บทที่18: หงซาเถียน
บทที่18: หงซาเถียน
นับตั้งแต่ที่มาเป็นเจ้าเมืองที่หัวอัน หงซาเถียนดูแลทุกคนอย่างซื่อสัตย์ ยึดถือกฎหมายแต่ไม่ละทิ้งเมตตา ตัดสินทุกอย่างด้วยคุณธรรม นับเป็นหนึ่งในข้าราชการตงฉินที่ถูกกล่าวถึงในช่วงนี้
หัวอันเป็นเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง ไม่ถือว่าโดดเด่นหรือเจริญก้าวหน้า แต่นับเป็นเมืองที่มีทิวทัศน์สวยงามร่มรื่น สภาพเมืองติดภูเขา มีป่าเยอะ ไม่ติดแม่น้ำ ผู้คนหากินด้วยการค้าขาย มีการเลี้ยงสัตว์ทางการเกษตรจำพวกหมูและวัวอยู่ที่ชานเมือง มีบ่อน มีหอนางโลม แต่ไม่มีพวกอันธพาลซ่องซุ่มกำลังก่อความเดือดร้อน
หากจะมีที่เรียกว่าผู้มีอิทธิพลในเมืองนี้ คงมีอยู่แค่เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือสกุลงักซึ่งเป็นเจ้าของผืนดินทางแถบตะวันออก คฤหาสน์หลังใหญ่ของพวกนั้นอยู่ติดกับป่าต้องห้ามที่อีกด้านของมันเป็นกำแพงนอกด่านซึ่งมีการพบคนตายห้าสิบสองศพถูกแขวนคอไว้บนต้นไม้แถวนั้น ทุกร่างมีฝ่ามือเลือด
หงซาเถียนไม่รู้ว่าใครทำ ไม่รู้ว่าคนที่ทำ ทำไปเพื่อประสงค์ใด คดีนี้ยังปิดไม่ได้และหาคำตอบไม่เจอ กระทั่งผู้ที่เสียชีวิตเป็นใคร ยังไม่อาจตรวจสอบได้ ที่รู้คือบรรดาคนพวกนั้นไม่ใช่ผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองนี้ และคนที่ลงมือย่อมมีจิตใจวิปริตอำมหิตผิดมนุษย์
จากวันนั้นมาผ่านมาร่วมครึ่งเดือน ร่างศพแม้แช่ไว้ในห้องเย็นก็เริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็นและบวมอืดแล้ว เจ้าเมืองหัวอันส่งสาส์นแจ้งข่าวไปตามเมืองใกล้เคียง เพื่อสอบถามว่ามีการแจ้งความเกี่ยวกับผู้สูญหายไหม แต่ก็ยังไม่ได้ความอะไร เขาคิดหากยังไม่มีความคืบหน้าในอีกวันสองวัน คงจำเป็นที่จะต้องเผาศพทั้งหมดเพื่อกันการเกิดโรคระบาด ที่ทำได้อย่างมากคงเป็นการจดบันทึกรูปร่างลักษณะไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น เพื่อไว้เป็นข้อมูลในวันข้างหน้า
นึกถึงตรงนี้ก็ได้แต่หนักใจ เพราะนอกจากปริศนาที่ว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างไม่คลี่คลายก็คือคนในสกุลงัก ที่ดินแถบนั้นไม่มีใคร จึงไม่มีพยาน แต่มีชาวบ้านบางคนร่ำลือว่าคุณหนูสกุลงักอยู่ในป่าแห่งนั้นตอนเกิดเรื่อง บางที นางอาจจะเห็นอะไรบ้าง เขาไม่ได้คิดแง่ร้ายขนาดที่ว่างักฮัวจะเป็นคนกระทำ เพราะสตรีร่างเล็กเช่นนางคนสู้ชายวัยฉกรรจ์ห้าสิบกว่าคนไม่ไหว
สิ่งที่ซาเถียนคิดถึงและกังวลใจ คือพวกภูตผีปีศาจ อสูรกายหรือมารร้าย ที่เริ่มมีคนพบเห็นกันตามเมืองต่างๆ ก่อนหน้านี้ไม่นานที่หัวเมืองใกล้เคียงก็เห็นว่า เกิดเรื่องผีร้ายที่มีแค่หัวออกทำร้ายเข่นฆ่าผู้คนจนเรื่องราวใหญ่โต ถึงเขาไม่เคยพบเห็นและเมืองนี้ก็ไม่เคยปรากฏสิ่งแปลกประหลาดเช่นนั้น แต่มีคนกล่าวถึงขนาดนี้ ซาเถียนก็เชื่อมากว่ามันมีอยู่จริง
