บทที่ 26 สัญญาณอันตรายที่สัมผัสเห็น
บทที่ 26 สัญญาณอันตรายที่สัมผัสเห็น
ค่ำคืนผ่านพ้นไป เช้าวันที่สามของงานประลองเพื่อค้นหาผู้มีสิทธิท้าชิงตำแหน่งเจ้าตำหนักกำลังจะเริ่มต้นฉากสุดท้ายขึ้นแล้ว วันนี้มีผู้คนคับคั่งมากกว่าสองวันที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นไคล์แมกส์ของการแข่งขันครั้งนี้จึงมีความรู้สึกว่าไม่อยากพลาด ถึงแม้ว่าจะมีการถ่ายทอดสดทางทีวีแต่ก็ยังเลือกที่จะมาดูด้วยตาตัวเองเพื่ออรรถรสในการรับชม
เป็นความโชคดีที่เหล่าผู้เข้าแข่งขันทั้งสี่คนไม่ได้มีอาการบาดเจ็บร้ายแรงจนเกินกว่าจะรักษาไม่ทันงานแข่ง พวกเขาได้ทีมแพทย์ฝีมือดีจากทางจักรวรรดิมาช่วยเหลือเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงทำให้บาดแผลที่ไม่ร้ายแรงมากถูกรักษาหายเป็นปลิดทิ้ง
ฟาร์ชูลันได้รับการรักษาบาดแผลที่มีอยู่ภายนอกและทั้งที่บอบช้ำภายในอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เนื่องจากเธอเป็นแม่มด พอจบการแข่งขันเธอก็คอยรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองด้วยเวทรักษาอย่างสม่ำเสมอตลอดคืน
“ทำให้เต็มที่นะ!” ซิลเวอร์ยืนโบกมือส่งฟาร์ชูลันเข้าไปยังห้องพักรับรองของผู้เข้าแข่งขัน เธอโบกมือกลับก่อนจะเดินเข้าไปเป็นคนสุดท้าย และรอเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงในการเริ่มการแข่งขันคู่แรก
ผลการจับคู่ปรากฏออกมาแล้ว
ฟานซึ่งได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งจากรอบก่อนต้องต่อสู้กับมูรันซึ่งได้คะแนนเป็นอันดับที่สี่ ในขณะที่ฟาร์ชูลันผู้ได้คะแนนเป็นอันดับสองจะต้องต่อสู้กับเรเนลเลี่ยนที่ได้คะแนนเป็นอันดับที่สาม พอผลการจับคู่ออกมาเป็นเช่นนี้ก็ดูจะเข้าทางเรเนลเลี่ยนเป็นพิเศษ เขายังคงไว้ซึ่งท่าทีอวดเบ่งและไม่ยอมรับในตัวตนของฟาร์ชูลันแม้ว่าเธอจะผ่านเข้ารอบมาด้วยคะแนนที่สูงกว่าเขามากก็ตาม
“ข้าจะแสดงให้รู้ว่าพลังปราณต่างหากคืออันดับหนึ่ง ไม่ใช่เวทมนตร์กิ๊กก๊อกอะไรนั่น!” เรเนลเลี่ยนคิดเช่นนี้จริง ๆ เขาพยายามแสดงออกอย่างขึงขังเพื่อหวังจะให้ฟาร์ชูลันได้มองเห็นเขาในตอนนี้ แต่น่าเศร้าที่ฟาร์ชูลันไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวนิ่งคิด สายตาก็จ้องไปทางชายหนุ่มชื่อฟานซึ่งไม่พูดไม่จากับใคร
‘เขาคงเอาชนะมูรันได้ไม่ยาก และถ้าเราเอาชนะเรเนลเลี่ยนได้ก็คงได้ต่อสู้กับเขาจริง ๆ’
เป็นความจริงที่เธอรู้สึกกังวลเกี่ยวกับชายชื่อฟานอย่างบอกไม่ถูก
มันเป็นลางสังหรณ์แปลกประหลาดที่เธอไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง รู้เพียงแค่เธอไม่มั่นใจว่าถ้าหากได้ต่อสู้กับชายคนนี้แล้วจะสามารถเอาชนะได้ พอคิดได้แบบนั้นฟาร์ชูลันก็เริ่มวิตกกังวลขึ้นมา อย่างน้อยสิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับเขาก็คือเขามีพลังปราณอสรพิษ ซ้ำยังบรรลุระดับขั้นที่เจ็ดซึ่งไม่มีนักเรียนเกรดแปดคนไหนสามารถบรรลุได้
ถ้าเธอพ่ายแพ้ให้กับเขา แผนการที่วางเอาไว้ก็จะพัง ทุกอย่างจะสูญเปล่าขึ้นมาทันที
‘แพ้ไม่ได้เด็ดขาด!’
