ซัพที่28: มาเตรียมงานแต่งกันเถอะ!
ซัพที่28: มาเตรียมงานแต่งกันเถอะ!
จินหลงตะลึงกับคำตอบและแววตาแน่วแน่นผสมดื้อด้านของอี้เทา ไม่ว่าจะพูดยังไงเด็กตรงหน้าก็มิยังมิลดละความพยายาม ตั้งใจจะให้จินหลงตั้งชื่อใหม่ให้เขาให้ได้ แม้จะเดินหนีก็ถูกตามติด จนกระทั่งเจ้าตัวแสบทนไม่ไหว
“จินหยางเค่อ! ข้าให้เจ้าชื่อจินหยางเค่อ เจ้าเลิกตามข้าได้แล้ววว” จินหลงแทบแหกปากลั่นป่า ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นอย่างอ่อนแรง ติงอี้เทาหรือจินหยางเค่อเมื่อได้ชื่อใหม่ ดวงตาจึงแพรวพราวประดุจได้รับสิ่งล้ำค่ามาอยู่ในมือ จื่อจงเห็นหยางเค่อลั่นล้าไปทั่ว จึงเดินมาหาจินหลง
“ยอมแพ้แล้วหรือ?” จื่อจงถาม องค์ชายน้อยจึงพยักหน้าหงึกหงัก
“ยอมแล้ววว ไม่เคยเจอใครดื้อด้านเช่นนี้มาก่อนเลย โอยยย” จินหลงแทบสิ้นพลัง จื่อจงก้มมองเจ้าตัวแสบที่อยู่ที่พื้น ก่อนถามต่อว่า
“แล้วทางท่านพี่ล่ะเป็นไงบ้าง การก่อสร้างกระท่อมคืบหน้าไหม” เจ้าตัวแสบถาม จื่อจงจึงหันไปมองบริเวณที่พวกเขากำลังสร้างกระท่อม
“ก็นะ.. น่าจะอีกเป็นเดือนกว่าจะเสร็จ หวังแต่จะไม่มีฝ..อุ๊บ!” ไม่ทันที่จื่อจงจะพูดจบ จินหลงรีบเด้งตัวมาใช้มือปิดปากอีกฝ่าย
“อย่าพูดออกม๊า รู้ไหมว่าทุกครั้งที่พูดประโยคประมาณนั้นออกมา มันก็จะซวยเข้าจริงๆ” เจ้าตัวแสบรีบร้องห้ามตาเหลือก ไม่ให้จื่อจงพูดคำว่า หวังแต่จะไม่มีฝนตกลงมา
จื่อจงดึงมือเล็กออก ก่อนจะดุเด็กชาย
“เจ้าจะบ้าหรือไง จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ทุกวันนี้ฟ้าใสนัก ยากจะมีฝน” จินหลงถอนหายใจ
“ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ ข้าเตือนพี่แล้วนะ แล้วนี่พี่จะไปกับท่านหมอเลยไหม?” องค์ชายน้อยเปลี่ยนประเด็น พร้อมกับมองไปทางเมิ่งชงหยวนที่กำลังคุยกับกลุ่มเอ้อหู่ ท่าทางพวกเขาดูเอะอะโวยวายผิดปกติ
“ข้าว่าจะอยู่ดูทางนี้สักพักน่ะ ทางนั้นยังมีพวกหนานจิงอยู่ด้วย” จื่อจงที่กำลังคุยกับจินหลงเมื่อได้ยินเสียงเอะอะเกินปกติ สุดท้ายก็ต้องหันไปมอง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” จื่อจงพึมพำ จินหลงเอียงคอน้อยๆ เชิงบอกว่าเขาเองก็ไม่เข้าใจ ภาพที่เห็นดูท่านหมอเมิ่งชงหยวนกำลังยินดีอะไรบางอย่าง ส่วนหนานจิงและหลานถิงดูตกตะลึงนัก ต่างจากหลานหรงและเอ้อหู่ที่มีท่าทางเขินอาย
