครองอาวุธวิญญาณและกำลังกวัดแกรว่งพลังจิตวิญญาณยุทธของเขา เซียวเฉินรู้อยู่ว่าไร้ทางชนะ อย่างไรก็ตามเขาก็ได้รู้ถึงขีดจำกัดของตัวเองจากการประมือในครั้งนี้ เผชิญหน้ากับระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธนั้นทำให้เขาเสียเปรียบเต็มประตู เซียวเฉินรู้ว่าเขาต้องพยายามให้หนักขึ้นไปอีกหลังจากนี้
หลังจากหลบดาบอีกเล่มที่พุ่งมา เซียวเฉินใช้เท้าขวาตบพื้นอย่างรุนแรงกระแสพลังปราณไหลไปยังขาของเขา เซียวเฉินใช้แรงกระแทกดีดตัวเองถอยกลับไปหลายเมตร ระหว่างที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เขายังถือโอกาสยิงเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงกลับไปสองครั้ง
“นายน้อยจาง วันนี้ข้าคงต้องขอตัวลา หวังว่าเราจะได้พบกันอีก” เซียวเฉินหัวเราะเสียงดังพร้อมกับหันหลังพุ่งตัวออกไปเต็มแรง
พยายามจะหนี? มันสายไปแล้ว จางเหอหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ เมื่อเปลวเพลิงสีม่วงที่แท้จริงใกล้เข้ามาเขาฟันเปลวเพลิงทั้งสองก้อนด้วยดาบของเขาหมายจะเป่าเปลวเพลิงม่วงออกไป ขณะที่เขาเตรียมจะไล่ตามใครจะรู้ว่าเมื่องเปลวเพลิงสีม่วงได้สัมผัสกับตัวดาบ ดาบนั้นจะลุกติดไฟขึ้นมา ทันใดนั้นอาวุธวิญญาณก็ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟสีม่วง จางเหอตกตะลึงและรีบโยนดาบในมือทิ้งทันที
เปลวเพลิงสีม่วงสองก้อนนั้นช่างดูธรรมดาสามัญ แต่มันเป็นผลมาจากไหวพริบอันรวดเร็วของเซียวเฉิน เขาบีบอัดเปลวเพลิงสีม่วงทั้งหมดเท่าที่ร่างกายเขาจะกลั่นออกมาได้ นั้นไม่ใช่สิ่งที่จางเหอจะปัดทิ้งได้ด้วยดาบ
จางเหอมองไปยังดาบที่กำลังลุกไหม้อย่างหวาดกลัว เขาไม่อยากจะคิดถ้าเจ้าไฟประหลาดนี่มาโดนตัวของเขา เมื่อจางเหอจินตนาการภาพในหัวเขาก็ตัวสั่น
“พี่ใหญ่ ทำไมท่านปล่อยมันไป ไล่ตามไปเร็ว!” จางเจ๋อหยางถามอย่างไม่รู้อะไร
เมื่อเขาได้ยินดังนั้น ความโกรธก็พุ่งพรวดขึ้นมา จนเขาไม่อาจระงับก้อนเลือดที่ขึ้นมาถึงคอและกระอักมันออกมา เมื่อจางเจ๋อหยางเห็นดังนั้นก็ตกใจจนหน้าซีด
เซียวเฉินกลับมาที่ตระกูลเซียวด้วยท่าทางอิดโอย เดิมทีเขาตั้งใจจะแวะซื้อสนุมไพรนิดหน่อยระหว่างทางกลับแต่ก็มิอาจทำได้ เซียวเฉินโยนหม้อปรุงยามังกรฟ้าลงบนโต๊ะและทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ดูเหมือนเขาหมดอารมณ์ที่จะปรุงยาแล้ววันนี้
ระหว่างที่นอนอยู่บนเตียง เซียวเฉินครุ่นคิดถึง
การต่อสู้กับจางเหอในวันนี้ ถ้าหากเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าละก็เขาคงไม่เสียเปรียบขนาดนี้ จางเหอนั้นครอบครองอาวุธวิญญาณและใช้จิตวิญญาณยุทธได้อย่างช่ำชอง ทำให้เขาไม่อาจต่อกรได้
จิตวิญญาณยุทธของจางเหอคือดาบผ่านภา ในโลกใบนี้จิตวิญญาณยุทธของหลายๆคนคือของศักดิ์สิทธิ์ที่เคยปรากฎมาในอดีต ดาบผ่านภาก็เป็นหนึ่งในนั้น มันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคยดำรงอยู่เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนและได้เลือนหายไปตามกาลเวลา
จิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้าของเขานั้นคือสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์โบราณ และจิตวิญญาณยุทธของบางคนยังเป็นจิตวิญญาณยุทธที่ทรงปัญญา ซึ่งในทวีปนี้เรียกจิตวิญญาณยุทธเช่นนี้ว่าจิตวิญญาณหลิงวู
จิตวิญญาณหลิงวูนั้นสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้และพลังของมันไม่อาจหยั่งถึง เช่นระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธอย่างจางเหอนั้นเขาพึ่งพาพลังของดาบผ่านภาเพื่อใช้ดาบพลังฉีที่มีเพียงระดับขอบเขตเซียนขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถปล่อยออกมาได้ ที่ทำให้เซียวเฉินมีสภาพเช่นนี้นั้นก็เพราะพลังของจิตวิญญาณหลิงวู
ถ้าเช่นนั้นอะไรคือพลังพิเศษของจิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้า? เซียวเฉินงงงวยเมื่อคิดได้ถึงเรื่อ
นี้ หลังจากที่เขาได้มาที่โลกใบนี้ เขาได้สู้รบประมือไปเพียงไม่กี่ครั้งและเขาไม่เคยได้ใช้พลังของจิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้าเลย เขาได้แต่พึงพลังของทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว ไม่เคยใช้จิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้าแม้แต่น้อย
ถ้าคิดอย่างมีเหตุผล จิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้าของเขาไม่ควรด้อยไปกว่าดาบผ่านภาของจางเหอ ต้องทำอย่างไรเขาถึงจะดึงพลังของจิตวิญญาณยุทธออกมาใช้ได้?
อาวุธวิญญาณ!
หลังจากครุ่นคิดมาเป็นเวลานานเซียวเฉินก็นึกถึงอาวุธวิญญาณ เขาอยากจะได้อาวุธวิญญาณมาครอบครอง นี้เป็นวิธีเดียวที่จะดึงพลังของจิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้าออกมาใช้ มิเช่นนั้นมีมีจิตวิญญาณยุทธสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์โบราณตัวนี้เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์ เขานั้นยังมีศิลาแสงจันทร์กองเป็นภูเขาจากถ้ำของจักรพรรดิอัสนี ด้วยจำนวนขนาดนั้นเพียงพอที่จะสร้างอาวุธวิญญาณระดับสูงได้
เมื่อเขาคิดได้ดังนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจ เซียวเฉินลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ล้างหน้าล้างตาเอาคราบเลือดและสิ่งสกปรกออก หลังจากออกจากที่พักเล็กๆของเขา เขาก็ตรงไปที่ห้องหนังสือของตระกูลเซียว
เมื่อเขาจะหลอมอาวุธวิญญาณขึ้นมาเขาต้องเรียนรู้ทักษะการใช้อาวุธวิญญาณเสียก่อน เขาต้องไปที่ห้องหนังสือของตระกูลเพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสำเร็จวิชาจด้วยตัวเอง
พื้นที่ของบ้านตระกูลเซียวนั้นกว้างขวางมากและห้องหนังสือนั้นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพื้นที่ มันห่างจากที่พักของเซียวเฉินพอสมควร เซียวเฉินเดินอย่างเฉื่อยแฉะไปตามทางเดินของที่พัก ผ่านสวนผ่านลานกว้างไปก่อนที่จะมาถึงห้องหนังสือ
ห้องหนังสือของตระกูลนั้นประกอบไปด้วยสามชั้นและมีตำราการบ่มเพาะพลังและทักษะต่อสู้อยู่มากมาย ในชั้นแรกเป็นตำราทักษะและบ่มเพาะพลังระดับเหลือง ชั้นสองเป็นตำราทักษะและบ่มเพาะพลังระดับลึกล้ำ ส่วนในชั้นสามนั้นเป็นความลับ ศิษย์ตระกูลเซียวทั่วไปไม่อาจรู้ว่ามีอะไรเก็บอยู่บนชั้นสาม