อย่างไรเธอก็ตั้งปณิธานไว้อย่างแรงกล้าแล้วว่าจะเป็นแชมป์ในการต่อสู้ครั้งนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...จนกว่าสไปค์จะกลับมา เธอจะไม่มีวันพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด
ช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว คู่ของฟานกับมูรันได้ขึ้นไปก่อนเป็นคู่แรก สนามประลองที่ถูกปูด้วยกระเบื้องสีอ่อนเรียงรายต่อกันเป็นอาณาเขตกว้างขวางนั้นทำให้ทั้งสองคนดูตัวเล็กขึ้นมาทันใด
การต่อสู้ครั้งนี้มีนักวิเคราะห์มากมายให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าฟานจะต้องชนะมูรันอย่างแน่นอน แต่คงจะเอาชนะมูรันไม่ได้ง่าย ๆ เช่นกัน เนื่องจากมูรันเองก็เป็นหนึ่งในนักเรียนเกรดแปดที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง เขาสร้างจุดยืนของตัวเองขึ้นหลังจากที่สามารถสอบผ่านเกรดแปดได้ทั้งที่เข้าเรียนที่สถาบันมาในระยะเวลาเพียงไม่ถึงสามปีเท่านั้น นักเรียนผู้มากด้วยพรสวรรค์นี้ต่างก็ถูกบรรดาอาจารย์มากมายตั้งความหวังไว้ว่าจะเป็นยอดนักรบปราณในอนาคต รวมถึงอาจจะคว้าตำแหน่งเจ้าตำหนักมาไว้ได้อีกด้วย
ทว่า...โต๊ะนักวิเคราะห์ล้วนหักสะบั้น...
ฟานใช้เวลาเพียงไม่ถึงสามนาทีในการโค่นมูรันลง และยังใช้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น พลังฝีมือที่แสดงออกมาช่างเหนือล้ำกว่าอีกฝ่ายชนิดที่ไม่อาจเทียบเคียงกันได้แม้แต่น้อย เขาเดินลงจากสนามประลองด้วยใบหน้าที่ยังแสดงความรู้สึกแบบเดิมเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้พึ่งโค่นล้มใครมา
ผู้ชมบนโซนคนดูต่างไม่ส่งเสียงพูดจาอันใดออกมา หากเทียบปริมาณแล้วจะพบว่ามีผู้ที่ตั้งใจมาเชียร์มูรันกันอย่างหนาแน่น แล้วพอผลการต่อสู้ปรากฏออกมาแบบนี้ก็ถึงกับเงียบเป็นเป่าสาก ไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจเสียงดังกันด้วยซ้ำไป
‘อย่างที่คิด ทุกอย่างที่เขาแสดงออกมาให้เราได้เห็น ยังไม่ใช่ทั้งหมดของฝีมือที่มีเลยด้วยซ้ำ’
ฟาร์ชูลันกลืนน้ำลายลงคอ คนที่อาจจะได้ต่อสู้กับเธอคนนี้ฝีมือแข็งแกร่งเกินความคาดหมายยิ่งนัก
“พ...เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ทางเราจะเริ่มต้นการประลองคู่ต่อไปเลยนะครับ!”
ผู้บรรยายกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนคนกำลังลนลานอย่างเห็นได้ชัด เพราะการแข่งขันที่พึ่งจบลงไปเมื่อสักครู่นับเป็นการแข่งขันที่เกินความคาดหมายที่สุด มันทำให้บทบาทการเป็นผู้บรรยายของเขาแทบจะไม่มีความจำเป็นต่อสนามแข่งขันเลยสักนิดเดียว เพราะเมื่อมันเกิดขึ้นแบบนั้นแล้ว จะให้เขาบรรยายอะไรได้นอกไปจากคำพูดประมาณว่ามันจบลงไวกว่าที่คิด อะไรแบบนั้น ปิดท้ายด้วยการสรรเสริญผู้ชนะที่สามารถสร้างชัยชนะให้กับตนเองอย่างเด็ดขาด ก็มีแค่นี้
หนำซ้ำคนที่จะประลองต่อในคู่ที่สองยังเป็นคู่ของฟาร์ชูลันผู้สร้างสถิติจบการแข่งขันอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบแรกอีก นี่ถ้าเธอยังทำแบบเดิมในรอบนี้ล่ะก็ เขายังจะต้องบรรยายอะไรเพื่อให้คนดูรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาล่ะ!