เมื่อเมิ่งชงหยวนสังเกตได้ว่าจินหลงและจื่อจงกำลังมองพวกเขาอยู่ จึงวิ่งโร่เข้ามาด้วยความยินดี ทว่าเอ้อหู่กลับรีบวิ่งตามมาอย่างตาเหลือก
“ข่าวดีๆๆ! เอ้อหู่กับหลานหรงจะแต่งงานกันแล้ววว” ทั้งตระกูลหันขวับมาที่ท่านหมอเป็นตาเดียว ใบหน้าของเอ้อหู่และหลานหรงแดงเถือก ฝ่ายสาวเจ้าก้มหน้าหงุดด้วยความเขินอาย
“ท่านหมอ! ท่านจะตะโกนป่าวประกาศทำไม๊!” เอ้อหู่แทบอยาก กระโดดถีบเมิ่งชงหยวน หากไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นนายจ้าง เขาคงทำไปแล้ว
จินหลงอ้าปากค้าง วันนี้จะมีเรื่องให้เขาช็อกอีกกี่เรื่องกันเนี่ย! หายไปแค่เดือนเดียวทำไมทุกอย่างเปลี่ยนไปขนาดเน๊
“นี่เรื่องจริงหรือเนี่ย” จื่อจงตะลึงไม่ต่างจากองค์ชายน้อย เอ้อหู่พยักหน้าด้วยความเขินอาย
“จริงสิ ข้ากับหลานหรงตั้งใจจะแต่งงานกัน อาศัยอยู่ในเมือง เช่าที่เปิดร้านอาหารกัน” เอ้อหู่เอ่ย ตัวเขาและหลานหรงดูใจกันมานาน เก็บสะสมเงินกันทีละน้อย จนได้เวลาอันสมควรที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน
“แล้วพวกเจ้าจะไปจัดงานกันที่ไหน?” จื่อจงถามต่อ หลานหรงจึงเดินมาข้างๆ เอ้อหู่
“ข้าคิดว่าคงจะไม่ได้จัดพิธีอะไรมากหรอก คงแค่พิธีสาบานต่อฟ้าดิน พวกข้าเองก็ไม่ได้มีเงินมากเพียงนั้น” หลานหรงยิ้มจางๆ จินหลงได้ยินดังนั้นดวงตาคู่น้อยของจินหลงจึงลุกวาว
“ไม่ด๊ายยยยยยย” เจ้าตัวแสบแหกปากห้ามลั่นป่า ทุกคนสะดุ้งเฮือกมองหัวหน้าตระกูลตัวน้อย
จินหลงก้าวมาด้านหน้าด้วยสายตามุ่งมั่นผิดปกติ
“งานแต่งน่ะ ถือเป็นเรื่องสำคัญของผู้หญิงเลยไม่ใช่เหรอ! จะปล่อยให้แค่เรื่องไม่มีเงินมาขวางเนี่ยนะ!” ท่าทางมุ่งมั่นของเจ้าตัวแสบ ทำให้หลายคนไม่เข้าใจ
“อยู่ร์หาน เจ้าอาจจะยังเด็กจึงไม่เข้าใจ แต่งานแต่งนั้นจำเป็นต้องใช้เงินมาก พวกข้าสู้ไม่ไหวหรอก” หลานหรงยิ้มเศร้า จินหลงยืนกางขากอดอก
“งั้นก็จัดงานที่ไม่ต้องใช้เงินซะเลยสิ!” หลานหรงเงยหน้ามองเด็กน้อย
“เจ้าหมายความเช่นไร?” จินหลงเดาะลิ้น
“ก็ในเมื่อพวกเจ้าเป็นเด็กกำพร้าทั้งคู่ เรื่องของหมั้นของหมายไรนั่นก็ไม่ได้จำเป็นนี่ พวกเราก็แค่จัดงานแต่งกันที่นี่เลย พวกข้าจะเป็นคนช่วยจัดงานเอง!” ดวงตาของทั้งสองเบิกกว้างด้วยความตะลึง ก่อนจะหันไปมองโดยรอบ
“ที่นี่น่ะหรือ?!” ทั้งสองมองวิวทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยป่าไม้ ทะเลสาบ เสียงนกร้อง และเด็กน้อยใหญ่ที่ยืนล้อมรอบ ก่อนจะหันมามองหน้ากันด้วยแววตาเป็นประกาย
ดีเลยนี่!