ด้วยเหตุนี้จึงหวังว่าการสอบถามจากคุณหนูสกุลงักจะช่วยให้รู้เบาะแสอะไรได้บาง หากเป็นสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นจะได้เตรียมตัวหาทางป้องกันชาวบ้านและเมืองนี้ได้ทัน
ใครจะนึกว่าการให้เกียรติอีกฝ่าย โดยการเดินทางไปเพื่อสอบถามด้วยตัวเอง ไม่ส่งมือปราบหรือออกหมายเรียกไปตามมาที่ศาล กลับได้รับผลตอบแทนเป็นการบอกเพียงว่า
“น้องสาวข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร และนางไม่เห็นสิ่งใด เชิญพวกเจ้ากลับไปเถิด” ก่อนที่จะถูกคุณชายใหญ่สกุลงัก งักหลิวปิดประตูกระแทกใส่ตรงหน้าอย่างไม่นับถือกัน
ถึงซาเถียนจะอยู่ที่เมืองหัวอันมาน้อยกว่าที่ตระกูลงักอยู่ แต่ชาวบ้านก็ยังให้เกียรติเขาสมกับที่เจ้าเมืองคนนี้ควรได้รับจากการทำงานอย่างตั้งใจ
สกุลงักเสียอีกที่นับวันยิ่งกระทำการเสื่อมถอยจนจะไม่เหลือเค้าความดีที่บรรพชนเคยสร้างไว้ให้คนนับถือ ไม่พูดถึงแม่เฒ่าฝูหรือคุณชายเล็กที่สติไม่สมประกอบ เพราะพวกนั้นเก็บตัวอยู่แต่ในคฤหาสน์ น้อยครั้งจะออกมาแต่ก็ไม่เคยสร้างความวุ่นวาย
แต่อย่างคุณชายรองที่เป็นคุณชายเสเพลคนนั้น เที่ยวหาเรื่องละลานคนไปทั่ว ไม่พอใจใครก็ท้าตีท้าต่อย ใช่ว่าจะสู้ใครเขาได้ เกิดเรื่องหลายครั้ง ก็ร้อนถึงแม่เฒ่าฝูต้องมาออกหน้า จนชาวบ้านที่เมื่อยอมความเพราะเห็นแก่คุณความดีเก่าก่อนของตระกูล
นี่ยังไม่นับเรื่องที่สร้างหนี้สร้างสินจนล้นพ้น เห็นว่าที่ตระกูลอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เพราะทำงานหาเงินอะไร แต่เป็นเพราะสมบัติที่จักรพรรดิเคยประทานให้มีมากโข แต่ดูตอนนี้สิ กำแพงคฤหาสน์เก่าโทรมเต็มไปด้วยรอยร้าวยังไม่อาจบำรุงให้ดีขึ้นได้
ตามความเห็นส่วนตัว ซาเถียนคิดว่าเป็นเพราะเงินที่มีเจอคุณชายรองคนนี้ผลาญไปหมดแน่นอน
ส่วนคุณชายใหญ่ งักหลิว วางท่าสุขุม แต่เย่อหยิ่งจองหอง ไร้มนุษยสัมพันธ์ อ้างตัวว่าป่วย เดินทางครั้งหนึ่งต้องมีคนแบกเกี้ยวหามอย่างกับขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์ ทั้งที่ความจริงก็เป็นเพียงชาวบ้าน ยกตนข่มคนอื่น ทำเหมือนมีความรู้ แต่แท้จริงก็เพียงแค่กบในกะลา
ที่เป็นปริศนาสุดในตระกูล คงเป็นคุณหนูเล็กของบ้านสกุลงัก งักฮัว มีข่าวลือแปลกๆ มาจากผู้คน ว่านางชอบเข้าไปในป่า บ้างว่านางเปลือยกายอยู่ในนั้น บ้างว่านางสติไม่ดีเหมือนพี่ชายอีกคน เขาเคยสอบถามคนเก่าคนแก่ของเมืองเพื่อไขความกระจ่าง จึงได้รู้ว่าบิดานางก็เป็นเช่นนี้ แก้ผ้าอยู่ในนั้น
หนึ่งในคนเฒ่าคนแก่บอกว่า ที่ทำเช่นนั้นเพราะงักหลอ บิดาของนางกำลังตามหาสมบัติของตระกูล ซาเถียนเคยได้ยินอยู่บ้างเรื่องสมบัติตระกูลงัก แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ เพราะเห็นว่าไม่เกี่ยวกับตน ที่เขาห่วงคือความสงบสุขของชาวบ้านและเมืองหัวอันเท่านั้น และว่าตามตรง ถ้าไม่ติดที่มีสกุลนี้อยู่ในเมือง เจ้าเมืองเช่นเขาคงสบายใจกว่านี้
ช่างเป็นตระกูลที่ลึกลับซับซ้อนเสียจริง...