ทั้งที่งานแข่งขันครั้งก่อน ๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรแบบนี้เลยแท้ ๆ แต่ทำไมพอมาครั้งนี้ถึงได้มีแต่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วย...
ฟาร์ชูลันกับเรเนลเลี่ยนเดินขึ้นมาบนสนามประลองโดยไม่พูดไม่จาไม่แม้กระทั่งมองตากันเสียด้วยซ้ำ เหตุผลของเรเนลเลี่ยนคือไม่ต้องการสบตากับแม่มดที่เขายังมีความรู้สึกดูแคลนหลงเหลืออยู่ ส่วนฟาร์ชูลันเป็นอีกอย่าง คนที่เธอจับจ้องตอนนี้มีเพียงแค่ฟาน ในสายตาของเธอเหมือนไม่เคยมีคนชื่อเรเนลเลี่ยนอยู่ในนั้น
“เมื่อผมให้สัญญาณแล้ว ทั้งสองคนจะสามารถเริ่มต่อสู้กันได้ในทันที!” ผู้บรรยายประกาศเสียงดังผ่านไมค์โครโฟนบนมือข้างขวา “นี่จะต้องเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านแน่นอน! คนหนึ่งคือนักรบปราณเกรดแปดที่สูงที่สุดในสถาบัน กับอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นแม่มดและยังเป็นเพียงนักเรียนเกรดหนึ่งเท่านั้น!”
“การประลองจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้า ขอให้ทั้งสองคนเตรียมตัวกันให้ดี”
3
2
1
“เริ่มได้!”
ร่างของเรเนลเลี่ยนหายไปจากสายตาของฟาร์ชูลัน เขาปรากฏตัวเบื้องหน้าเธอพร้อมกับเสยเท้าขึ้นหมายจะฟาดใส่ปลายคางของหญิงสาวให้กระเด็นลอยขึ้นไป
ทว่า...เท้าของเขาเมื่อสัมผัสถูกผิวอากาศเบื้องหน้าฟาร์ชูลันก็เกิดความรู้สึกเหมือนปะทะเข้ากับของแข็งที่มีสัมผัสยืดหยุ่นเบา ๆ สิ่งนั้นดีดเท้าของเขาออกมาอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดอาการเสียหลักอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เฮอะ ก็แค่บาเรียกระจอก ๆ ของพวกขี้ขลาด!” ร่างกายของเรเนลเลี่ยนห่อหุ้มไว้ด้วยพลังปราณสีแดงเข้มข้น ออร่าสีแดงของปราณคล้ายปรากฏรูปลักษณ์เป็นใบหน้าของเสือร้ายลอยขึ้นมา เรเนลเลี่ยนตั้งท่าจิกนิ้วเหมือนหยิบคว้าอากาศได้ พร้อมกันนั้นพลังปราณก็ทวีกลิ่นไอสังหารออกมาอย่างหยุดไม่อยู่
ฝ่ามือเขี้ยวพยัคฆ์ พลังปราณระดับห้า!
ออร่าปราณพยัคฆ์ที่แผ่ออกมาทั่วร่างกายไหลเข้าหาฝ่ามือทั้งสองเป็นจุดเดียว ความเกรี้ยวกราดของพลังคล้ายดั่งระเบิดออกมาพร้อมกับเสียงคำรามของเสือที่กำลังหิวโหย เรเนลเลี่ยนถีบพื้นจนแตกเพื่อยันร่างตัวเองให้พุ่งเข้าประชิดกายหญิงสาวในพริบตาเดียว เขาใช้พลังฝ่ามือทะลวงแทงใส่ฟาร์ชูลันด้วยพลังทั้งหมดที่มี
“จบแค่นี้แหละแม่มด!”