“ส่วนข้าจะหาฤกษ์งามยามดีให้พวกเจ้าเอง” เมิ่งชงหยวนอาสา จินหลงถึงกับตาเหลือกหันขวับไป สีหน้าตกใจยิ่งกว่าเห็นแมลงสาบวิ่งอยู่กับพื้น
“ท่านเนี่ยนะหาฤกษ์ได้?!” จินหลงตกใจ จนท่านหมอถึงกับฉุน
“ก็ต้องหาได้อยู่แล้วสิเห้ย ท่านก็เคยเห็นข้าใช้ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์แล้วมิใช่หรือไร” เมิ่งชงหยวนเอะอะโวยวาย
นี่องค์ชายน้อยไม่คิดจะเชื่ออะไรเขาเลยใช่ไหมเนี่ย!!
“ข้าไม่เชื๊ออออ นั่นน่ะเจ้ามั่วขึ้นมาหลอกหลวงผู้คนมิใช่หรือ” จินหลงแสดงท่าทีตกอกตกใจจนท่านหมอหมั่นไส้
“หากจะสู้กับหมอหัวโบราณ สู้กับคนไข้ที่ไม่ยอมเชื่ออะไร ก็ต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้ไว้มิใช่หรือไร!” ท่านหมอโต้แย้ง แต่เจ้าตัวแสบยังแสดงท่าทีไม่เชื่ออย่างเด่นชัด จื่อจงทนไม่ไหวต้องออกมาห้ามปราบ
“พอๆๆ เอาเป็นว่าให้ท่านหมอเมิ่งกลับไปดูฤกษ์ดีก่อน ส่วนพวกเอ้อหู้เองก็กลับไปเตรียมตัวกลับไปทำงาน เรื่องทางนี้พวกข้าจัดการเอง” จื่อจงห้ามทัพ ทว่าหยางเค่อหรืออี้เทากลับเดินเข้ามา
“ไม่ใช่แค่พวกท่านหมอ แต่เจ้าก็ต้องกลับด้วยเหมือนกัน” หยางเค่อกอดอกด้วยความมั่นใจ
“แต่ถ้าข้ากลับไปใครจะคุมทุกคนเล่า อยู่ร์หานเองอีกก็ต้องกลับแล้ว” จื่อจงเป็นกังวล หยางเค่อจึงกดอกแล้วกระตุกยิ้ม
“ข้าจินหยางเค่อ จะเป็นผู้ดูแลทุกอย่างเอง ไว้ใจข้าได้เลย” หยางเค่อฉีกยิ้ม ก่อนจะหันไปถามทุกคน
“ใช่ไหมพวกเรา!” เสียงเฮตอบรับดังลั่นไปทั่ว
“พี่จื่อจงเหนื่อยเพื่อพวกเรามามากแล้ว ท่านไปตามทางของท่านเถอะ”
“พวกข้าอยู่ได้ ท่านพี่อย่าได้เป็นห่วงไป”
“ใช่ๆ ท่านไปเถอะอย่าได้ห่วงพวกเราเลย”
เสียงพี่น้องที่ให้กำลังใจ ทำให้จื่อจงน้ำตาปริ่ม เขารีบเช็ดน้ำตาออกก่อนมันจะไหลลงมา แล้วเงยหน้าเอ่ยว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าจะพยายาม!” จินหลงมองฉากตื้นตันน้ำตาไหลด้วยสีหน้าเฉยเมย มือน้อยๆ หยิบปลาตากแห้งในห่อใบไม้ขึ้นมากินประดุจฉากตรงหน้าเป็นเพียงซีรีส์ฉากหนึ่ง
“งั้นพี่ก็ไปเก็บของได้แล้ว เอ้อหู่กับหลานถิงจะพาท่านหมอลอบกลับเข้าไปส่งในเมือง ส่วนท่านกับหลานหรงแล้วก็หนานจิงก็นั่งรถม้ากลับไปพร้อมข้า” จินหลงสั่งการ ทั้งที่ยังเคี้ยวปลาแห้งในปากตุ้ยๆ ไม่ยอมหยุด
“หัวหน้าตระกูล ท่านเองก็ควรจะหยุดกินได้แล้วนะ” หยางเค่อหันมามองจินหลงที่เอาแต่กินไม่ยอมหยุด จนปลาแห้งที่พวกเขาเก็บตุนเริ่มเหลือน้อย
“เรียกข้าอยู่ร์หานก็พอ” เจ้าตัวแสบยังไม่หยุดมือ
แหม่ ใครไม่ได้ลองกินไม่รู้หรอกว่าไอ้นี่กินเพลินขนาดไหน นี่ถ้าคลุกเกลือสักนิดนี่สนุกปากเลย
“หัวหน้าตระ..”
