Chapter 12: หญ้าพิษมังกร
ชายร่างใหญ่หลายคนล้อมฟางหยวนเอาไว้ในมือมีกระบองไม้
ภายใต้สภาพทั่วไป คนผู้หนึ่งคงถูกทุบตีเจียนตาย
ฟางหยวนยังไม่ทันได้เริ่มฝึกวิทยายุทธ์และดูเหมือนว่าจะต้องโดนทุบตีเจียนตายเป็นแน่ แต่เขากลับมองไปที่ผู้ชายเหล่านั้นพร้อมยิ้ม
“เจ้ายังกล้ายิ้มอยู่รึ ตีมันจนกว่ากระดูกมันจะหัก!”
“ลงมือ!”
ผู้ชายจากตระกูลโจวเหล่านี้ทั้งอำมหิตและหยาบกระด้าง
ฟิ้ว!
แสงสว่างหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วกะพริบวาบไปมาหลายครั้งในบริเวณนั้น
“อ๊ากก!”
หลังจากนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องให้ได้ยิน
เมื่อโจวเหวินซินได้สติขึ้นมานั้น นางก็พบว่าผู้คุ้มกันทั้งหมดของนางพ่ายแพ้แล้ว นางกุมแขนขวาที่มีเลือดอาบไว้แน่น
“อะ...พลังอะไรกันนั่น?”
ใบหน้าของนางซีดขาวลงทันตา เมื่อฟางหยวนเดินมาถึงตัวนาง นางก็รู้สึกกลัวจนถอยหนีทันทีพลางพูด “หยะ... อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ!”
“คุณหนูโจว ข้าทำข้อตกลงกับท่านลุงหลิน สมุนไพรนั่นก็เป็นเขาตรวจสอบ แล้วใครบอกเจ้าว่าสมุนไพรนั่นเป็นของปลอม?”
ฟางหยวนค่อย ๆ เดินเข้าไปหานางด้วยท่าทางเย็นชา ถ้าวันนี้เขาไม่มีฮวาหูเตียวอยู่ด้วยแล้ว เรื่องราวคงจะแย่กว่านี้
“ว้าย!”
โจวเหวินซินสะดุดล้มลงไปขณะถอยหนี นางเริ่มร้องไห้
“โฮ... เจ้ามันอันธพาล!”
“ไร้สาระ!”
ฟางหยวนพูดไม่ออก
เห็นได้ชัดว่าพวกที่มานี้ไม่ได้เป็นตัวดีอะไรแล้วทำไมถึงได้ถูกจ้างเป็นผู้คุ้มกันได้กัน?
“พูดออกมาเดี๋ยวนี้ หรือว่าอยากจบลงแบบเจ้าพวกนี้!”
ฟางหยวนขู่นางโดยเตะเข้าที่หนึ่งในผู้ชายที่ล้มกลิ้งอยู่
จากที่กรีดร้องอยู่ โจวเหวินซินก็หยุดร้องไห้ทันทีแล้วพูด “เป็น.. เป็นซ่งจื๋อเกาพูด!”
“ใครคือซ่งจื๋อเกา?”
“กัมประโดของสำนักกุยหลิง!”
...
ด้วยวิธีการซักถามของฟางหยวน โจวเหวินซินผู้โอหังก็พ่นความจริงและเปิดเผยทุกอย่างออกมา
ตามที่นางบอก หลังจากได้โสมแดงภูเขาไปจากการตกลงก่อนหน้านี้ พี่น้องตระกูลโจวก็เอาไปให้เหล่าโจวด้วยความดีใจ
เหล่าโจวอาการดีขึ้น แต่ไม่นานก็ทรุดลง และจนถึงตอนนี้ ไม่มียาใดช่วยรักษาอาการป่วยของเขาได้เลย!
แม้ว่าคุณชายรองตระกูลโจวและหลินเปิ่นชูจะเข้าใจว่าไม่ใช่ว่าโสมแดงภูเขาของฟางหยวนไม่ได้ผล แต่ด้วยความเจ้าอารมณ์ของนาง โจวเหวินซินจะเข้าใจได้อย่างไร?
นอกจากนี้ ตระกูลโจวยังมีความใกล้ชิดกับซ่งจื๋อเกา และซ่งจื๋อเกาตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของโสมแดงภูเขา
“ซ่งจื๋อเกา? กัมประโดที่รับผิดชอบติดต่อซื้อขายกับภายนอกสำนัก?”
