ตอนที่ 19 น้ำตาที่ไม่มีทางเหือดแห้ง
ตอนที่ 19 น้ำตาที่ไม่มีทางเหือดแห้ง
“ตอนที่ฟื้นขึ้นมาครั้งแรก เธอมองเห็นวิญญาณของทิมแล้วใช่มั้ย”
เฟย์นะอ้าปากที่กำลังจะต่อว่าเคนเซย์ค้างไว้ ชื่อๆ นี้กับภาพที่เธอเห็นเมื่อตื่นขึ้นมาครั้งก่อนทำให้หญิงสาวเถียงอะไรไม่ออกอีกเลย
“นั่นวิญญาณของทิมจริงๆ เหรอ ใช่เขาจริงๆ มั้ย”
น้ำตาของหญิงสาวไหลออกมาอีกครั้ง เคนเซย์ไม่พูดอะไรทั้งนั้นเพียงแค่เดินไปหยิบกล่องกระดาษทิชชูมาให้แทน
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน ทำไมฉันถึงไม่เห็นเขาอีกเลย”
“เขานั่งเฝ้าเธอมาตลอดเจ็ดวันไม่ไปไหนจนกระทั่งเธอฟื้น คนที่ตายแล้วเป็นวิญญาณต่างก็มีหนทางไปต่อตามกฎของธรรมชาติ แต่เขายังฝืนรั้งตัวเองไว้อยู่ที่นี่เพราะมีห่วงสุดท้ายซึ่งก็คือเธอ ตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ไปไหนหรอกนะ เพียงแต่พลังวิญญาณของเขาอ่อนแรงลงมากจนต้องไปเก็บตัวสักหน่อย ถ้าไม่ทำอย่างนั้นวิญญาณของเขาอาจจะทนกฎธรรมชาติไม่ไหวแล้วหายไปก่อนจะได้ล่ำรากับเธอตอนที่ตั้งสติได้แล้ว เพราะฉะนั้นยิ่งเธอลุกขึ้นมากิน กลับมามีแรงตั้งสติได้เร็วแค่ไหน โอกาสที่จะได้เจอเขาอีกครั้งก็จะยิ่งมากขึ้นไปด้วย”
เฟย์นะทำได้เพียงเม้มปากเข้าแน่นจนสั่น ราวกับกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะรับฟังเคนเซย์ต่อไป
“ถึงมันจะโหดร้ายกับเธอที่อยู่ในสภาพแบบนี้แต่ฉันก็ต้องรีบคุยกับเธอ...เฟย์นะ เพราะตอนนี้เธอยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าคนตาย ทันทีที่เธอฟื้น มีคนอีกหลายคนที่รอคอยสอบปากคำเธออยู่ ตระกูลยูคิฮารุ... พ่อของฉันทำได้แค่ยื้อเวลาไว้เพื่อให้เธอฟื้นและมีเวลาตั้งสติตั้งตัว เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตอนนี้เธอต้องมาอยู่ที่นี่ เพื่อไม่ให้ใครเข้าถึงตัวเธอได้ง่ายๆ แต่ยังไงก็ตาม สุดท้ายเธอก็ต้องลุกขึ้นมายืนยันความบริสุทธิ์ด้วยตัวเองอยู่ดี ไม่สิ...ไม่ใช่แค่นั้น เราต้องตามล่าหาคนร้ายที่มันทำร้ายทิมแบบนั้นมาลงโทษให้สาสมด้วย”
เรื่องวิญญาณของทิม เหตุการณ์ที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นเรื่องร้ายแรง บวกกับน้ำเสียงของเคนเซย์ที่เน้นย้ำอย่างหนักแน่นทำให้เฟย์นะเลิกคิดว่าเขากำลังแกล้งล้อเธอเล่นอีกต่อไป
แม้การล่อหลอกเฟย์นะให้ยืนหยัดขึ้นมาโดยโยนความต้องการแก้แค้นให้อาจไม่ใช่หนทางที่ดีเท่าไร แต่เคนเซย์คิดมาหลายวันแล้วว่าวิธีนี้คือหนทางที่มีอิทธิพลที่สุดที่จะทำให้เธอลุกขึ้นต่อสู้ มากกว่าหมดอาลัยตายอยากจนคิดหาหนทางตายตามทิมไป
ทุกอย่างเริ่มส่งผลให้เห็นอย่างชัดเจนทันตา เมื่อแววตาสีหน้าอันล่องลอยของเฟย์นะเริ่มกลับมามีอารมณ์ความรู้สึกอีกครั้งแล้ว แม้ว่านั่นจะเป็นความโกรธแค้นก็ตาม
“ฉันน่ะเหรอผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าคนตาย เป็นไปได้ยังไงฉันไม่ได้ทำร้ายใครเลยนะ เราต่างหาก...ทิมต่างหากที่ถูกทำร้าย!”