“อยู่ร์หาน”
“...ท่านอยู่ร์หาน”
“อยู่ร์หาน”
“ท่านอยู่ร์หาน”
“อยู่ร์หาน!”
“ท่านอยู่ร์หาน!”
“ก็บอกให้เรียกแค่อยู่ร์หานไงเห้ยยยยย” เจ้าตัวแสบหมดความอดทนเมื่อหยางเค่อยังคงดื้อด้าน
“ก็ข้าจะเรียกท่านว่าท่านอยู่ร์หาน! หรือท่านจะให้ข้ากลับไปเรียกท่านว่าท่านหัวหน้าตระกูล!” องค์ชายน้อยอ้าปากค้าง นี่เขาต้องสู้กับความดื้อด้านของหยางเค่ออีกแล้วหรือ!
“ในฐานะที่ข้าเป็นผู้นำตระกูลจินหู่ ข้าขอสั่งให้เจ้าเรียกข้าว่าอยู่ร์หาน!” จินหลงงัดไม้ตายขึ้นมาใช้ หวังให้อีกฝ่ายยอมสยบ
“ในฐานะที่ข้าเป็นหนึ่งในผู้แต่งตั้งท่านเป็นผู้นำตระกูล ขอสั่งให้ทุกคนเรียกท่านว่าท่านอยู่ร์หาน!” ..งี้ก็ได้เหรออออ!
องค์ชายสี่อ้าปากพะงาบๆ กับความดื้อด้านอันไม่มีที่สิ้นสุดของหยางเค่อ
“ก็ข้าไม่อยากได้ฐานะอะไรทั้งนั้นนี่!” จินหลงกำหมัดแน่น เริ่มหงุดหงิด หยางเค่อกอดอกสะบัดหน้าหนี จื่อจงที่ยืนมองอยู่นานจึงเข้ามาพูดคุย
“น้องอยู่ร์หาน เรื่องนี้ข้าขออยู่ข้างอี้เทา..ไม่สิ หยางเค่อนะ” จินหลงเงยหน้ามองจื่อจงด้วยความไม่เข้าใจ
“ข้าเองก็เข้าใจเจ้า ว่าตัวเจ้าอยากใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตอง แต่วันนี้กลุ่มเราไม่ใช่กลุ่มเล็กๆ แล้ว จำเป็นต้องมีผู้นำ จำเป็นต้องมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะเหตุนี้พวกข้าจึงตั้งเป็นตระกูลจินหู่ ไม่ใช่หมู่บ้านจินหู่ พวกเราทั้งหมดยังมีความสัมพันธ์เป็นครอบครัว แต่ครอบครัวเองก็ต้องมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายพี่น้อง ถึงแม้ข้าจะไม่ได้พบความรู้สึกเช่นนี้มา แต่ก็รู้ว่ามันมีอยู่” จื่อจงอธิบาย จินหลงหรี่ตามองเขา ก่อนจะเอ่ยว่า
“งั้นเจ้าก็เป็นปู่ไปสิ” จื่อจงอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเจ้าตัวแสบจะเล่นเช่นนี้
ระหว่างที่เดินทางเข้าเมือง จินหลงนั่งอยู่ด้านในพร้อมกับจื่อจงและเมิ่งชงหยวน ปล่อยให้หลานถิงและหนานจิงคุมม้า ส่วนเอ้อหู่และหลานหรงนั้น พวกเขาปล่อยให้สวีทหวานกันอยู่อีกคัน มิเช่นนั้นคนในรถม้าคงโดนมดกัดหมดแน่ จินหลงนั่งกอดอกงอนตุ๊บป่อง จื่อจงถอนหายใจกับท่าทางของเขา
“ท่านอยู่ร์หาน ท่านจะดื้ออยู่ทำไม” คำพูดที่ห่างเหินของจื่อจง ยิ่งทำให้เจ้าตัวแสบพองแก้มไม่พอใจ
“ปล่อยให้ดื้อไปนั่นแหละ เดี๋ยวก็กลับมาเป็นปกติ” เมิ่งชงหยวนนอนไขว้ขาอ่านตำรา
องค์ชายน้อยพ่นลมหายใจ เรื่องให้คนอื่นเรียกเขาว่าท่านอยู่ร์หานน่ะเขาไม่สนหรอก แต่พอคนสนิทอย่างจื่อจงเรียก มันกลับทำให้รู้สึกใจหายจนผิดปกติ จนอดไม่ได้ที่จะหวนรำลึกถึงอดีต
ทั้งวันที่เขาได้เจอกับจื่อจงครั้งแรก วันที่เขาพาทุกคนออกจากเมือง วันที่ต้องหนีฝูงแมลงสาบ วันที่ต้องฝึกวิชา ทุกวันล้วนแต่มีจื่อจงคอยอยู่ช่วยทั้งนั้น.. สำหรับเขาจื่อจงก็เปรียบเสมือนพี่ชายยิ่งกว่าเหวินหลงร้อยเท่าพันเท่าล้านเท่า เขาทนฟังจื่อจงเรียกเขาว่าท่านอยู่ร์หานไม่ได้หรอก!
