ตอนที่ 18 เบาะแส
ตอนที่ 18 เบาะแส
ในที่สุดลินจิก็เกลี้ยกล่อมชุนไปสุสานได้สำเร็จ พวกเขาทั้งสองออกจากสำนักตั้งแต่เช้าตรู่ โดยฝากชายผู้เฝ้าประตูกล่าวลาเจ้าสำนักแทนพวกตน
“ขอโทษพวกท่านด้วยนะขอรับ เจ้าสำนักดื่มหนักจึงตื่นมาส่งไม่ไหว”
คนเฝ้าประตูเอ่ยพลางค้อมศีรษะ ส่วนลินจิก็ยกแขนสะบัดมือ
“ไม่เป็นไร ๆ ตามสบายเถอะ”
เส้นทางสู่ ‘สุสานเปี๊ยกโกะ’ จำเป็นต้องเดินลงเขาและข้ามเขาไปอีกสองลูก ครั้นลินจิจะขอขี่หลังชุนเหาะไป เขาก็ทราบดีว่าฝั่งนั้นคงปฏิเสธ แม้ตนจะสามารถจำแลงเป็นเทพจิ้งจอกสวรรค์แล้วเหาะเหินเดินอากาศไป แต่ระยะเวลาแปลงกายก็สั้นจู๋เพียงนิดเดียว เช่นนี้ลินจิจึงเลือกเก็บพลังไว้ใช้ยามคับขัน
ขณะเดินทางสองต่อสองเหมือนออกเดต ห้าชั่วโมงผ่านไปอย่างเชื่องช้า แดดอ่อนยามสามเปลี่ยนเป็นแดดจ้า โชคดีที่วันนี้เมฆหนาจึงไม่ร้อนเท่าที่ควร ตั้งแต่หลุดมาโลกนี้ ลินจิแทบจะไม่มีเวลาส่วนตัวเลย ก็เขาเป็นผู้ชายนี่นา แล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่จะหลั่งบางอย่างออกไป ขณะนั้นลินจิก็นึกสงสัยขึ้นมา จึงชะลอฝีเท้า จับคาง หรี่ตา วิเคราะห์ชุนจากด้านหลัง เมื่อไม่ได้คำตอบจึงตัดสินใจถาม
“นี่คุณชุน ผมไม่เห็นคุณชุนช่วยตัวเองบ้างเลย ไม่รู้สึกแปลก ๆ เหรอครับ”
ชุนหยุดกึกทันที ก่อนหันมาถามเสียงเรียบ
“เจ้าพูดเรื่องอะไร”
ลินจิซึ่งเดินรั้งท้ายรีบวิ่งตามชุน ก่อนจะก้าวขาพร้อมกัน จากนั้นก็อธิบาย
“ก็… เวลาจุ๊ดจู๋ไม่สบายมันก็จะบวมเบ่งขึ้นมา ไม่รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านบ้างเลยเหรอ”
คิ้วขวาชุนกระตุกหงึกทันที สำหรับเขาแล้วการอดทนต่อสภาวะร่างกาย คือการฝึกฝนอย่างหนึ่ง เรื่องที่ลินจิถามเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากตนจะพูดถึงสิ่งนี้ นับเป็นเรื่องน่าอาย
เมื่อชุนรู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าว เขาก็รีบเร่งฝีเท้าเดินนำ ตอบเสียงแข็งว่า…
“ไร้สาระ!”
ลินจิมองตามหลังชุนอย่างเวทนาสงสาร เกิดมาเป็นชายทั้งที มันต้องลิ้มรสของแบบนี้บ้าง ไม่งั้นจะมีไว้ทำไมกัน พิลึกคนจริง ๆ
“…ตายด้านแล้ว”
ชุนหันขวับ เดินย้อนหลังตึงตังทันที
“หา… ว่าไงนะ เจ้าว่าไงนะ”
“อ๊ะ!”