เสียงของเรเนลเลี่ยนดังลั่นจนคนดูที่นั่งอยู่โซนรอบนอกได้ยินกันหมด การโจมตีของเขาเกรี้ยวกราดดุดันซะจนทำเอาคิดไปว่าบาเรียของฟาร์ชูลันคงจะแตกกระเจิงแน่แล้ว
ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ บาเรียของฟาร์ชูลันถูกทะลวงแตกอย่างง่ายดายเมื่อต้องสัมผัสกับกระบวนท่าพลังที่แข็งแกร่งมากกว่า แต่ทว่าสีหน้าของเธอกลับดูไม่ยี่หระต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เรเนลเลี่ยนแม้รู้สึกว่าตนต้องชนะแน่แล้วกลับหงุดหงิดใจขึ้นมาเมื่อได้เห็นสีหน้าที่ยังไม่ยอมรับชะตาความพ่ายแพ้นั้น
การ์ดใบหนึ่งลอยขึ้นมาเบื้องหน้าเรเนลเลี่ยนในขณะที่เขาไม่รู้สึกตัว บังเกิดสายลมหมุนควงจากจุดศูนย์กลางของการ์ดใบนั้น ส่งแรงกระแทกผลักให้ร่างของเรเนลเลี่ยนกระเด็นไปไกลลิบลิ่ว
“เพลิงผลาญ”
“เสาน้ำแข็ง”
“บอลสายฟ้า”
“พายุโหมกระหน่ำ”
เวทมากมายเรียงแถวทยอยปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเปลวเพลิงร้อนระอุ ทั้งน้ำที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนก็กลายเป็นน้ำแข็งแช่ร่างเรเนลเลี่ยนไว้ สายฟ้าทรงกลมโจมตีใส่เต็มร่างจนรู้สึกถึงอาการชาอย่างหนักหน่วง ปิดท้ายด้วยลมแรงประดุจพายุไต้ฝุ่นพัดเอาร่างของเรเนลเลี่ยนลอยคว้างขึ้นไปบนเวหา
การ์ดอีกหนึ่งใบถูกหยิบออกมาอีกครั้ง ฟาร์ชูลันเหวี่ยงมันเข้าไปใจกลางพายุที่กำลังบดขยี้ร่างของเรเนลเลี่ยนอยู่ การ์ดใบนั้นส่องแสงออกมาเจิดจ้า เปลี่ยนตัวเองกลายเป็นคลื่นพลังที่ถาโถมบีบรัดเข้ามาที่ใจกลางพายุอย่างรวดเร็ว
“แสงพิพากษาแห่งภูตผู้พิทักษ์สายลมเหนือ”
พลังเวทมนตร์อันร้ายกาจถูกใช้ออกมาอย่างต่อเนื่องชนิดที่ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้หายใจหายคอ เมื่อสิ้นสุดขอบเขตของพลังเวทแล้วก็พบร่างของชายหนุ่มผู้โชคร้ายคนนั้นกำลังทิ้งตัวดิ่งลงมาตามแรงโน้มถ่วง ฟาร์ชูลันยกฝ่ามือขึ้นก่อนจะร่ายเวทออกมาเบา ๆ แล้วร่างที่กำลังจะกระทบเข้ากับพื้นลานประลองก็หยุดชะงักก่อนที่จะสัมผัสพื้นได้ทันท่วงที เธอวางร่างของเรเนลเลี่ยนที่สลบไม่ได้สติลงกับพื้นก่อนจะหันหลังเดินออกไป
“ผ...ผู้ชนะได้แก่ฟาร์ชูลัน! นับเป็นชัยชนะที่เด็ดขาดจริง ๆ ครับ!”
นั่นประไร...แล้วการต่อสู้ก็จบลงแค่นี้จริง ๆ ซะด้วย
ผู้บรรยายเกิดอาการเศร้าขึ้นมาจับใจ...แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่รอบนี้พอจะมีฉากหวือหวาอลังการพอให้เขาได้บรรยายเพื่อทำให้ผู้ชมได้ตื่นเต้นอยู่บ้าง ก็ยังดีแหละ ก็ยังดี...
