ตอนที่ 19 ปริศนาแตงกวา
ตอนที่ 19 ปริศนาแตงกวา
‘หุบเขารกกะ’ ตั้งอยู่ตอนเหนือของอินเนอร์เวิลด์ ซึ่งล้อมรอบไปด้วยไอพิษรุนแรง หากมนุษย์หรือปีศาจตนใดย่างก้าวเข้าไป ไอพิษเหล่านั้นจะกัดกร่อนกายเนื้อให้ย่อยสลายเป็นเถ้าธุลี
อุรามิซึ่งออกสังหารผู้ใช้เวทปลดผนึกมากมาย เขาได้รวบรวมจิตวิญาณของผู้ใช้เวทเหล่านั้นไว้ในร่างของตน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหุบเขารกกะ เพื่อนำใบของ ’ต้นคิกิ’ ไปปลดผนึกเพกัสที่สุสานเปี๊ยกโกะ
เมื่อมาถึงปากทางเข้าของหุบเขา หมอกพิษสีเทาซึ่งลอยคลุ้งก็ปะทะกับเขตอาคมของอุรามิจนเกิดประกายสายฟ้าดังเปรี๊ยะ ๆ
มุมปากสีชมพูอ่อนของอุรามิยกยิ้ม พร้อมกับโพรงปีศาจกลางแผ่นหลังที่เปิดออก ราวกับหลุมดำที่สามารถดูดกลืนทุกสิ่ง
ทันใดนั้นไอพิษซึ่งปกคลุม ‘หุบเขารกกะ’ ก็ลอยเป็นสายอ้อมร่างของอุรามิเข้าไปในโพรงปีศาจ เนื่องจากไอพิษมีปริมาณมหาศาล อุรามิจึงต้องใช้เวลานานเพื่อดูดกลืนไอพิษทั้งหมด
ทว่า… เมื่อโพรงปีศาจด้านหลังขยายใหญ่ขึ้น ไอพิษทั้งหมดก็อันตรธานหายไป
เบื้องหน้าปรากฏเนินโล่งกว้าง ผืนดินล้วนเป็นสีเทาราวกับทะเลเถ้าถ่าน บนยอดเขามีต้นไม้ไร้ใบขนาดใหญ่สูงเด่นตระหง่านอย่างเห็นได้ชัด
อุรามิลอยขึ้นไปยังบริเวณต้นไม้ใหญ่ ผมทองพลิ้วไปตามกระแสลม เมื่อสองเท้าของร่างสูงเพรียวลมย่ำลงสู่พื้น ก็ปรากฏ ‘ต้นคิกิ’ สูงเหยียดฟ้า ขนาดความกว้างสิบห้าคนโอบ
“…ท่านเทพบุตรคิกิเอ๋ย”
ปากเรียวได้รูปขยับพร้อมเสียงทุ้ม นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายจับจ้องไปยังต้นไม้ยักษ์ไร้ใบเบื้องหน้า พออุรามิหลับตา ดวงแสงสีฟ้าทรงกลมขนาดเท่ากำปั้นก็ลอยวนเวียนอยู่รอบร่างของเขานับสิบดวง
“ข้าจะปลดปล่อยท่านเอง…”
สิ้นสุดคำกล่าว ‘ดวงวิญญาณของผู้ใช้เวท’ ก็รวมตัวกันเป็นดวงแสงสีฟ้าทรงกลมขนาดใหญ่
พออุรามิค่อย ๆ ผลักฝ่ามือเรียวยาวออกไป ดวงแสงสีฟ้าขนาดใหญ่ก็ลอยอย่างเชื่องช้าก่อนจะกระทบกับผิวของต้นคิกิแล้วซึมเข้าไป
พริบตานั้น เปลือกไม้ก็ค่อย ๆ หลุดร่อน แสงสว่างแตกออกมาเป็นสาย จากนั้นก็กระจายส่องสว่างทั่วทั้งลำต้น เมื่อแสงของต้นคิกิหดขนาดเล็กลง ก็ปรากฏแสงสีเขียวรูปร่างคล้ายมนุษย์เจิดจรัสบนผืนดิน
ขณะที่อุรามิหรี่ตาจ้องมอง แรงปะทะเหมือนสายฟ้าฟาดก็แทงทะลุเขตอาคมเข้ากลางร่างของอุรามิ
“อึก…”