จู่ๆ จินหลงก็แกะห่อผ้าห่อหนึ่งที่บรรจุจอกเหล้านับสิบไว้ เขาหยิบจอกสองจอกออกมา แล้วจึงเอื้อมไปแย่งขวดเหล้าของเมิ่งชงหยวน ก่อนจะยื่นจอกหนึ่งให้จื่อจง ดวงตาคู่น้อยเต็มไปด้วยความไม่พอใจและแน่วแน่
“ท่านจะทำอะไร!” เมิ่งชงหยวนเห็นของในมือจินหลงก็เด้งขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ
“ดื่มเหล้าสาบาน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเป็นน้องท่าน ท่านจะเป็นพี่ข้า” จินหลงกำจอกเหล้าในมือ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาสามชาติ เขาไม่เคยได้สัมผัสกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสักครั้ง ในชาติแรกเหล่าพี่น้องต่างเข่นฆ่าล้มตาย แม้แต่น้องชายแท้ๆ ก็ยังมิอาจไว้ใจ ในชาติสอง แม้จะไม่มีสงคราม แม้จะไม่มีบัลลังก์มาเกี่ยวข้อง แต่ตัวเขาก็กลับเกิดมาเป็นลูกคนเดียว.. ในชาตินี้ก็ไม่ต่างจากชาติแรกนักที่ถูกเหวินหลงโจมตีและด่าทอ
การมีพี่น้องน่ะ..มันดีนะ
หากเจอคนที่เราสามารถรับเขาเป็นพี่ได้จริงๆ...
จื่อจงมองจอกเหล้าที่จินหลงยื่นให้ แต่ไม่ทันจะถามหรือเอื้อมรับ ก็ถูกท่านหมอแย่งไปก่อน
“ท่านจะบ้าไปแล้วหรือไง รู้ไหมว่าทำอะไรอยู่! หัดคำนึงถึงสถานะตัวเองบ้างสิ!” เมิ่งชงหยวนต่อว่า
สามัญชนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเนี่ยนะ จะมาดื่มเหล้าสาบานเป็นพี่น้องกับองค์ชายสี่ของแคว้น!