ลินจิก้าวถอยหลัง ยกสองมือปราม รีบอธิบาย
“ก็มันเป็นเรื่องธรรมชาตินี่ครับ ช่วยทำให้เราผ่อนคลายจากความอัดอั้น หรือคุณชุนทำไม่เป็น แบบนั้นผมจะได้สอนให้”
“ข้าไม่ต้องการ!”
แย่แล้ว แย่แล้ว ทำให้ชุนโกรธเข้าจริง ๆ เสียแล้ว ลินจิคิดวิธีเอาตัวรอด จึงแสร้งทำเป็นลูบท้อง ก่อนพูดว่า…
“เฮ้อ… หิวข้าวจังเลยนะเนี่ย”
คิ้วที่ขมวดอยู่แล้ว ขมวดแน่นขึ้น
“เมื่อกี้เจ้าก็กินกล้วยหอมเซ่นไหว้จนหมดหวีไปแล้วไม่ใช่เรอะ”
“แต่ว่าไม่ได้กินข้าวด้วยนี่นา”
“นี่เจ้า!”
พอชุนพ่นลมวัวกระทิงออกจมูก ลินจิก็ถามตาใส อย่างไม่สนใจหัวข้อสนทนาเก่า
“คุณชุนได้พกของกินมาบ้างรึเปล่า”
“ข้าไม่มีหรอก แต่ว่าอีกเดี๋ยวก็จะถึงหมู่บ้านข้างหน้าแล้ว ทนไปก่อนแล้วกัน”
ว่าแล้วชุนก็รีบนำหน้าไปทันที
ลินจิระบายลมหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่เอาตัวรอดจากบุรุษขี้โมโหมาได้ ฮิฮิฮี่ จับทางได้แล้ว วันหลังถ้าชุนโกรธเขาจะแกล้งทำเป็นเมินเรื่องที่คุย แล้วเปลี่ยนไปอีกเรื่องหนึ่ง แบบนี้สินะที่เรียกว่า ‘กลยุทธ์เปลี่ยนเรื่อง ’
“เย้! หมู่บ้านจริง ๆ ด้วย”
ลินจิชูสองแขนวิ่งตามอย่างร่าเริง แสร้งแสดงละครกลบเกลื่อนเพื่อให้ชุนตายใจ ขณะนั้นชุนก็หรี่ตาสังเกตหมู่บ้าน
“นี่เจ้า! รู้สึกว่าหมู่บ้านนั่นมันแปลก ๆ ไหม”
“เอ๊ะ”
เมื่อสังเกตจากมุมสูง ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ บ้านเรือนบางหลังมีสีดำราวถูกไฟไหม้ บางหลังก็พังทรุดลงมาราวกับสภาพหลังสงคราม แต่ก็ยังมีบ้านที่คงสภาพปกติหลงเหลืออยู่บ้างเป็นหย่อม ๆ
….