ฟางหยวนลูบคางไปมาแล้วนึกบางอย่างได้
“ข้าไม่เคยพบหรือได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อน ไม่มีเรื่องบาดหมาง แต่ข้าคิดว่าการหมั้นหมายกับเหลยเยว่อาจจะเป็นบ่อเกิดของความวุ่นวายนี่...”
หากรู้ล่วงหน้าว่าการหมั้นหมายนี้จะก่อความวุ่นวาย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงไม่ยอมรับการหมั้นหมายตั้งแต่แรก
“เจ้าบอกว่า ถ้าผู้อื่นยอมพูดแล้วจะปล่อยผู้อื่นไป..”
ในตอนนี้ โจวเหวินซินน้ำตานองหน้า ดูน่าสงสารแทนที่จะดูร้ายกาจ
สาวงามจากตระกูลมั่งคั่งที่ต้องมาพ่ายแพ้อยู่บนเขาจะดูเป็นอย่างไรได้กัน?
อย่างไรฟางหยวนก็ถือว่าตัวเองอายุมากกว่านางเป็นแน่
“ตอนนี้เจ้ากลับไปได้แล้ว! เอาสุนัขบ้านเจ้าพวกนั้นกลับไปด้วย!”
นิสัยที่แท้จริงของฟางหยวนถูกผู้คนมากมายพบเห็น เขาแทบจะอดทนไม่สังหารใครและทำลายร่องรอยของการสังหารทิ้งไม่ได้ สีหน้าของเขาเย็นชา
“ไปได้แล้ว!”
โจวเหวินซินกับผู้คุ้มกันของนางรีบล่าถอยออกไปทันทีราวกับมีน้ำหลากลูกใหญ่ไล่ตามพวกมันมาด้านหลัง
ในใจของพวกมัน ฟางหยวน ที่ไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงเอาชนะชายร่างใหญ่หลายคนได้อย่างง่ายดายนั้นไม่ต่างไปจากผู้วิเศษลึกลับที่ใช้มนต์ดำ
...
“กิกี๊?”
ฮวาหูเตียวปรากฏตัวขึ้นหลังจากคนพวกนั้นจากไป มันเดินวนรอบตัวฟางหยวนรอบแล้วรอบเล่าราวกับทวงค่าตอบแทน
“เจ้าทำได้ดีมาก! และที่สำคัญ ความเร็วของเจ้า...เร็วขึ้นกว่าเดิมแล้ว!”
ตั้งแต่ในไร่เมื่อตอนนั้น ฟางหยวนได้เห็นฮวาหูเตียวใช้พลังเต็มที่เป็นครั้งแรก ฮวาหูเตียวก่อนนี้ที่หนีไปเหลือไว้เพียงเงาของมันให้เห็นเท่านั้น
จนตอนนี้ ดูเหมือนว่าเป็นเพราะชาวิญญาณความเร็วของมันจึงพัฒนาไปอีก มันเร็วจนกระทั่งพวกผู้คุ้มกันเหล่านั้นไม่รู้กระทั่งว่าถูกอะไรจู่โจม
แม้ว่าฟางหยวนจะบอกให้จัดการสถานเบา ผู้คุ้มกันเหล่านั้นก็ยังถูกจู่โจมค่อนข้างหนักอยู่ดี
“โชคดีที่เจ้ายังไม่ได้หนักมือจนเกินไป ไม่อย่างนั้น...”
เขาลูบหัวของฮวาหูเตียว ในใจแอบกลัวอยู่บ้าง
ฮวาหูเตียวหรี่ตาลงอย่างรู้สึกสบาย ยกเท้าหน้าขึ้นโบก ราวกับพูดว่า “ไม่มีใครที่ข้าเอาชนะไม่ได้!”
ฟางหยวนอดหัวเราะท่าทางของฮวาหูเตียวไม่ได้
...
“แม้ว่าฮวาหูเตียวจะเก่งกาจนัก แต่ตามในตำรายุทธ์ แม้ว่าฮวาหูเตียวจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจได้ด้วยความสามารถของมันที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ก็อาจจะมีคนที่สามารถตามรอยฮวาหูเตียวมาถึงที่นี่ได้!”
ที่ด้านในหุบเขา ฟางหยวนกำลังอ่านตำรายุทธ์ฝ่ามือทรายดำ
ในตอนนี้ ฮวาหูเตียวนับได้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจผู้หนึ่ง
คนที่โจวเหวินซินพามาเมื่อครั้งก่อนนั้นมีแค่ความสามารถระดับต่ำที่ไม่สามารถเรียกว่าวิทยายุทธ์ได้ แม้จะได้เรียนกระบวนท่ามาบ้าง แต่พวกมันก็ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์
ด้วยความสามารถของตระกูลโจว พวกเขาย่อมมีผู้เก่งกาจอยู่บ้าง
ฟางหยวนจึงไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะผู้อื่นที่อาจเก่งกาจกว่าที่โจวเหวินซินอาจจะพามาคราวหน้าได้
“โสมแดงภูเขาของข้าไม่ควรมีปัญหาใด ถ้าเหล่าโจวมีปัญหาเพียงด้านร่างกาย อาการไม่ควรทรุดลงหลังกินโสมแดง!”