“หวังว่าเช้าวันนี้จะไม่เกิดเรื่องอะไรให้วุ่นวายขึ้นมาอีกนะ”
ซาเถียนรำพึง ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ พลางถอนหายใจ มองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกจนทำให้อากาศเย็นชื้น
ไม่ทันขาดคำ เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากด้านนอกห้องโถง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เจ้าเมืองถามมือปราบที่ยืนอยู่ใกล้ตัว ก่อนจะนึกได้ว่าอีกฝ่ายจะไปรู้ได้เช่นไรในเมื่อยืนอยู่กับตนตั้งแต่เมื่อครู่
“ไปดูหน่อยซิ”
มือปราบพยักหน้ารับคำ แต่เดินไปแค่ไม่กี่ก้าว ยังไม่พ้นประตูห้องด้วยซ้ำ มือปราบอีกคนก็ถลาเข้ามาท่าทางร้อนรน
“ตะ ตะ ใต้เท้า แย่แล้วใต้เท้า ใต้เท้าแย่แล้ว” มือปราบที่เพิ่งเข้ามาพูดย้ำวกวนด้วยอาการเหนื่อยหอบ
“ใจเย็นๆ อาเหวิน มีอะไร เกิดอะไรขึ้น”
“สกุลงัก!”
แค่คำนี้ก็ทำให้ซาเถียนผุดลุกขึ้นยืนและผวาในใจ
“สกุลงักทำไม มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกนั้น”
“มีคนตาย คุณชายรองงักเจียง ตายแล้ว”
“ตาย! ดะ ได้ไง วันก่อนข้ายังเห็นเขาดีๆ อยู่เลย”
“โดนฆ่าตาย! เขาโดนฆ่าตาย บ่าวของตระกูลถูกส่งให้มาแจ้งความ มันบอกว่าคุณชายรองโดนฆ่าตาย ที่ศพมีฝ่ามือเลือดเหมือนกับห้าสิบสองศพก่อนหน้านี้”
แค่ประโยคนี้ก็ทำให้ซาเถียนที่ยืนอยู่ทรงตัวไม่ไหว ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้อย่างสิ้นเรี่ยวแรง
“เวรกรรมอะไรกัน เรื่องเก่ายังไม่ทันจาง เรื่องใหม่กลับถาโถมซ้ำเข้ามา” ซาเถียนคิ้วขมวดรู้แน่ว่าตัวเองกำลังเจอปัญหายากที่จะรับมือ
“แต่บ่าวคนนั้นยังบอกอีกด้วยว่า...” อาเหวินเว้นช่วงเพื่อหายใจ
“บอกอะไร ยังมีเรื่องอะไรร้ายแรงกว่านี้อีก”
“มันบอกว่า จับตัวคนร้ายได้แล้วครับ”
แค่คำนี้กลับทำให้ซาเถียนที่ไร้กำลังดีดตัวขึ้นอยู่ได้อีกครั้ง ดวงตาของเจ้าเมืองหนุ่มเบิกโพลง
“แต่...” อาเหวินพูดตะกุกตะกัก สีหน้าคล้ายยินดีของซาเถียนเกิดขึ้นได้แวบเดียว เพราะรู้ว่าอะไรก็ตามที่มีคำว่าแต่ต่อท้าย ย่อมไม่ใช่เรื่องดี
“คุณชายเล็ก งักโยวหายตัวไป กระทั่งตอนนี้ก็ยังตามหาตัวไม่เจอ”
อีกครั้งที่ซาเถียนนั่งลงบนเก้าอี้อย่างกลุ้มใจ
“และ...” อาเหวินยังคล้ายพูดไม่จบ
“พอแล้ว! ยังมีเรื่องอะไรอีก ข้าจะไปคุยกับพวกเขาเอง เตรียมเกี้ยว! ข้าจะไปสกุลงัก”
“นั่นละครับที่ข้าจะบอก และเขาให้บ่าวมาตามใต้เท้าไปที่คฤหาสน์” อาเหวินเอ่ยเบา ซาเถียนถอนหายใจแรงอย่างหงุดหงิด
............................................