เฟย์นะขึ้นเสียงอย่างขุ่นเคือง ซึ่งเคนเซย์ก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้
“ฉันรู้...เฟย์นะ แต่ผู้คนทั่วไปไม่รู้อย่างที่เรารู้ เหตุการณ์ที่เธอเจอมาถูกประกาศต่อสื่อทั่วไปว่า เธอกับทิมพยายามเข้าไปขัดขวางผู้ก่อการร้ายที่จะวางระเบิดแก๊สพิษจนถูกทำร้าย แต่ถ้าเธอจำเรื่องทั้งหมดได้ เรื่องราวมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยใช่มั้ยล่ะ”
“มันไม่ใช่แบบนั้น เหมือนจะไม่มีระเบิดแก๊สพิษอะไรทั้งนั้น ฉันกับทิมแค่ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องขึ้นแปลกๆ เลยวิ่งไปดู แล้วเราก็เจอคนร้ายที่กำลังทำอะไรสักอย่างกับผู้หญิงคนนั้น ใช่แล้วหมอนั่นต่างหากที่เป็นฆาตกร ดูเหมือนเราจะสู้มันไม่ได้เลย ตอนที่ฉันจะวิ่งหนีไปโทรแจ้งความทิมก็เลย......”
เฟย์นะสาวทิชชูขึ้นจากกล่องอีกรอบ เคนเซย์เว้นระยะพักไปชั่วขณะเพื่อให้เธอได้ปลดปล่อยน้ำตาออกมา แผลของเฟย์นะยังสดใหม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่นอนที่จะทำใจให้รับความจริงได้
“ข้อกล่าวหาที่เธอกำลังได้รับไม่ใช่ข้อหาจากกองปราบปรามปกติ แต่เป็นข้อหาจากกองปราบวิญญาณ ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใคร แต่เธอมีพลังบางอย่างที่เธอไม่รู้ตัว และพลังนั่นก็เกือบทำให้คนทั้งเมืองต้องตายถ้าหากควบคุมสถานการณ์ไว้ไม่ทัน”
เรื่องราวเริ่มไปกันใหญ่เกินกว่าที่หญิงสาวจะจินตนาการได้แล้ว เฟย์นะยกน้ำอัดลมขึ้นดื่มครั้งเพื่อเรียกพลังและเรี่ยวแรงในการรับรู้ให้เพิ่มขึ้น เธอไม่เห็นจำได้สักอย่างเลยตัวเองทำเรื่องเลวร้ายอะไรแบบนั้น นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันแน่!