“ถ้าข้าไม่สน จื่อจงไม่สน ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่” จินหลงยังคงนิ่งเฉย จื่อจงจึงหันมามองเมิ่งชงหยวนด้วยความไม่เข้าใจ
“บุตรขุนนางไม่อาจเป็นพี่น้องกับเด็กกำพร้าเช่นพวกข้าได้เชียวหรือ?” เมิ่งชงหยวนส่ายหัวอย่างแรง
ถ้าเด็กตรงหน้าเขาเป็นแค่บุตรขุนนางก็ดีสิ แต่นี่เป็นถึงตัวเต็งฮ่องเต้เชียวนะ ขืนฝ่าบาทรู้เข้าอาจสั่งตัดหัวจื่อจงก็ได้
“ท่านหมอ ข้ารู้ว่าท่านห่วงอะไร แต่หากไม่ว่าใครหากแตะต้องตระกูลจินล่ะก็ ข้าก็ไม่ล่ะเว้นมันแน่” เด็กน้อยเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้กับเมิ่งชงหยวน
“เห็นข้ามุ้งมิ้งน่ารักอย่างนี้ แต่บทโหดข้าก็โหดได้นะ ฮ่าๆๆ” เมิ่งชงหยวนกุมขมับ
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้ข้าไม่เกี่ยวแล้วกัน” เมิ่งชงหยวนถอนหายใจ จื่อจงจึงหันมาทางจินหลง และรับจอกเหล้าไว้ มองมันอยู่สักพักก่อนจะวางลง
“ข้าคิดดูแล้ว อย่าดีกว่า..” จินหลงกัดริมฝีปากแน่น
“เจ้าไม่เห็นข้าเป็นน้องหรือ?” เสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ทำให้จื่อจงต้องรีบส่ายหน้า
“ไม่ใช่ ข้าเองก็เห็นเจ้าเป็นน้องข้าคนนึง แต่ข้าเป็นเพียงเด็กกำพร้า ไม่คู่ควรจะเป็นพี่น้องกับลูกขุนนาง ทั้งนอกจากนี้เราก็มีตระกูลจินแล้ว ไม่จำเป็นต้องแลกจอกใดๆ” จื่อจงพยายามอธิบาย จินหลงสูดหายใจเข้า ระงับอารมณ์
“ท่านพี่.. ท่านรู้ไหมในโลกที่ข้าอยู่ ล้วนแต่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด มีพี่น้องก็ไม่ต่างจากการมีศัตรู ทุกวันข้าต้องถูกพี่ชายแท้ๆ ไล่ทำร้าย ทั้งยังมีพี่น้องต่างแม่นับไม่ถ้วน สำหรับข้าการที่ได้อยู่กับตระกูลจินนั้นมีความสุขมาก และการได้อยู่กับท่าน ข้าก็ยิ่งเห็นท่านเปรียบเสมือนพี่แท้ๆ” คำพูดของจินหลงสร้างความกดดันกับจื่อจงนัก เขาหันไปหาเมิ่งชงหยวนเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่าท่านหมอเพียงมองแต่หางตา
“เจ้าตัดสินใจเอาเองเลย ถ้าอยู่ร์หานคิดถึงผลที่ตามมาดีแล้ว ข้าก็ไม่บังอาจห้ามหรอก” เมิ่งชงหยวนพลิกตัวนอนหันหลังให้ จินหลงหยิบจอกของจื่อจงมารินเหล้า และยื่นให้จื่อจงอีกครั้ง
“ข้าจะยื่นจอกนี้ให้ท่านเป็นครั้งสุดท้าย ท่านคิดเองแล้วกัน หากไม่มีฐานะผูกมัด ท่านจะรับจอกนี้หรือไม่ หากไม่.. ข้าก็จะปฏิบัติต่อท่านเหมือนทุกคน” บรรยากาศรอบตัวจินหลงเปลี่ยนไป จื่อจงนิ่งคิด ก่อนจะตัดสินใจรับจอกเหล้านั้นมา
“ท่านพูดก่อนเลย” จินหลงกระตุกยิ้ม จื่อจงมองจอกเหล้าในมือ ก่อนจะเม้มปาก
“ข้า จินจื่อจง ขอรับเหออยู่ร์หานเป็นน้อง มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ไม่มีวันทิ้งกัน” จื่อจงเอ่ยสั้นๆ จินหลงกระตุกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาให้ได้ยินกันเพียงภายในรถม้า
“ข้าเหออยู่ร์หาน ยินดีเป็นน้องท่าน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าจะช่วยท่าน ไม่มีวันทิ้งกัน” สิ้นเสียงจินหลงจึงแกล้งทำท่ายกจอกกระดก ปล่อยให้จื่อจงดื่มไปก่อน
“ข้าเหออยู่ร์หานหรือเจิ้งจินหลง องค์ชายลำดับที่สี่ของแคว้นเจิ้ง ยินดีเป็นน้องท่าน ขอสาบานข้าจะมิให้ฐานะก้าวก่ายความสัมพันธ์พี่น้อง จะไม่ใช้ยศฐาข่มท่านหรือคนในตระกูลจินหู่ และจะไม่มีวันทอดทิ้งใคร” เจ้าตัวแสบกระดกเหล้าเข้าปาก ต่างจากจื่อจงที่พ่นเหล้าออกมา
“พรู่ดดดด!”