ฟางหยวนมั่นใจในคุณภาพสมุนไพรของตนเองเป็นธรรมดา
“ถ้าอย่างนั้น...การบาดเจ็บของมันควรจะมีบางอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเป็นแน่”
เขารู้สึกประทับใจในความกล้าของหลินเปิ่นชูที่ลุยเข้าบ่อน้ำขุ่นนี้มือเปล่า
“ปัญหาก็คือ ตอนเจ้ากระโดดลงบ่อน้ำขุ่นนี่ กลับทำน้ำโคลนสาดใส่ข้าเปียกไปทั้งตัวด้วยอีกคน!”
ฟางหยวนมีท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย
“ถ้าเป็นไปตามระบบนิยายที่เคยอ่านในชีวิตอื่น ๆ ข้าควรจะถือโอกาสออกไปแสดงวิชาแพทย์และรักษาเหล่าโจว แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังการบาดเจ็บครั้งนี่เล่า?”
เขาคิดถึงเรื่องอื่นอย่างเงียบ ๆ
อันที่จริงแล้ว มีวิธีแก้ปัญหานี้ได้ด้วยดี แต่ฟางหยวนไม่อยากทำ
เหตุผลก็คือ...
ปีนี้เขาออกไปจากภูเขาแล้วครั้งหนึ่ง เขายังไม่อยากออกไปอีกแม้แต่ครึ่งครั้ง และมันก็วุ่นวายเกินไปถ้าจะต้องหาตัวคนทรยศไปด้วยระหว่างรักษา
ฟางหยวนอ้าปากหาวหลายครั้ง ก่อนจะตัดสินใจไปนอนหลับสักงีบ
...
“ฮวาหูเตียว ถ้าต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดอีกครั้งนี่ ชีวิตของข้าก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วนะ”
ผ่านไปครึ่งวัน ฟางหยวนที่แบกตะกร้าไม้ไผ่และเดินลึกเข้าไปในภูเขา เขามองไปที่ฮวาหูเตียวด้วยความอิจฉา
หุบเขาที่เขาอยู่นั้นเชื่อมต่อกับเทือกเขา และไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกลอบโจมตี เพราะเมื่ออาจารย์เวิ่นซินสร้างกระท่อมขึ้นนั้น ท่านได้ทิ้งเส้นทางหลบหนีเอาไว้หลายทางและมีแค่ฟางหยวนที่รู้เส้นทางเหล่านี้
ฟางหยวนสงสัยจริง ๆ ว่าอาจารย์เวิ่นซินอาจจะกระทำผิดสาหัสไว้ที่ใดสักที่และต้องคอยเอาตัวรอดมาตั้งแต่นั้นเป็นผลให้อาจารย์เวิ่นซินต้องสร้างทางหนีหลากหลายเอาไว้
แต่ก็เพราะสิ่งที่อาจารย์เวิ่นซินเตรียมไว้ ฟางหยวนจึงสามารถหลับอย่างสบายใจได้ทุกวันโดยไม่ต้องกังวลอันตรายใด
เห็นฮวาหูเตียววิ่งไปมาในป่าได้อย่างอิสระ ฟางหยวนก็ขำและก็รู้สึกเสียดาย
ถ้าหนูเตียวขาวตัวใหญ่พอที่จะขี่ได้ ฟางหยวนคงสามารถท่องเที่ยวและสำรวจไปทั่วเทือกเขาชิงหลิงได้ นั่นเป็นเรื่องที่น่าลองทำมาก ๆ
การเดินเขาต้องใช้กำลังกาย โดยเฉพาะเมื่อเข้าลึกไปในหุบเขาและป่าโบราณ ทางเดินโรยกรวดนั้นไม่มี ที่มีคือสัตว์ร้ายและแมลงมีพิษ
ฟางหยวนใช้มีดตัดพุ่มไม้สูงและหนามที่ขวางทางออก เขาเดินหน้าต่อไปพลางหอบหายใจ
หลายวันมานี้เขาใช้ทุกอย่าง ทั้งข่มขู่ ทั้งล่อลวง ให้ฮวาหูเตียวพาเขาลึกเข้ามาในเทือกเขาเพื่อไปหาปุ๋ยพืชวิญญาณ
เขาสงสัยว่าฮวาหูเตียวจะหลอกเขาเข้าแล้ว ตั้งแต่เข้าลึกมาในหุบเขาแล้วเขาก็เพียงพบพืชสมุนไพรหายากไม่กี่ต้นแต่ไม่พบปุ๋ยวิญญาณอะไรเลย
“เลิกเลี่ยงไปเลี่ยงมาได้แล้ว ฮวาหูเตียว จากปริมาณที่เจ้าเอามาตอนนั้น มันยังต้องมีปุ๋ยวิญญาณเหลืออีกเยอะเป็นแน่!”