“ฉันเป็นอะไร มีพลังอะไรกันมันถึงได้กลายเป็นเรื่องเลวร้ายขนาดนั้น”
“ในโลกของวิญญาณ จะมีวิญญาณประเภทหนึ่งเรียกว่าดิคเคนส์ พวกมันจะปล่อยคลื่นพลังวิญญาณสีดำเพื่อกลืนกินพลังชีวิตของมนุษย์ นักปราบวิญญาณแบบพวกฉันจะคอยกำจัดและไล่ล่าดิคเคนส์พวกนี้ให้หมดไป แต่ในประวัติศาสตร์โลกวิญญาณที่นานเท่ากับโลกมนุษย์เราเนี่ย มีแต่ดิคเคนส์ที่เป็นวิญญาณเท่านั้นที่มีพลังแบบนั้น และทำแบบนั้นได้ เธอเข้าใจใช่มั้ยว่าวิญญาณหมายถึงคนที่ตายแล้ว แล้วกลายเป็นวิญญาณ แต่วันนั้นอยู่ๆ เธอกลับกลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ถูกค้นพบว่ามีพลังวิญญาณสีดำเหมือนดิคเคนส์ซึ่งสามารถดูดพลังชีวิตของมนุษย์ได้”
“หา...ฉันเนี่ยนะ”
“ใช่...เธอนั่นแหละ ฉันเองก็คงไม่เชื่อถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง พวกนักปราบวิญญาณจะมีประสาทสัมผัสที่ไวต่อดิคเคนส์ แต่ตลอดเวลาที่เคยเห็นที่รู้จักเธอมาฉันไม่เคยรู้สึกถึงพลังพวกนี้ในตัวของเธอเลย แต่ทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง จากการวิเคราะห์ของแพทย์วิญญาณที่มีน้ำหนักที่สุดก็คือ ตอนนั้นเธอคงจะช็อกอย่างรุนแรง อาการช็อกที่มีระดับความสั่นสะเทือนรุนแรงจนถึงวิญญาณ อะไรก็ตามที่ฝังลึกอยู่ในร่างกายของเธอถึงได้รั่วออกมาอย่างนั้น กลายเป็นพลังแบบที่ทุกคนเห็นไป จากผลชันสูตรศพของผู้หญิงอีกคนนั้นเป็นการเสียชีวิตเพราะถูกดูดพลังชีวิตจนตาย แต่เพราะฉันได้ฟังเรื่องคร่าวๆ มาจากวิญญาณของทิมแล้ว ก็เลยรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตายเพราะพลังของเธอ ดังนั้นสบายใจเถอะ อย่างน้อยเธอไม่ได้ทำร้ายใครถึงตายจริงๆ แน่นอน”
เฟย์นะนิ่งฟังแล้วค่อยประมวลผลตามคำพูดยาวเหยียด ไม่สิ...มันยังมีสิ่งที่น่าสงสัยอยู่ในคำพูดนั้น
“ฉันไม่ได้ทำร้ายใครถึงตาย แปลว่ายังมีคนอื่นที่ไม่ถึงตายอีกรึเปล่า”
“มีคนอีก 72 รายในละแวกนั้นที่ได้รับผลกระทบจากเธอก่อนที่เราจะอพยพผู้คนออกไปได้ทัน แต่พวกเขาก็แค่เริ่มหน้ามืด ตาลาย เป็นลม ยังไม่มีใครเป็นอันตรายถึงชีวิต ตอนนี้ทุกคนฟื้นแล้วกลับบ้านไปใช้ชีวิตตามปกติ โดยที่เข้าใจว่าเป็นลมไปเพราะระเบิดแก๊สพิษของผู้ก่อการร้ายไปแทน”
เฟย์นะก้มลงมองสองมือตัวเองที่ยกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ยังสับสน ทั้งหมดที่พูดมานี้คือเรื่องจริงใช่ไหม เธอจะเชื่อเพื่อนร่วมชั้นที่แกล้งเธอมาตลอดได้จริงๆ หรือเปล่า แต่ภาพของทิมที่มีเพียงความว่างเปล่าก็ตอกย้ำน้ำหนักของเรื่องนี้ให้เพิ่มขึ้นมา เธอคงจะเชื่อทุกอย่างได้หมดจดไร้ข้อสงสัยเมื่อได้เจอทิมอีกครั้งนั่นแหละ
“เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เล่ามาให้หมดเถอะ คงไม่มีอะไรน่าตกใจกว่านี้อีกแล้ว”
“เราพยายามทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งพลังของเธอไว้ จนสุดท้ายก็ควบคุมสถานการณ์ได้ด้วยวิธีที่เรียกว่า การทำพิธีชำระวิญญาณ มันเป็นเหมือนคาถาล้างวิญญาณที่รุนแรงที่สุด อย่างน้อยในตัวเธอตอนนี้ก็ไม่มีพลังน่ากลัวๆ แบบที่ระเบิดออกมาในตอนนั้นอีกแล้ว เรื่องนี้ให้เธอสบายใจได้เลยเหมือนกัน ที่เหลือก็แค่ไปสอบปากคำตามความเป็นจริง เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองเท่านั้นแหละ”
สีหน้าของหญิงสาวดูเหมือนโล่งอกไปได้เปราะหนึ่งเมื่อเคนเซย์ยืนยันออกมาเช่นนั้น เฟย์นะยกน้ำอัดลมขึ้นดื่มอีกครั้ง หนนี้กลืนไปหลายอึกจนหมดกระป๋องไปเลยทีเดียว
“นั่นแปลว่า เพราะพิธีชำระวิญญาณนั่นทำให้ฉันหยุดอาละวาดทำร้ายผู้คนใช่มั้ย บอกได้มั้ยใครเป็นคนทำพิธีนั่นให้ฉัน ฉันจะได้ไปขอบคุณถูกคน”
คราวนี้กลับกลายเป็นเคนเซย์เริ่มหนักใจขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาเริ่มเข้าใกล้เรื่องหนักอึ้งที่สุดที่ต้องบอกกับเธอแล้ว
“ฉันเอง”
“............”