อุรามิร้องเสียงกระตุกในลำคอ เบิกตากว้างมอง ‘เทพบุตรคิกิ’ ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ร่างสูงคำนวณด้วยสายตาน่าจะเกินสี่ศอก อายุคงไม่เกินยี่สิบปี ดวงตากลมโตสีเขียว เรือนผมสีน้ำตาลสั้นตั้งดูทะมัดทะแมง บนแก้มขวามีรอยรูปกุญแจสีขาว ใบหน้าดูห้าวหาญสมชายชาตรี
เขาพันผ้าคลุมสีน้ำตาลไว้ตรงไหล่ หน้าท้องเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้าม ต่ำลงมาสวมผ้าคลุมคล้ายเกราะหนังสีน้ำตาล มีใบไม้ซึ่งมีรูปกุญแจสีขาวเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางร้อยคล้ายสร้อยคล้องอยู่กับเกราะตรงเอว ตรงแขนซ้ายมีรอยสักสีทองรูปใบไม้ กางเกงขายาวที่สวมเป็นสีเขียวเข้ม สนับแข้งสีเดียวกับเกราะปิดถึงตาตุ่ม ส่วนที่ย่ำดินของชายหนุ่มนั้นคือเท้าเปล่า
เมื่อลมกระโชกวูบหนึ่งพัดผ่าน ผ้าคลุมสีน้ำตาลซึ่งคลุมร่าง ‘เทพบุตรคิกิ’ ไว้สะบัดตามแรงลม เผยให้เห็นเรือนร่างท่อนบนเปลือยอกกำยำ
“นี่…ท่าน…”
อุรามิเอ่ยไม่ทันจบ ร่างก็ทรุดลงพื้นทันที ดวงตาสีเขียวขยับเล็กน้อย ก่อนจะเปิดปาก
“เจ้าไม่ใช่มนุษย์หรอกหรือ”
มีเพียงความเงียบตอบกลับมา จากนั้นดวงตาสีเขียวก็เคลื่อนต่ำลง
เทพบุตรคิกิมองบุรุษผมทองซึ่งนอนคว่ำอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะก้าวขาแล้วย่อตัว
มือหนารวบคอเสื้อด้านหลังของอุรามิยกขึ้นมา เทพบุตรคิกิยื่นหน้าพร้อมกับเคลื่อนอุรามิเข้ามาใกล้ ปลายจมูกยื่นโด่งพิสูจน์กลิ่นอย่างสงสัย ดวงตากะพริบถี่หลายครั้ง เขาไม่ได้อยากฆ่า เพียงแค่ต้องการป้องกันตัวเท่านั้น
“เจ้าใช่มั้ยที่ปลดผนึกข้า”
อุรามิพยักหน้าอย่างเชื่องช้าสองครั้ง
เทพบุตรคิกิจ้องอุรามิไม่วางตา ชายผู้นี้คือผู้มีประคุณต่อเขา ขณะเดียวกันโพรงกลางอกที่โดนเทพบุตรคิกิจู่โจมก็ค่อย ๆ สมานกลับเป็นปกติ เสื้อผ้าที่ขาดลุ่ยถูกเติมเต็มจากก้อนเนื้อราวกับเวทมนตร์
“ถ้างั้น…”
เทพบุตรพยักหน้าก่อนเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“จงแจ้งนามของเจ้า และเอ่ยสิ่งที่เจ้าประสงค์จะให้ข้าปลดผนึก”
อุรามิลืมตาปรือขึ้นมา ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วร้อง “ฮึ” จากนั้นก็เบิกตากว้างทันที
“ข้าชื่ออุรามิ และข้าต้องการปลดผนึกหัวใจของเจ้า ฮะฮะฮ่า”
อุรามิแผดเสียงอย่างชั่วช้า พร้อมปล่อยมือมารนับร้อยออกมาจากด้านหลัง
ทันใดนั้นร่างสูงกำยำก็ถูกรัดด้วยเหล่ามือมารขาวซีด ท่อนขาถูกรวบมัดเข้าด้วยกัน ท่อนแขนถูกตรึงกางออกเหมือนตัว ‘Y’
เทพบุตรดิ้นเกร็งจนเห็นกล้ามเนื้อบนเรือนร่างอย่างเด่นชัด
“…เจ้า!”