คฤหาสน์ของเรนเดลในตอนนี้มีบางอย่างเปลี่ยนไป
พื้นที่กว้างมากมายซึ่งประกอบไปด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า สนามสำหรับวิ่งเล่น โต๊ะ เก้าอี้ที่ตั้งอยู่โซนพักผ่อน และอีกหลายอย่างด้วยกัน
ตอนนี้สิ่งเหล่านั้นไม่หายไปก็ต้องตกอยู่ในสภาพที่แตกหักยับเยิน กระจุยกระจายจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีก
“หวังว่าจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้นะมีลาร์” เรนเดลกล่าวกับสหายของตนโดยที่ยังคงไว้ซึ่งใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริงอยู่ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอกลับให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกและกดดันไม่เหมือนกับตอนแรกที่ยิ้มด้วยความน่ารักจริง ๆ
เบื้องหน้าทั้งสองคนปรากฏร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนยืนงอตัวมาข้างหน้า เขาอ้าปากพ่นลมหายใจออกมาถี่รัวเพราะความเหนื่อยล้าที่ประดังเข้ามาไม่มีหยุด ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ เสื้อผ้าบางส่วนก็ยังขาดวิ่นจนมีสภาพไม่ต่างจากที่ขอทานใส่เลยด้วยซ้ำ
รอบตัวของสไปค์มีหลุมลึกบนพื้นมากมาย ฝ่ามือของเขามีไอควันสีอ่อนโชยขึ้นมา
“ไม่ต้องห่วงหรอก เขาคือฝ่ายเดียวกับเราแน่ ๆ” มีลาร์ตอบกลับเรนเดลไปด้วยความรู้สึกอึ้งไม่แพ้กัน
คำว่ารับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นของเรนเดลไม่ได้หมายความถึงบรรดาโต๊ะ ต้นไม้ เก้าอี้ที่ถูกทำลายไปพวกนั้นหรอก แต่หมายถึงอีกความหมายหนึ่งที่ตัวเธอกับมีลาร์ต่างก็เข้าใจกันดี
พลังที่สไปค์แสดงออกมาให้เธอเห็นนั้น...เป็นเหมือนกับพลังของอัชลี่ย์ที่ไม่ได้พบมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว และถ้ามันเพิ่มสูงมากยิ่งกว่านี้ล่ะก็ ใครกันจะสามารถหยุดยั้งสไปค์เอาไว้ได้?
มีลาร์จึงต้องยืนยันเสียงแข็งว่าเขาคือฝ่ายเดียวกัน เพื่อไม่ให้เรนเดลลำบากใจไปมากกว่านี้
เรนเดลคือหนึ่งในสี่สรรพสิ่งผู้เข้าร่วมสงครามเล็ก ๆ เมื่อยี่สิบปีก่อนเช่นกัน เธอคือผู้ได้รับสมญานามว่า วารี หนึ่งในขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดินั่นเอง
“สำเร็จแล้ว” สไปค์มองดูฝ่ามือของตนซึ่งยังมีไอควันจาง ๆ ลอยเด่นขึ้นมา “กระบวนท่ารุก!”
“อย่าพึ่งวางใจไป...เจ้ายังต้องฝึกการควบคุมอยู่อีก”
“ไม่มีเวลาแล้ว” สไปค์พูดตัดบทคนเป็นอาจารย์ทันที
“ถ้าช้าไปกว่านี้ล่ะก็ สถาบันจะเป็นอันตราย” คำพูดของสไปค์หนักแน่นเหมือนสัมผัสเห็นบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ มีลาร์กับเรนเดลจ้องหน้ากันด้วยความรู้สึกพิศวง
“เจ้าจับสัมผัสได้?”
“ได้ตั้งนานแล้ว ข้าถึงรีบฝึกฝนนี่ไงล่ะ ตอนนี้ได้เวลาที่ข้าจะกลับไปแล้ว”
เรนเดลหัวเราะออกมาเสียงดังในขณะที่มีลาร์พยายามใช้นิ้วแคะหูตัวเองเหมือนกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
แน่นอนว่าเขากับเรนเดลก็สัมผัสถึงตัวตนของ ‘ภัยร้าย’ ที่กำลังใกล้เข้ามาได้ มันไม่ผิดไปจากที่สไปค์บอกเอาไว้เลยสักนิด แต่การจะจับสัมผัสถึงสิ่งนี้ได้ก็ไม่ใช่ว่าปุบปับจะทำได้เลย ขนาดตัวเขาเองยังต้องใช้เวลาฝึกฝนนานเป็นสิบปีเพื่อจะเรียนรู้วิธีการสัมผัสถึงสัญญาณพลังเหล่านี้
แต่เจ้าลูกศิษย์ตรงหน้ากลับใช้เวลาเพียงสามสัปดาห์นิด ๆ เท่านั้นก็บรรลุได้แล้ว
เด็กหนุ่มคนนี้ช่างน่ากลัว...น่ากลัวจนเกินไป...