เมื่อมาถึงหมู่บ้านก็พบว่า บ้านไม้แทบทุกหลังมีร่องรอยเพลิงไม้ บางหลังก็ทรุดพังทลาย ส่วนบ้านที่ยังคงสภาพดีกลับรกร้างไม่มีมนุษย์อาศัย กลิ่นควันไฟอ่อน ๆ กับเสียงเงียบสงัด ให้ความรู้สึกราวกับวันสิ้นโลก
ตอนนั้นเองชายชราคนหนึ่งก็เดินออกมาทำท่าด้อม ๆ มอง ๆ ตามด้วยชวยหนุ่มอีกสามคนที่เดินกุมเป้าตามหลังมาอย่างสำรวมราวกับคนใช้ เมื่อพวกเขาเห็นว่าชุนกับลินจิไม่น่าจะใช่ปีศาจร้ายจึงเอ่ยทัก
“พวกท่าน…”
ชุนและลินจิหยุดฝีเท้าหันมองไปตามเสียง พบชายชราผมขาว กับชายหนุ่มอีกสามคนที่ท่าทางเจี๊ยมเจี้ยมอยู่ด้านหลัง
ลินจิเห็นผู้ชายจึงทำตาเป็นประกาย แล้วก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว แล้วเอ่ยถาม
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่เหรอครับ”
ชายชรากวาดสายตาสำรวจลินจิและชุนอยู่พักหนึ่ง
“โล่งอกไปที ท่านคงใช่พวกปีศาจปลอมตัวมาหรอกนะ”
“แหม… ไม่ใช่ปีศาจหรอกครับ”
ลินจิยิ้มเจื่อน ยกแขนสะบัดมือขึ้นลงสามครั้ง
“เมื่อวันก่อนมีปีศาจข้ามาบุกหมู่บ้านแล้วฆ่าท่านเจ้าเมืองน่ะขอรับ ตอนนี้ชาวบ้านคนอื่น ๆ ต่างอพยพหนีไปกันแล้ว”
“อ้าว! แล้วท่านไม่หนีไปด้วยเหรอ”
ลินจิถามอย่างสงสัย ขณะเดียวกันชุนก็ยืนฟัง ส่วนชายชราก็ถอนหายใจ
“ข้าแก่แล้ว ถ้าต้องตายก็ขอตาย ณ ถิ่นเกิด โชคดีที่หลังจากวันนั้นทุกอย่างก็สงบลง ไม่มีแม้แต่โจร หรือปีศาจโผล่มาสักตน”
“พูดอะไรแบบนั้นล่ะครับ ชีวิตเป็นสิ่งมีค่านะครับ”
“อ๊ะ!”
มือหนาปิดปากลินจิทันที ขณะที่ลินจิดิ้นทำเสียงอู้อี้ดัง “อื้อ ๆ” เพราะหายใจไม่ออก ชุนก็ถามต่อ
“ท่านช่วยบอกลักษณะของปีศาจที่มาบุกหมู่บ้านนี้ให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม”
ชายชราพยักหน้า
“คนที่มาบุกหมู่บ้านเป็นชายหนุ่มผมทอง ตัวสูง ร่างโปร่ง บนหน้าผากปรากฏแสงสีฟ้ารูปดวงตา อีกทั้งยังประกอบร่างเนื้อได้ขึ้นมาใหม่ เห็นแบบนั้นข้าจึงมั่นใจว่าคงไม่ใช่มนุษย์แน่”
ลินจิก็กระตุกผ้าคลุมของชุนพลางเงยหน้ามอง ทั้งสองพยักหน้าให้กันเหมือนรู้คำตอบ ชายชราสงสัยจึงถาม
“พวกท่านรู้จักหรือ…”
ชุนปิดปากส่ายหน้า ลินจิจึงสะดุ้งขึ้นมาหนึ่งครั้ง ก่อนหันไปยิ้มเจื่อนให้เหล่าชาวบ้าน
“อ้อ! เปล่าหรอกครับ”
จู่ ๆ ลินจิก็ทำจมูกฟุดฟิดเหมือนสุนัขดมกลิ่น ชุนจึงขมวดคิ้ว
“เจ้าเป็นอะไร!”