ทันทีที่รุ่งสางมาเยือน โจวหม่าจงกับหานตงก็ออกเดินทางจากเมือง สองมือปราบขี่ม้าอย่างไม่เร่งร้อน จุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้อยู่ที่เมืองหัวอัน
โจวหม่าจงใคร่ครวญมาตลอดว่าจะช่วยหานตงยังไงให้ได้เป็นมือปราบต่อไป ในเมื่อแขนข้างหนึ่งขาดหายไปวรยุทธ์ที่เคยมีก็แทบใช้ไม่ได้เช่นดังเดิม เมื่อทบทวนอยู่นานก็หาทางออกได้ข้อหนึ่ง นั่นคือเขารู้จักยอดฝีมือกระบี่เดี่ยวผู้มีแขนเพียงข้างเดียวเช่นกัน คนผู้นี้ไม่ใช่แค่เก่งกาจ แต่นับเป็นสุดยอดฝีมือซ้ำยังมีวิชาตัวเบาอันล้ำเลิศ หากหานตงได้กราบคนผู้นี้เป็นอาจารย์ อย่างว่าแต่เป็นมือปราบ ให้เป็นจอมยุทธ์ท่องยุทธภพก็สามารถทำได้
ปัญหาคืออีกฝ่ายจะรับหานตงเป็นศิษย์ไหมเท่านั้นเอง เขาพอจะรู้จักเคยช่วยเหลืออีกฝ่ายอยู่บ้าง แม้กระนั้นถึงเขาจะไปเอ่ยปากฝากฝังด้วยตนเอง ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้จอมยุทธ์ผู้นั้นเห็นแก่สัมพันธไมตรีที่มี หากเขาปฏิเสธคงก็จนใจจะบีบบังคับ ทว่าจะมานั่งกังวลใจว่าอีกฝากจะตอบรับหรือปฏิเสธก็เท่านั้น ในเมื่อมีทางทำก็ต้องทำ ไม่ว่าผลมันจะเป็นเช่นไร
เรื่องคิดเล็กคิดน้อยไม่ใช่วิสัยของโจวหม่าจงผู้นี้อยู่แล้ว
เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้น เขาก็บอกกับหัวหน้ามือปราบเฉาเกาว่าจะออกเดินทางไปทำธุระเกี่ยวกับงานพร้อมหานตง เฉาเกาที่หลังเกิดคดีผีไร้ร่างก็ดูจะว่าง่ายนิสัยดีขึ้น จึงไม่ขัดอะไร
จากเมืองที่อยู่ เดินทางโดยการขี่ม้าเช่นนี้ หากควบเร่งไปด้วยความเร็วโดยไม่แวะพักที่ไหน น่าจะถึงได้ภายในยามค่ำคืน ทว่าหากขี่ไปเรื่อยๆ ก็อาจจะถึงในรุ่งเช้าของอีกวัน
ดูจากอาการของหานตงที่ยังบังคับม้าไม่คล่อง ม่าจงจึงเห็นควรว่าน่าจะขี่ไปช้าๆ ดีกว่า และเขายิ่งแน่ใจว่าควรทำเช่นนั้น เมื่อเดินทางไปได้เพียงหนึ่งชั่วยามแล้วได้พบเจอคนที่ไม่คาดฝัน
“คุณหนูเฉินหลิน”
คนถูกเรียกสะดุ้งตกใจ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายถูกว่าที่พ่อบุญธรรมใช้ให้มา ดรุณีน้อยหันไปมองสีหน้าพรั่นพรึง แล้วรีบหันหลังโกยอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต
หม่าจงกับหานตงหันมองหน้ากันด้วยแปลกใจ ทำไมอีกฝ่ายต้องวิ่งหนี หากเป็นคนอื่นทั่วไปเขาคงคิดว่าเป็นโจรผู้ร้ายหรือคนๆ นั้นกระทำผิดอะไรมา แต่อย่างเฉินหลิน...