เฟย์นะนิ่งมองเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งอยู่ตรงข้าม เรื่องที่ผ่านมาก็ฟังดูเหลือเชื่อมากเกินพอแล้ว มีเพิ่มมาอีกสักเรื่องก็คงไม่แปลกอะไร แล้วก่อนหน้านี้เขาก็บอกว่าตัวเองเป็นนักไล่ล่าวิญญาณอะไรสักอย่างนั่นเหมือนกันสินะ
“ขอบคุณนะ เคนเซย์”
หญิงสาวกล่าวขอบคุณออกมาเรียบง่าย แต่ด้วยคำพูดเพียงเท่านั้นกลับทำให้เคนเซย์หน้าร้อนผ่าวจนเผลอกลั้นหายใจ
เป็นครั้งแรกที่เฟย์นะเรียกชื่อของเขาออกมา
ไม่หรอก ยังเร็วเกินไปที่เขาจะบอกเรื่องสำคัญอีกเรื่อง วันนี้แค่นี้ก็หนักหนาพอสำหรับเฟย์นะแล้ว เขาควรให้เธอได้พักอีกสักตื่น ให้เวลาเธอได้ทำความเข้าใจกับเรื่องทั้งหมดที่คุยกันมา ลองนึกภาพว่าถ้าเขาเป็นเธอแล้วต้องมารับฟังเรื่องบ้าบอพรรค์นี้กระหน่ำติดกันอีก ต่อให้เป็นเขาก็มีหวังสติแตกแน่ๆ
แม้ว่านี่จะใกล้เคียงกับการหนี แต่คำขอบคุณนี้มีค่ากับเขามากจนอยากเก็บไปฝันดีต่อสักวัน ก่อนที่แววตาสีหน้านั้นจะเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังเขาไปตลอดกาลแน่ๆ หากเฟย์นะได้รู้ความหมายที่แท้จริงของพิธีชำระวิญญาณ
“กลับไปพักผ่อนต่อเถอะ ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามกินอะไรบ้างนะ เรายังมีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะมาก”
เคนเซย์ลุกขึ้นมายืนก่อนเพื่อตัดบทสนทนาที่อาจเกิดขึ้นต่อ เฟย์นะลุกตามขึ้นมาก่อนจะค่อยๆ เดินกลับเข้าประตูห้องนอนไป ชายหนุ่มเจ้าของห้องถอนใจเฮือกใหญ่ราวกับหมดเรี่ยวแรง
เสียงกุกกักที่ดังขึ้นจากห้องครัวช่วงกลางดึกทำให้เฮคเตอร์ข่มตาหลับไม่ลง ไม่ใช่เพราะเสียงนั้นดังรบกวนจนน่ารำคาญ แต่เพราะคนที่ทำให้เกิดเสียงเหล่านั้นต่างหากที่คอยกวนใจเขาตลอดเวลาช่วงหลายวันมานี้
สามวันก่อนดวงตาของเฮคเตอร์ได้รับการยืนยันว่าหายดีเป็นปกติจนสามารถเอาผ้าปิดตาออกได้แล้ว แผลหัวแตกก็ดีขึ้นมากจนไม่ต้องคอยทำแผลอะไรอีก อาการระบมร่างกายซีกซ้ายก็หายดีเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม และเริ่มกลับไปทำงานเต็มที่ตั้งแต่สองวันที่แล้ว
“ยังทำขนมไม่เสร็จอีกเหรอ โซอี”
เฮคเตอร์ลุกขึ้นจากที่นอน หายตัวไปยังหน้าห้องครัวก่อนจะแง้มประตูโผล่หน้าเข้าไปถาม
“ยังเลย แต่ก็ใกล้แล้วล่ะ”