ขณะที่เทพบุตรกัดฟันกรอดอยู่ด้านบน อุรามิก็ลอยเคลื่อนไปประจันหน้า ก่อนจะใช้ฝ่ามือทั้งสองสัมผัสแก้มของเทพบุตรอย่างแผ่วเบาแล้วออกแรงปรับตำแหน่งให้เงยขึ้น
“โถ ๆ ๆ … เมื่อกี้ข้าเจ็บนะท่าน”
ว่าแล้วเขาก็ยิ้มมุมปาก หัวเราะ “ฮึฮึหึ” อย่างเลือดเย็น
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่…”
ดวงตาสีเขียวสั่นคลอน ก่อนคิ้วหนาสีน้ำตาลจะขมวดเข้าหากัน
อุรามิยกยิ้มอย่างเย้ยหยัน ตอบว่า…
“เดี๋ยวท่านก็รู้เอง…ไม่อันตรายหรอกน่า”
ใบหน้าที่เคยห้าวหาญกลายเป็นสับสน ขณะเดียวกันใบหน้าขาวซีดของอุรามิก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้ใบหน้าของเทพบุตร กระทั่งลมหายใจรดแผ่วใบหน้าของอีกฝ่าย
ทันใดนั้นพายุเรืองแสงสีมรกตก็หมุนจากเบื้องล่าง ก่อนจะปกคลุมร่างของเทพบุตรคิกิที่ถูกตรึงอยู่เบื้องบน เศษใบไม้คมราวใบมีดหั่นเฉือนร่างของอุรามิในพายุหมุน จนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยร่วงหล่นสู่พื้นดิน
ขณะที่เทพบุตรคิกิค่อย ๆ ลอยลงมา เหล่าชิ้นเนื้อของอุรามิที่ร่วงหล่นบนพื้นก็พุ่งเกาะทั่วร่างของเทพบุตรคิกิทันที
“เปล่าประโยชน์!”
เทพบุตรคิกิแผดเสียงทุ้ม พายุสีมรกตก่อตัวปกคลุมร่างสูงอีกครั้ง
ทว่า…ชิ้นเนื้อของอุรามิก็แทรกตัวเข้าไปในรูหูของเทพบุตรคิกิราวกับของเหลว
“อั๊ก…”
เมื่อเทพบุตรคิกิร้อง ชิ้นเนื้อก็แทรกเข้าไปในช่องปาก ดวงตาสีเขียวเบิกกว้าง กล้ามเนื้อทั่วร่างกระตุกเกร็ง พายุที่หมุนล้อมค่อย ๆ อ่อนกำลังลงจนมอดดับ ร่างสูงใหญ่ทรุดลงนั่งบนผืนดิน
ขณะที่เทพบุตรคิกิหอบกระตุกอยู่นั้น ผิวหนังบริเวณแผ่นหลังของเขาก็มีบางอย่างกระดุกกระดิกจากด้านใน
“ขอข้าออกไปหน่อยนะ หึหึ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าขาวซีดของอุรามิซึ่งโผล่จากแผ่นหลัง จากนั้นร่างของอุรามิก็ยืดไหลออกมาสู่ด้านนอกราวกับตัวทาก ก่อนจะประกอบร่างกลับดังเดิม
“เจ้า!”
เทพบุตรคิกิกระโดดหมุนตัว ลุกขึ้นยืนตั้งท่าเตรียมจู่โจมทันที
“ช้าก่อน ๆ ข้ามีอะไรให้ท่านดู หึหึหึ”
อุรามิเงยหน้า ยกมุมปากข้างหนึ่งหัวเราะแล้วอย่างวิปริต จากนั้นก็ใช้มือขวาล้วงเข้าไปกลางอกของตน
เมื่อนำมือออกมาจากร่าง ดวงจิตสีเขียวสว่างวาบก็ปรากฏบนฝ่ามือ
“ดูนี่สิ จิตวิญญาณเทพของท่าน ถ้าท่านฆ่าข้าก็เท่ากับฆ่าตัวตาย ข้าไม่ขอให้ท่านปลดแค่ผนึกอย่างเดียวหรอกนะ ฮะฮะฮ่า”
เห็นแบบนั้นเทพบุตรคิกิก็ขบกราม ขมวดคิ้วอย่างโกรธแค้น
“หน็อย… เจ้า”
“เชื่อง ๆ หน่อยสิ ไม่น่ารักเลยนะทำหน้าแบบนั้น”
ว่าแล้วอุรามิก็ออกแรงบีบดวงจิตสีเขียวในมือแน่นขึ้น
“อึก…”
เทพบุตรคิกิกุมหน้าอกทรุดตัวลงทันที
…
“ยังมีอีกตำนานหนึ่งเล่าว่า บนหุบเขารกกะทางตอนเหนือซึ่งเต็มไปด้วยไอพิษ บนยอดเขานั้นมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า ‘ต้นคิกิ’ ขึ้นอยู่ ใบของต้นคิกินั้นสามารถปลดผนึกได้ทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคำสาป หรือเวทผนึกที่ไม่คนรู้จัก”
ลินจิพุ้ยข้าวพลางฟังชายชราเล่า จากนั้นก็วางถ้วยข้าวลงก่อนถามว่า