ไม่สิ! ได้ยินมาว่าวันนี้เศรษฐีหม่าจะทำพิธีรับนางเป็นบุตรบุญธรรม แล้วทำไม... ดรุณีน้อยถึงมาอยู่ที่นี่
ไม่นั่งคิดบนหลังม้าให้เสียเวลา โจวหม่าจงถีบเท้าทะยานออกจากหลังม้า สับขาเตะอากาศสองจังหวะแล้วกระโจนไปดักหน้าเฉินหลินได้อย่างทันท่วงที เฉินหลินเห็นเช่นนั้นยิ่งตระหนก
หานตงกุมบังเหียนม้าของลูกพี่ไว้
“ไม่ทราบว่าคุณหนูเฉินหลิน ไม่สิ ต้องเป็นคุณหนูหม่าหลิน ท่านกำลังจะรีบไปที่ใด?” โจวหม่าจงเอ่ยถามน้ำเสียงเป็นมิตร
จากประโยคดังกล่าวทำให้เฉินหลินคิดได้สองเรื่อง หนึ่งโจวหม่าจงไม่ได้มาร้าย สองว่าที่พ่อบุญธรรมไม่ได้ใช้เขามา
“ข้ากำลังจะนำอัฐิของท่านพี่กลับไปบ้านเกิด” เฉินหลินตีหน้าเศร้าแล้วกล่าวปด
“แต่วันนี้มีพิธีรับท่านเป็นบุตรบุญธรรมมีในวันนี้ไม่ใช่หรือ?”
“ไม่ใช่ เอ่อ คือ ใช่ ตอนแรกจะมีในวันนี้ แต่พอดีข้าคิดขึ้นมาได้ว่าอยากให้พี่สาวได้กลับไปอยู่กับบิดามารดา จึงขอให้ท่านหม่า เอ่อ ท่านพ่อบุญธรรมเลื่อนวันไปก่อน ข้าจะได้เป็นคนของสกุลหม่าอย่างไม่กังวลใจ”
“อ๋อออ ว่าแต่ทำไมท่านเดินทางคนเดียว”
“จริงๆ ท่านหม่า เอ่อ ท่านพ่อบุญธรรมก็อยากส่งคนตามมาด้วย แต่ข้าเกรงใจ มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในสกุลเฉิน อย่างน้อยก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนแซ่ ควรทำอะไรเพื่อท่านพี่ด้วยตัวเองเป็นการแสดงความกตัญญู”
“อ๋อออ ท่านไม่เอากระทั่งม้า”
“ข้าขี่ม้าไม่เก่ง เกรงว่าถ้าเดินทางด้วยม้าคนเดียวจะไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ซ้ำยังกลัวว่าจะทำให้ม้าและตัวข้าเองบาดเจ็บด้วย”
สองคนถามรุกตอบรับอย่างเท่าทัน หม่าจงไม่ไล่ต้อนแม้สงสัยอยู่บ้าง เฉินหลินไม่จนหนทางไถลไปได้อย่างไม่ผิดสังเกตจนเกินไป
“พวกท่านล่ะ กำลังจะไปที่ใด”
“หัวอัน ข้ากำลังจะไปเมืองหัวอันแล้วท่านละ”
เฉินหลินลังเล หากตอบว่าไปที่เดียวกันจะเป็นการควรหรือไม่ ยังไม่ทันคิดคำตอบได้ หม่าจงก็กล่าวต่อ
“ยังไงเส้นทางนี้ก็ต้องผ่านเมืองหัวอัน ยังไงเราเดินทางไปพร้อมกันก่อนแล้วพอถึงที่นั้นค่อยแยกกัน ท่านว่าดีไหม ข้ากังวลใจว่าท่านเดินทางคนเดียว เกิดอะไรขึ้นจะเป็นอันตรายได้” หม่าจงไม่บีบบังคับแต่ก็ไม่เปิดทางให้ปฏิเสธ
“ก็ได้ เดินทางด้วยกันก็ดีเหมือนกัน”
“งั้นเชิญท่านขึ้นม้าเถอะ เดี๋ยวข้าจะคอยจูงให้” หม่าจงเดินไปรับบังเหียนม้าจากหานตง เข้าส่งสายตาให้อีกฝ่าย
หานตงพยักหน้ารับรู้ได้ว่าหากมีโอกาส ให้ส่งพิราบสื่อสาส์นส่งข่าวให้กับเศรษฐีหม่าทันที...