ตำราที่เก็บไว้ในห้องหนังสือของตระกูลนั้นเป็นผลมาจากความพยายามเก็บสะสมมาเป็นเวลาหลายปี มันมิอาจประมาณค่าได้ จึงมีผู้อารักขาฝีมือดีค่อยลาดตระเวนโดยรอบ ผู้บ่มเพาะพลังระดับขอบเขตปรับแต่งวิญญาณนั้นไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปในห้องหนังสือ ต้องเป็นศิษย์ระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดถึงจะได้เข้าไปในชั้นแรกและต้องเป็นระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธถึงจะขึ้นไปบนชั้นสองได้ ในอดีตเซียวเฉินนั้นอยู่แค่ระดับขอบเขตปรับแต่งวิญญาณขั้น 9 แน่นอนว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามา แต่ในตอนนี้ที่เขาสามารถล้มเซียวเจี้ยนลงได้ ถ้าเขาอยากจะเข้าไปก็ไม่มีใครมาห้ามได้
ห้องหนังสือมักจะคึกคักอยู่เสมอดังเช่นตอนนี้ มีสานุศิย์ตระกูลเซียวมากมายกำลังมองหาตำราทักษะต่อสู้อันมากมายกายกอง เมื่อเซียวเฉินก้าวเข้ามาเขาดึงความสนใจของทุกคน ทำให้เริ่มมีเสียงซุบซิบ
“ดูนั้น เซียวเฉินอยู่ที่นี่...”
“ทำไมเขามาที่นี่ เขาอยู่แค่ระดับขอบเขตปรับแต่งวิญญาณไม่ใช่รึ? เขาเข้ามาได้อย่างไร”
“ไอ้สมองหมู! เขาตบเซียวเจี้ยนลงไปกองได้ เขาต้องอยู่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธแล้ว”
“เจ้าขยะนั้นแกร่งขึ้นมามาก พวกเจ้าควรจะเบาเสียงลงหน่อยหากเขาได้ยินใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
…..
เสียงพวกเข้าอาจจะเบาขนาดไหนแต่เซียวเฉินก็ได้ยินอยู่ดี เซียวเฉินคิดว่ามันช่างขำขันและไม่ไปสนใจอีก เขาเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือและมองหาตำราทักษะต่อสู้ด้วยอาวุธ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาในห้องหนังสือ มันกว้างมากทำให้เขาเสียเวลาเล็กน้อยในการหาชั้นตำราทักษะต่อสู้โดยใช้อาวุธ
“ดาบฟ้าคำรามทักษะต่อสู้ระดับเหลืองขั้นกลาง ทักษะนี้มี 13 จังหวะ แต่ละจังหวะรวดเร็วกว่าก่อนหน้า ใช้ความรวดเร็วปานสายฟ้าในการปลิดชีพศัตรู
“ฝ่ามือแยกภูผา ทักษะต่อสู้ระดับเหลืองขั้นต่ำ” เมื่อฝึกจนถึงระดับสูงสุด มันสามารถผ่าภูเขาและแยกทะเลได้ในฝ่ามือเดียว
“หอกวายุ ทักษะต่อสู้ระดับเหลืองขั้นต่ำ มุ่งพลังปราณไว้ที่ตัวหอกสร้างแรงหมุนสร้างความคาดเดาไม่ได้ในการต่อสู้”
….
เซียวเฉินยังอ่านตำราเล่มต่อๆไป ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งหมดความสนใจ ตำราทักษะระดับสูงสุดมีเพียงระดับเหลืองขั้นกลางเท่านั้น ไม่มีแม้แต่ระดับเหลืองขั้นสูงแถมคำอธิบายยังเกินจริงมันก็เป็นเพียงแค่ทักษะต่อสูงระกับเหลือง ไม่ว่าจะฝึกหนักขนาดไหนมันก็ไม่มีทางผ่าภูเขาแยกสมุทรหรือรวดเร็วปานสายฟ้าได้
ขณะกำลังวางตำราทักษะระดับเหลืองลง เขาสังเกตเห็นตำราเล่มหนึ่งในมุมด้านล่างของชั้นตำรา หน้าปกของมันเต็มไปด้วยฝุ่น มีตัวอักษรจางๆนั้นดึงดูดความสนใจของเขาทันที
ระดับสวรรค์!
เซียวเฉินมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ เขารีบหยิบตำราเล่มนั้นขึ้นมาอย่างระวัง เซียวเฉินรู้สึกดีใจอย่างเหลือเชื่อ ดูเหมือนเขาจะมีวันที่โชคดีเหมือนกัน มีตำราทักษะต่อสู้ระดับสวรรค์อยู่บนชั้นหนึ่งของห้องหนังสือ ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีใครสังเกตเห็น
ทักษะต่อสู้ระดับสวรรค์มังกรเฉือน เซียวเฉินพลิกหน้าต่อไปอย่างช้าๆและอ่านมัน มังกรเฉือนคือทักษะดาบพื้นฐานประกอบไปด้วย 13 จังหวะ ทุกจังหวะจะใช้พลังปราณมากขึ้นเรื่อยๆ ระดับการบ่มเพาะพลังของเซียวเฉินในปัจจุบันยังไม่พอที่จะใช้ท่าแรกเลยด้วยซ้ำ
เซียวเฉินค่อยๆเก็บตำราทักษะมังกรเฉือนไว้ จากนั้นก็หยิบตำราทักษะต่อสู้ระดับเหลืองขั้นกลางมาด้วยก่อนที่จะมองหาบรรณารักษ์ของห้องหนังสือแห่งนี้ เซียวจูเอ๋อ เซียวจูเอ๋อนั้นเป็นพี่ชายคนที่สองของพ่อของเขา เขานั้นได้เข้าสู่ระดับขอบเขตปรมจารย์ยุทธเมื่อหลายปีก่อน แต่เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัสจนทำให้การบ่มเพาะพลังของเขาลดลงไปที่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธ ดังนั้นเขาจึงถูกส่งมาโดยตระกูลเซียวให้มาดูแลห้องหนังสือ
มองดูไปที่ตำรามังกรเฉือนที่เซียวเฉินยื่นมา เซียวจูเอ๋อนั่งนิ่งไปพักนึงก่อนจะพูดว่า “ไปเจอตำราทักษะต่อสู้นี่มาจากไหน”
หรือจะมีเรื่องลึกลับอะไร เซียวเฉินเก็บความสงสัยที่มีไว้ในใจและบอกเซียวจูเอ๋อไปตามจริงว่าเขาได้มันมาอย่างไร
เซียวจูเอ๋อหัวเราะออกมาเสียงดังหลังจากได้ฟัง “ข้าไม่ได้เห็นตำราเล่มนี้มานานมาก มันไปอยู่ตรงนั้นนี่เอง หลานเซียวเฉิน เจ้าเอามันออกไปไม่ได้”
“ทำไม?”
เซียวจูเอ๋อตอบกลับด้วยน้ำเสียงปนเยาะเย้ย “หรือเจ้าคิดว่าเจ้าโชคที่ได้พบกับตำราทักษะต่อสู้ระดับสวรรค์ที่คนอื่นหาไม่พบ? คิดว่าพลังเจ้าจะเพิ่มพูนหลังจากได้ฝึกฝนมัน คิดว่าเจ้าจะระเบิดพลังสยบทุกคนและไม่มีใครต่อกรเจ้าได้?”
เซียวเฉินได้ยินดังนั้น ก็ถามกลับไปอย่างเกร็งๆ “ตำราเล่มนี้มันมีอะไรผิดปกติ? มันเป็นถึงตำราต่อสู้ระดับสวรรค์ ทำไมเหล่าสานุศิษย์ถึงนำมันออกไปฝึกฝนไม่ได้”
เซียวจูเอ๋อถอนหัวใจด้วยความผิดหวังและหงุดหงิด “ตอนที่ข้ายังเยาว์ ข้าก็ถามแบบเดียวกับเจ้า ในเมื่อมันเป็นถึงตำราทักษะต่อสู้ระดับบสวรรค์ ทำไมศิษย์ตระกูลเซียวถึงฝึกมันไม่ได้”
เซียวจูเอ๋อหยุดลงชั่วครู่ก่อนที่จะพูดไปอย่างเศร้าใจ “ทักษะต่อสู้นี้น่ะ มีเพียงผู้ที่ครอบครองจิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้าเท่านั้นที่จะฝึกได้ หากผู้อื่นได้ฝึกแล้วละก็จะจบลงด้วยร่างระเบิดและตาย อย่างไรก็ตามจิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้านั้นไม่มาปรากฎที่ตระกูลเซียวเรานับพันปีแล้ว ตำราเล่มนี้จึงเปรียบได้เหมือนขยะนำมันออกไปก็มีแต่นำภัยไปให้คนอื่นเท่านั้น”
มังกรฟ้าอีกแล้ว!!