“ได้กลิ่นแปลก ๆ…”
ลินจิหยุดพูด ขยับปีกจมูก แล้วพูดต่อ
“เหมือนตอนที่เจอปีศาจเลย”
ชายชราและเหล่าผู้ติดตามได้ยินเช่นนั้นจึงเบิกตากว้าง ถามว่า จริงเหรอ ๆ พลางหันซ้ายหันขวาอย่างระแวดระวัง ส่วนชุนก็กวาดสายตาสำรวจเช่นกัน
“เจ้าได้กลิ่นที่ว่ามาจากทางไหน”
“ทางโน้นน่ะครับ”
ลินจิกระตุกผ้าคลุมของชุนสองครั้ง พลางชี้ไปยังซากปรักหักพังที่เห็นอยู่ไกล ๆ ชุนเกรงว่าชายชราและผู้ติดตามจะไม่ปลอดภัย จึงปรามว่า
“พวกท่านรออยู่นี่ก่อน”
ชายชรากับเหล่าผู้ติดตามพยักหน้า
เมื่อเดินมาถึงต้นตอของไอชั่วร้าย ก็พบหลังคาดินเผาและเศษไม้กองทับถมกันอย่างเละเทะ ลินจิมองเห็นปราณปีศาจสีม่วงที่ปกคลุมซากเหล่านั้น จึงกำมือซ้ายหลวม ๆ แล้วยกขึ้นปิดปาก บอกเสียงสั่นว่า…
“ตะ…ต้องเป็นปีศาจแน่ ๆ”
“ซ่อนตัวอยู่สินะ”
ชุนเอ่ยพลางย่อขา จับดาบ เตรียมจู่โจม
ขณะเดียวกันลินจิก็วิ่งเข้าไปหลบด้านหลังชุน พลางเปิดใช้เขตอาคมเทพเจ้าคุ้มกัน แม้จะสามารถแปลงกายเป็นเทพจิ้งจอกสวรรค์ แต่พลังนั้นมีจำกัด ลินจิจึงเก็บเอาไว้ใช้ในยามที่ตกอยู่ในอันตรายจริง ๆ
ทันใดนั้นซากปรักหักพังก็สั่นสะเทือนดังกึกกัก ราวกับมีบางสิ่งซ่อนตัวอยู่ในนั้น ปราณสีม่วงแผ่ขยายรุนแรงแล้วรวมตัวกันเป็นสีดำ จากนั้นซากไม้และหลังคาก็ปลิวกระจาย
หุ่นดินเผายักษ์รูปร่างคล้ายมนุษย์โผล่พุ่งออกมา ใบหน้าดูแข็งทื่อไร้อารมณ์ไม่ต่างจากรูปปั้น ลำตัวห่อหุ้มด้วยชุดเกราะคล้ายกระเบื้องดินเผา สองมือจับกระบองยาว
“ว๊าก!”
ลินจิตกใจร้องลั่น เบิกตากว้าง เงยหน้ามองปีศาจยักษ์ พลางถอยหลังขาสั่นก่อนจะล้มก้นกระแทกพื้น
“โอ๊ย…”
เมื่อรู้สึกเจ็บสติก็กลับมา ลินจิจึงใช้ทักษะ ‘หยั่งรู้’ ส่องดูข้อมูล
[โมเอตาจี้ ปีศาจ เพศชาย]
“ข้าจัดการเอง!”
ชุนตะโกนพลางวางดาบขวางเป็นแนวนอนระดับสายตา คมดาบทั้งสองขนาบฟ้า ขนาบดิน สองนิ้วทาบที่ตัวดาบ พร้อมบริกรรมบทคาถา จากนั้นตัวดาบก็เปล่งแสงสีแดง
วินาทีที่ปีศาจฟาดกระบองลงมา วงเวทขนาดยักษ์ก็ปรากฏบนผืนดินล้อมรอบปีศาจตนนั้น
“เวทพายุเสาเพลิง!”
ชุนตวัดคมดาบอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเส้นแสงสีแดง ทันใดนั้นเสาเพลิงขนาดใหญ่ก็พุ่งจากพื้นบริเวณที่ ‘โมเอตาจี้’ ยืนอยู่เป็นแนวดิ่งทะยานขึ้นฟ้า
พริบตานั้น ร่างใหญ่ยักษ์ก็ถูกเพลิงร้อนแผดเผาจนมอดไหม้เป็นตอตะโก เมื่อเสาเพลิงดับลง ร่างของ ‘โมเอตาจี้’ ก็ทรุดทลายลงมาเป็นเถ้าถ่าน
ชุนยิ้มมุมปากร้อง “ฮึ” ออกมา ก่อนจะเก็บดาบเข้าฝัก
“ขี้โกงนี่นา ใช้เวทแบบนั้น”
ลินจิขมวดคิ้วงอนพลางลุกขึ้น เขาเองก็อยากจะใช้เวทแบบนั้นได้บ้าง ขณะที่นึกน้อยใจตัวเอง ชายชราและผู้ติดตามก็เดินมาถึง
“ปีศาจจริง ๆ ด้วย”
ชายชรากล่าว พลางก้มมองเศษซากเถ้าถ่านที่กองอยู่ด้านหน้าชุน ส่วนผู้ติดตามก็เดินผ่านหน้าลินจิไปราวกับเป็นสายลมที่ไม่มีตัวตน
ลินจิถูกเมิน เดาะลิ้นเสียงดัง ชายชราจึงหันมามองแล้วหันกลับ จากนั้นก็หันขวับกลับมาอีกครั้ง พลางจับคางอย่างมองลินจิอย่างพิจารณา
“เจ้าหนุ่มหน้าตาคุ้น ๆ นะ”
ว่าแล้วชายชราก็เงยหน้านึก ผู้ติดตามได้ยินจึงหันมามองตาม
ลินจิกอดอก หันข้าง ร้อง “ฮึ” แล้วยักไหล่ขวาหนึ่งครั้ง ก่อนจะยกมุมปากข้างหนึ่ง ประกาศว่า…
“ตาถั่วกันหรือไง ไม่รู้จักเทพเจ้าสร้างโลกเหรอ”
“หา…”
ชายชรา และผู้ติดตามอีกสามคนทำตาโต อ้าปากค้าง ร้องเป็นเสียงเดียวกันทันที ชุนเกรงว่าถ้าคนรู้เรื่องนี้เยอะอาจสร้างความเดือดร้อนในภายหลังได้ จึงลงกำปั้นกลางหัวของลินจิ
“อ๊ะโอ๊ย!”
ตามด้วยแขนยาวเต็มไปด้วยมัดกล้ามรัดเข้าที่คอของลินจิ
“แอ้ก!”
ชายชราและผู้ติดตามมองทั้งสองตาปริบ ๆ เมื่อสังเกตว่า หนุ่มน้อยตรงหน้ามีลักษณะคล้ายรูปปั้นเทพเจ้าพวกเขาก็สะดุ้งพร้อมพากันคุกเข่า
“โอ้! ท่านเทพจริง ๆ ด้วย รบกวนท่านรับถวายอาหารเพื่อเป็นสิริมงคลต่อพวกเราด้วยเถิดขอรับ”
….
ลินจิและชุนตอบรับคำเชิญของชายชรา เมื่อมาถึงห้องรับรอง ผู้เป็นเจ้าของบ้านก็สั่งให้เหล่าใช้คนเตรียมอาหาร ลินจิเห็นมีแต่สาว ๆ จึงเอ่ยว่า
“ขอคนเสิร์ฟผู้เป็นชายนะครับ เอาสามคนที่อยู่กับท่านเมื่อกี้ก็ได้”
พอชายชราทำหน้าอึ้ง ถลึงตา ลินจิจึงยิ้มเจื่อน สะบัดไม้สะบัดมือ ปรับภาษาให้เข้ากับคนที่นี่
“แหม….ท่านก็ จะปล่อยให้ผู้หญิงทำงานหนักได้อย่างไร สตรีเพศอ่อนช้อยน่าทะนุถนอม ให้ไปนั่งเฉย ๆ เป็นรูปปั้นนอกบ้านก็พอแล้ว”
ชายชราพยักหน้ารัว ๆ ก่อนออกคำสั่ง
“พวกเจ้าไปนั่งเป็นรูปปั้นนอกบ้าน แล้วบอกให้พวกผู้ชายเตรียมอาหารให้มาสามชุด”
ชุนส่ายหน้าพ่นลมหายใจอย่างเอือมระอา อยู่ต่อหน้าผู้อื่นอย่างน้อยเขาก็ควรจะสำรวมไว้ ขณะเดียวกันเทพจอมวายร้ายก็ยิ้มน้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทำตัวสั่น
เมื่อเหล่าคนใช้หนุ่มเข้ามา ลินจิก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจ พวกเขายกโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดเท่าหน้าตักมาตั้งไว้ จากนั้นก็เสิร์ฟด้วยเซตอาหารตามลำดับสำหรับสามคน คนละหนึ่งเซต
จังหวะที่คนใช้หนุ่มโน้มตัววางถ้วยข้าว ลินจิก็ยื่นหน้าเข้าไป ทันใดนั้นควันร้อนระอุก็ลอยเข้าตา
“โอ๊ย!”