หญิงสาวตัวเล็กตอบกลับโดยไม่หันมาสนใจเขาเช่นเคย ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าช่วงนี้โซอีพยายามหลบหน้าเขาชอบกล เธออยู่ทำขนมจนดึกบางวันก็เกือบสว่าง เตรียมอาหารเช้าไว้ให้เขาแล้วงีบหลับอยู่ที่โซฟาไม่ยอมเข้าไปนอนในห้อง พอเขาตื่นขึ้นมาออกกำลังกายเธอก็จะลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วรอในห้องโดยไม่มานั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน
ไปถึงออฟฟิศหากมีขนมต้องไปส่งตามแผนกต่างๆ ตามออเดอร์ลูกค้า เธอก็จะวิ่งไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย กลับมาหาอะไรลงท้องจนอิ่มก็จะหลับยาวๆ ชนิดปลุกแทบไม่ตื่นบนโซฟาในออฟฟิศจนกระทั่งถึงเวลาที่เขาเลิกงาน กินมื้อเย็นด้วยกันเสร็จสรรพ โซอีก็จะวิ่งเข้าครัวไปอีกครั้งแล้วเริ่มต้นกิจวัตรเดิมๆ ใหม่
ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ และวันนี้เฮคเตอร์จะไม่ทนอีกแล้ว
“เราต้องคุยกัน”
ชายหนุ่มรวบตัวหญิงสาวร่างเล็กออกจากครัว ก่อนจะพาหายตัวกลับไปบนเตียงในห้องนอน ใช้ผ้าห่มผืนบางพันตัวเธอไว้หลายรอบอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กดื้อวิ่งหนีไป
ทว่าโซอีไม่เพียงไม่หนี แต่เธอกลับไม่ท่าทีแม้แต่ที่จะดิ้นสู้หรือทำอะไรสักอย่างเลย
“โกรธอะไรฉัน เธอต้องโกรธอะไรฉันอยู่สักอย่างแน่ๆ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
“เปล่านะ ไม่มีอะไรหรอก”
“โกหก...ฉันเคยได้ยินมาว่า ผู้หญิงที่บอกว่าไม่มีอะไรนั่นแหละคือยิ่งมีอะไรทั้งนั้นแน่ๆ”
โซอีถอนใจเฮือกใหญ่ แต่สายตาที่จ้องมองเฮคเตอร์กลับไปนั้นไม่ใช่สายตาเหนื่อยหน่ายแสนรำคาญเหมือนที่เคยเป็นมาอีกแล้ว
“ขอโทษด้วยนะ”
จนท้าย...คำตอบจากคนในม้วนผ้าห่มกลับทำเอาเฮคเตอร์ขมวดคิ้ว
“เธอขอโทษทำไม”
“ขอโทษที่พูดจาไม่ดี แล้วก็แกล้งนายไปตั้งเยอะ ฉันกำลังคิดว่าจะไปปรึกษาคุณฟอแกนด์กับคุณเอ็ดเวิร์ดทำเรื่องขอที่พักในศูนย์วิจัยแทน”
“ฮะ! พูดอะไรของเธอเนี่ย เธอไม่อยากไปที่นั่นจนไม่อยากมาอยู่คาเรมในตอนแรกไม่ใช่รึไง อยู่ดีๆ ทำไมถึงจะไปอยู่ที่นั่นล่ะ”
“ฉันไม่อยากอยู่กับนายอีกแล้ว”
คำพูดเสียงเรียบ แน่นิ่งแสนสงบ สร้างความตื่นตระหนกให้กับเฮคเตอร์จนพูดอะไรต่อไม่ออก
“ฉันสังเกตมานานแล้ว ที่จริงนายเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่กับใครนานๆ จนผูกพันกันมากเกินไปหรอกใช่มั้ย”
“จริงอยู่ที่ฉันไม่ได้อยากจะมีแฟนคบหากับใครไม่คิดจะแต่งงาน แต่กับเธอมันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยนะ”
โซอียิ้มอ่อนออกมาเมื่อได้ยินประโยคนั้น...