“แล้วทำไมไม่ลองไปเด็ดใบของต้นคิกิมาล่ะครับ บางทีอาจจะใช้ปลดผนึกเพกัสได้”
“…หืม”
ชุนได้ยินลินจิถามเช่นนั้นจึงปรายตามอง
ชายชรายกแก้วชาค้างไว้กลางอก ส่ายหน้าช้า ๆ บอกว่า
“หุบเขารกกะเต็มไปด้วยไอพิษรุนแรง ไม่สามารถมีใครเข้าใกล้ได้ แถมยังมีอีกตำนานหนึ่งเล่าว่า ‘ต้นคิกิ’ คือเทพบุตรซึ่งถูกสาปเป็นต้นไม้กลางหุบเขา ซึ่งข้าก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนเล่าเรื่องนี้”
“งั้นก็เท่ากับว่าเป็นสิ่งที่ไม่รู้แน่ชัดสินะ”
ชุนเอ่ยพลางคีบผักดองค้างเอาไว้ ก่อนจะยื่นใส่ปาก
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ขอรับ”
หลังจากที่ชายชราตอบ ลินจิก็ลุกพรวดขึ้นมาจากโต๊ะ กำหมัดยกแขนอย่างฮึกเหิม บอกว่า…
“จะมัวโอ้เอ้อยู่ไม่ได้แล้ว ขืนมีใครใช้พลังของต้นคิกิไปปลดผนึกเพกัสได้ก่อนต้องแย่แน่ ๆ”
“เจ้าหมายความว่ายังไง”
ชุนถาม ปรายตามองลินจิคู่หนึ่ง ก่อนจะปรับสายตากลับมายังเซตอาหาร
“จะหมายความว่ายังไงเล่า ก็ต้องไปเอา ‘ใบคิกิ’ มาสิ จากนั้นก็เผาต้นมันทิ้ง”
“หา…”
ชายชราสะดุ้งจนมืออีกข้างปัดตะเกียบหล่นจากโต๊ะ ก่อนจะถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งโดยไม่สนใจตะเกียบบนพื้น
“เผาเลยหรือครับ”
ลินจิกอดอกปิดตายิ้ม พยักหน้าสองครั้ง
ชุนหันไปมองแล้วส่ายหน้า ถามว่า…
“อย่างเจ้าจะผ่านไอพิษบน ‘หุบเขารกกะ’ ได้เหรอ”
ลินจิซึ่งยืนกอดอกอยู่ เงยหน้ามองต่ำร้อง “ฮึ” จนไหล่สั่นกระตุก
“ผมเป็นใคร… คิดสิคิด ผมเป็นเทพเจ้าผู้สร้างโลกนะ อย่าลืมสิ”
ว่าแล้วลินจิก็ชูนิ้วโป้งจิ้ม ๆ ไปที่อกของตัวเองหลายครั้งตามจังหวะการพูด
“อ้าวเหรอ… ข้าคิดว่าสุนัขรับใช้”
ชุนหลับตาข้างหนึ่งเหล่มองลินจิอย่างกวนอารมณ์
ลินจิเบิกตากว้าง ปีกจมูกบานแล้วหุบด้วยความโมโห หน็อย… จากนั้นก็กระแทกก้นลงพื้นดังปัง! พลางกอดอกสะบัดหน้าเชอะใส่
หมู่นี้ชุนแกล้งลินจิบ่อยขึ้น แม้ลินจิจะงอน ๆ อยู่บ้าง แต่พอนึกย้อนดูก็พบว่า ตนก็แกล้งชุนไว้เยอะเช่นกัน ดังนั้นลินจิจึงหยวนให้โดยไม่โต้แย้ง พูดอย่างสบาย ๆ ว่า…
“รีบ ๆ กินสิครับ มัวโอ้เอ้อยู่นั่นแหละ เคี้ยวข้าวมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่ได้เคี้ยวหญ้าสักหน่อย”
ชุนคิ้วกระตุกหงึก หันขวับไปทันที เทพตนนี้ช่างปากดี ด่าเขาว่าเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง คิดว่าเขาไม่รู้เรื่องหรือไง
ขณะเดียวกันลินจิก็ใช้ฝ่ามือค้ำพื้นแล้วเอนตัวไปด้านหลัง ก่อนจะเหยียดขาทั้งสองสอดใต้โต๊ะอย่างสบายใจ จากนั้นก็ส่ายเท้าไปมาพลางผิวปากไม่รู้ไม่ชี้
ชุนกัดริมฝีปากล่างแล้วลงมะเหงกทันที
“อ๊ะ…โอ๊ย”
ลินจิย่นหัวคิ้วพลางใช้มือลูบศีรษะ
ชายชรามองทั้งสองตาปริบ ๆ ก่อนลากเสียงยาว
“เอ่อ…”
ชุนและลินจิได้ยินเสียงก็หันไปมอง
“ตอนนี้ก็ยามบ่ายแล้ว ข้าเกรงว่าถ้าพวกท่านออกเดินทางอาจจะมืดเสียก่อน อย่างน้อยอยู่พักที่นี่สักคืนเถอะขอรับ”
ชุนและลินจิหันหน้ามองกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ต่างคนก็ต่างพยักหน้า
จากนั้นพวกเขาก็หันตอบชายชราว่า…
“ตกลง!”