หัวใจของเซียวเฉินเต้นแรงขึ้นในขณะที่เขาพยายามทำหน้านิ่ง “เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นถ้าหากข้าขอนำมันไปศึกษาแล้วค่อยนำมาคืน ข้าสัญญาว่าจะไม่ฝึกมัน”
“เช่นนั้นไม่มีปัญหา ตำราเล่มนี้เป็นแค่สำเนา เจ้านำมันไปได้และอย่าลืมที่จะเอามันมาคืน มิเช่นนั้นอาจจะมีคนโดนมันหลอกล่อแล้วจบที่เกิดปัญหา อย่างไรก็ตามเซียวเฉิน เจ้าจำไว้ให้ดีอย่าได้ฝึกมันเป็นอันขาด มีผู้เยาว์รุ่นก่อนของตระกูลเซียวมากมายได้ริลองฝึกและจบลงด้วยตัวระเบิดตาย”
เซียวเฉินพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม “ข้ารับรองว่าจะไม่ฝึกมัน ท่านลุงสองไม่ต้องเป็นห่วง ข้าขอตัวก่อน”
“ลุงสอง ทำไมไม่มีแม้แต่จะมีทักษะต่อสู้ระดับลึกลับสักเล่มเดียวบนชั้นสอง”
เซียวเฉินที่กำลังจะก้าวออกไปได้ยินเสียงที่คุ้นหู คนคนนั้นคือเซียวเจี้ยนผู้ที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นสอง เซียวเฉินหยุดเท้าพร้อมกับเกิดความแปลกใจ เซียวเจี้ยนเพิ่งจะเดินลงมาจากชั้นสอง นั้นหมายความว่าเขาทะลวงคอขวดของระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดข้ามไประดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธเป็นที่เรียบร้อย ช่างน่าประหลาดใจ
เซียวเจี้ยนเดินตรงมาถือตำราทักษะต่อสู้ไว้สองสามเล่ม เขาไม่คิดว่าจะมาเจอเซียวเฉินที่นี้ เซียวเจี้ยนตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มและพูดขึ้น “ไม่คิดว่าจะมาเจอน้องสองที่นี่ มาหาตำราทักษะเหมือนกัน?”
เซียวเจี้ยนยังคงเป็นแบบที่เขาเป็น เขาสวมชุดคลุมสีฟ้าแลดูมีความสามารถมากประสบการณ์ ความยโสบนใบหน้าลดลงบ้างแต่เซียวเฉินก็ยังสังเกตเห็นความเกลียดชังที่ลุกไหม้อยู่ในดวงตาของเขา
ดูเหมือนว่าเรื่องระหว่างเขากับเซียวเจี้ยนจะยังไม่จบ
ราวกับว่าเซียวเจี้ยนได้ยินความคิดของเขา เซียวเจี้ยนเดินเข้ามาช้าๆและพูดเสียงต่ำเบา “การต่อสู้ของพวกเราเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น ข้าจะคืนความอับอายในวันนั้นพร้อมดอกเบี้ย” สามคำสุดท้ายได้ไหลผ่านฟันของเขาออกมาช้าๆอย่างหนักแน่น
แล้วเป็นใครมาฉีกหน้าข้าก่อน? หลายปีที่ผ่านมาในระหว่างการทดสอบความสามารถ ใครคือคนที่ทำให้ข้าขายขี้หน้า เคยคิดถึงความทรมานที่ข้าที่เจอเพราะเจ้า?