ฟางหยวนมองตำแหน่งพระอาทิตย์บนฟ้าแล้วหยุดเดิน เขามองหาก้อนหินใหญ่เพื่อนั่งลง ส่งข้าวปั้นก้อนหนึ่งให้ฮวาหูเตียวก่อนจะเริ่มกิน
“กิ๊กิ๊! กิกี๊!”
ฮวาหูเตียวถือข้าวปั้นวิ่งไปมารอบ ๆ ก่อนจะเริ่มแทะข้าวปั้นด้วยท่าทางคล้ายกระรอก มันกินข้าวปั้นหมดอย่างรวดเร็วก่อนจะเริ่มโบกขาหน้าไปมา
หลังจากพยายามอ่านความหมายจากท่าทางของฮวาหูเตียว ฟางหยวนก็เข้าใจได้ในที่สุดว่าฮวาหูเตียวต้องการสื่ออะไร “ดังนั้นข้าจึงยังไม่สามารถไปที่นั่นได้? ข้าทำได้แค่หาของดี ๆ แถว ๆ นี้เท่านั้น?”
เขามองผ่านไหล่ของตัวเองไปที่ตะกร้าไม้ไผ่ที่มีสมุนไพรและพืชหายากจำนวนหนึ่งที่เขาเก็บได้วันนี้ เขาเห็นด้วยกับความคิดนั้น “ตกลง พวกเราจะกลับบ้านหลังจากไปดูที่นั่นสักนิด! สมุนไพรและพืชหายากที่เก็บได้นี่ควรจะต้องเก็บไว้สักที่ที่ปลอดภัย มันมีคุณค่ามากเกินกว่าจะปล่อยให้เสียหายไป!”
หลังจากดื่มน้ำพุลงไปอึกใหญ่ ฟางหยวนก็กลับมามีแรงแล้วพร้อมที่จะเดินต่อไปกับฮวาหูเตียว จากนั้นไม่นานทั้งสองก็ไปถึงแอ่งกระทะแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยหมอกขาว
“อืม... ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของพิษและหมอกพิษ!”
ฟางหยวนมองเห็นสีสันบางอย่างในหมอกแล้วก็ย่นคิ้ว เขาเอายาของอาจารย์เวิ่นซินขึ้นมาทาบนจมูกทันที นายพรานและคนเก็บสมุนไพรที่มักจะเข้ามาในป่าลึกเช่นนี้จำต้องมียาพวกนี้ แต่ยาที่อาจารย์เวิ่นซินทำนั้นเหนือกว่ายาพวกนั้นมาก
“กิกี๊!”
ฮวาหูเตียวดูกระวนกระวายขึ้นมานิด ๆ
“ฮ่าฮ่า.. ทีนี้อะไรอีกล่ะ?”
ฟางหยวนเดินตามไปจากนั้นก็ถึงกับต้องสูดหายใจลึก “หญ้าพิษมังกร?!”
ตรงหน้าของเขานั้นเป็นแอ่งเล็ก ๆ ที่มีก้อนหินสีขาวล้อมรอบ ตรงกลางเป็นพืชสีม่วง
พืชราคาแพงนี้อาจารย์เวิ่นซินเคยกล่าวถึงมาก่อน เป็นพืชที่เติมโตในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพิษ และมีประสิทธิภาพสูงในการจัดการกับพิษชนิดอื่นเมื่อใช้เป็นยา ยาต้านพิษร้ายแรงหลายตำรับต้องมีพืชชนิดนี้ประกอบ
“สมุนไพรที่ดี!”
ดวงตาของฟางหยวนเป็นประกายวับ แต่เขาไม่ได้ขยับตัว
พืชพวกนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นกึ่งพืชวิญญาณ และมักจะมีสัตว์พิทักษ์อยู่ใกล้ ๆ