“ขอบคุณท่านทั้งสองจริง ๆ ที่ช่วยทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น ไม่รู้ทำไม พอมีกระบวนท่ารุกแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองสามารถเอาชนะฟาร์เชนได้แน่ ๆ” สไปค์พูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกัน
“อย่าประมาทจะดีกว่า ยังไงฟาร์เชนก็มีพลังระดับเจ้าตำหนัก เจ้าในตอนนี้บางทีอาจจะยังเร็วเกินไปอยู่...แต่มันก็ไม่มีเวลาแล้วจริง ๆ นั่นแหละ” มีลาร์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินเข้าไปหาสไปค์ และมอบของบางอย่างที่หยิบออกมาจากกระเป๋าให้ลูกศิษย์ของตน
มันคือกระจกเงามารที่สไปค์จำเป็นจะต้องใช้เพื่อเปิดโปงตัวจริงของฟาร์เชนนั่นเอง
“วิธีใช้คงไม่ต้องบอก แค่ใช้พลังปราณเปิดผนึกของมันแล้วส่องไปที่ฟาร์เชนเท่านั้น”
“ขอบคุณมากครับท่านอาจารย์!” สไปค์รับเอากระจกมาอย่างรวดเร็ว
“ก่อนจะไป ข้าขอมอบอะไรให้สักนิดด้วยก็แล้วกัน” เรนเดลเดินเข้ามาก่อนจะยกฝ่ามือขึ้น พลังออร่าปราณปรากฏขึ้นมาบนเรียวแขนท่อนเล็ก ๆ ทันใดนั้นสไปค์ก็พบว่าเสื้อผ้าของตนที่ขาดวิ่นจนดูไม่เป็นทรงนั้น เริ่มถูกซ่อมแซมกลับคืนมาเป็นดังเดิมราวกับไม่เคยแปดเปื้อนอะไรมาก่อนเลย
“ขอบคุณจริง ๆ แต่ข้าต้องรีบไปแล้ว” ความรีบร้อนของสไปค์ทำให้มีลาร์อดถามคำถามหนึ่งขึ้นมาไม่ได้
“เจ้ารู้เหรอว่าต้องไปทางไหน?”
“ข้ารู้” สไปค์ตอบกลับสั้น ๆ “ข้าสัมผัสพลังของสหายของข้าได้”
“งั้นสินะ...” เขาทำให้มีลาร์ทึ่งอีกครั้ง เพราะที่นี่กับสถาบันอยู่ห่างไกลกันมาก ถ้าเกิดเจ้าหนุ่มนี่สัมผัสถึงพลังของเพื่อนที่อยู่ที่สถาบันได้ทั้งที่มีระยะเท่านี้ก็แสดงว่าขอบเขตพลังปราณของเขาก็ต้องพัฒนาขึ้นมากเช่นเดียวกัน
สไปค์โบกมือลามีลาร์กับเรนเดลก่อนจะวิ่งออกจากคฤหาสน์นี้ไปทันที
“นายคิดว่าเขาจะไปถึงที่นั่นในกี่ชั่วโมงนับจากตอนนี้” เรนเดลกล่าวถามสหายของเธอเหมือนกำลังนึกสนุกอยากหาคำถามมาทายกันเล่น
“ถ้าตามปกติก็คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสิบชั่วโมง แต่เจ้านั่นตอนนี้...อาจจะใช้เวลาไม่ถึงหกชั่วโมงก็น่าจะไปถึงที่นั่นแล้ว”
“งั้นเรามารอดูผลลัพธ์กันเถอะ”
ใบหน้ายิ้มแย้มของเรนเดลแสดงออกราวกับจะบอกว่าแท้จริงแล้วความคิดของเธอเป็นอีกอย่าง
ถ้าไม่ผิดไปจากที่คาดเดาล่ะก็ แค่ไม่เกินสามชั่วโมงเขาก็น่าจะไปถึงที่นั่นแล้วล่ะ!
เรนเดลเพียงคิดในใจเท่านั้น