…
“อะไรนะ ข้าไม่เอาด้วยหรอก!”
ชุนร้องออกมาขณะนั่งอยู่ในห้องโล่งขนาดหกเสื่อในบ้านของชายชรา รอบห้องมีเพียงตู้เก็บฟูกนอนเท่านั้น
“ชู่… เบา ๆ หน่อยสิ ฟังผมพูดให้จบก่อน”
ลินจิรีบยกมือปิดปากเขา มองจมูกเรียวโด่งสัมผัสกับนิ้วก้อยของตนเอง ส่วนชุนก็มองลินจิอย่างงง ๆ
“ไม่เจ็บหรอกครับคุณชุน แรก ๆ อาจจะไม่ชิน”
ว่าแล้วลินจิก็ใช้อีกมือหยิบแตงกวาที่เพิ่งขโมยจากสวนหลังบ้านของชายชราขึ้นมา
“อะไร เจ้าจะทำอะไร”
ชุนหน้าม่วง เหงื่อตก ปัดมือลินจิออกทันที
“อ๊ะ! ก็… ที่ผู้หญิงชอบทำกันไงครับ”
คำว่า ‘มาสก์หน้าด้วยแตงกวา’ ชุนคงไม่เข้าใจ หากเป็นโลกของตนคงจะสื่อสารตรง ๆ ได้สบายกว่านี้
“มันช่วยบำรุงผิว ทำให้ใบหน้าผุดผ่อง เปล่งปลั่งขึ้น ลดจุดด่างดำ อีกทั้งยังช่วยรักษาฝ้าบนใบหน้าอีกด้วยนะครับ”
“ไม่เอา อย่ามายุ่งกับข้า”
ชุนลุกขึ้นกำหมัดมองอีกฝั่งตาเขม็ง
ลินจิร้อง “ฮึ” ใช้แตงกวาชี้หน้าทันที บอกว่า…
“อยากหน้าดำคล่ำเครียดต่อไปก็ตามใจ อีกหน่อยตีนกาขึ้นหน้าไม่รู้ด้วยนะ”
“เรื่องของข้า…”
ว่าแล้วชุนก็เดินปึงปังหน้าเครียดออกจากห้อง ส่วนลินจิก็กัดริมฝีปากล่างมองตาม ก่อนจะหันกลับมา
ชิชะ หล่อเสียเปล่าไม่รู้จักดูแลรักษาหน้าให้ดี เป็นเขาหน่อยไม่ได้ จะหั่นแตงกวาโปะไว้ให้ทั่วร่างเลย โง่จริง ๆ ผู้ชายคนนี้ ขณะที่ก่นด่าในใจ สายตาก็เหลือไปเห็นดาบของชุนบนพื้น
ลินจิกะพริบตาสองครั้ง
…
ไม่นานนักชุนก็เดินกลับมาจากสวน เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมดาบไว้ในห้อง
วินาทีที่เลื่อนเปิดบานประตู ก็พบลินจิกำลังใช้ดาบประจำตระกูลของตนนั่งหั่นแตงกวาใส่จานอย่างสบายใจเฉิ่ม
“นี่เจ้า!”
ลินจิหยุดมือก่อนหันมา ส่วนชุนก็ก้าวขาปึงปังเข้าหาทันที
“อ๊ะ!”
ร่างเล็กลอยขึ้นจากแรงยกของสัตว์ป่า จากนั้นขายาวก็หวดเข้าที่กลางก้นของลินจิ
“อ้า…….!”