“เฮคเตอร์...ตั้งแต่ร่างกายเป็นแบบนี้ฉันก็แทบไม่เคยออกจากบ้าน ไม่เคยไปโรงเรียน ฉันเรียนรู้โลกภายนอกผ่านหนังสือ ทีวี กับอินเตอร์เน็ต ไม่เคยติดต่อกับใครนอกจากลูกค้า ฉันไม่มีเพื่อนสักคนด้วยซ้ำ เรื่องแฟนยิ่งแล้วไปใหญ่ พอมีนายที่ใจดีกับฉันขนาดนี้ไม่คิดบ้างเหรอว่าฉันจะเริ่มรู้สึกยังไง ฉันไม่เคยมีความรัก ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง แต่ถ้าขืนยังอยู่กับนายต่อไป ฉันคิดว่าตัวเองต้องชอบนายเข้าสักวันแน่ๆ แต่ฉันรู้ว่าตัวเองไม่มีค่าพอที่จะทำแบบนั้น นายเองก็ไม่ได้ต้องการอะไรแบบนี้ด้วย ให้ฉันได้ไปก่อนที่ทุกอย่างจะเตลิดไปไกลจนกลับตัวไม่ได้มากกว่านี้เถอะ”
“โซอี... ฉัน”
“ฉันรู้ว่านายจริงใจ นายเป็นห่วงฉัน อยากช่วยฉัน อยากคอยดูแลฉันจริงๆ แต่นั่นก็แค่ความสงสารเท่านั้นแหละ ดังนั้นปล่อยฉันไปเถอะถ้านายสงสารฉันจริงๆ เพราะถ้าในอนาคตมันเป็นไปอย่างที่ฉันบอกจริงๆ คนที่ต้องตายทั้งเป็นคงเป็นฉันมากกว่า”
เฮคเตอร์อยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่เขาพูดไม่ออก อยากจะยื่นมือออกไปตรงหน้าดึงเธอเข้ามาปลอบแต่ก็ไม่กล้าอีกแล้ว... เมื่อเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าปัญหาระหว่างพวกเขาในตอนนี้คืออะไร
“ขอโทษนะ ฉันไม่เคยนึกถึงความรู้สึกเธอเลย ขอเวลาให้ฉันคิดสักหน่อยได้มั้ยว่าควรทำยังไง”
สุดท้ายเฮคเตอร์ก็ถอยห่างออกจากโซอีก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตูเดินออกไป เธอได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูอีกห้อง เขาคงจะกลับเข้าไปในห้องนอนของเขาแล้วนั่นเอง
หญิงสาววัยยี่สิบหกในร่างของเด็กเจ็ดขวบล้มตัวลงนอนในสภาพที่ผ้าห่มยังพันตัวอยู่แบบนั้น นอนแน่นิ่งอยู่นานไม่ขยับพร้อมกับภาวนาในใจว่าเธอตัดสินใจเลือกวิธีที่ถูกต้องแล้ว
ตอนนี้น่าจะยังทันเวลา...
ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะยังไม่สายเกินไป...
โซอีหลับตาลงพึมพำในใจราวกับสะกดจิตตัวเอง แบบที่เคยทำมาครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดชีวิตที่อยู่ตัวคนเดียว
อย่าร้องไห้นะ ร้องทำไม ร้องไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา
เธอทำได้อยู่แล้ว...
เลิกร้องสิ...
อย่าร้องไห้...
เธอต้องไม่ร้อง...