ลินจิใช้อุ้งมือทั้งสองกดลงไปที่เปลือกตาทันที
“อ๊ะ! ท่านเทพเป็นอะไรไหมขอรับ ข้าขอโทษ”
คนใช้หนุ่มอ้าปากค้าง ยื่นมือไปอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนจะช่วย
ทันใดนั้นชุนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ปัดมือของคนใช้ออก
“ปล่อยไว้แบบนั้นแหละ”
ชุนกดเสียงต่ำราวกับข่มขู่ คนใช้จึงปิดปาก พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วรีบเผ่นออกจากห้อง
“โอ๊ย! ข้าวบ้าอะไรเนี่ย ทำไมควันมันแสบตาแบบนี้”
ลินจิบ่น หลับตาปี๋ในอุ้งมือพลางส่ายหัวไปมา ชายชราซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วค้างไว้ เขามองลินจิอย่างสงสัยอยู่พักหนึ่ง เกรงว่าตนอาจถูกพวกต้มตุ๋นตบตาเพื่อขอกินข้าวฟรี
พอลินจิใช้ทักษะ ‘ฟื้นฟู’ เยียวยาความเจ็บปวดที่เกิดจากควันข้าว วินาทีนั้นแสงสว่างก็วาบขึ้นมา เมื่ออาการแสบตาทุเลา เขาก็เอามือลง แล้วพ่นลมหายใจจนไหล่ห่อ
ชายชราเห็นเช่นนั้นจึงโล่งอก พลางคีบผักดองสีเหลืองวางไว้บนถ้วยข้าว แล้วเล่าว่า
“มันมีข่าวลือกระฉ่อนไปทั่วเลย หมู่นี้ผู้ที่ใช้เวทต่างทยอยกันถูกฆ่าตาย หัวหน้าหมู่บ้านก็เป็นหนึ่งในเหยื่อเคราะห์ร้ายครั้งนี้ด้วย”
ได้ยินเช่นนั้น ชุนจึงถามขึ้นทันที
“ท่านพอทราบไหมว่า เหยื่อรายอื่นเป็นฝีมือของใคร”
“อร่อยจังเลย…”
ลินจิพุ้ยข้าว ร้องอย่างมีความสุข โดยไม่สนใจบทสนทนา อันที่จริงเขาแอบฟังอยู่
ชายชราวางตะเกียบลง แล้วเปลี่ยนมายกแก้วน้ำชา
“เอ่อ… เค้าลือกันว่าเป็นชายผมทอง ดวงตาสีฟ้า แต่ข้าก็ไม่แน่ใจว่าเป็นคนเดียวกันกับที่ก่อเหตุครั้งนี้รึเปล่า”
ชุนขมวดคิ้ว ก้มลงมองเซตอาหารอย่างไร้โฟกัส ขณะเดียวกันลินจิก็คีบเนื้อย่างหั่นเต๋าเข้าปาก ก่อนอมตะเกียบค้างไว้พลางเหล่มองด้านข้าง
ตอนนี้เรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของ ‘เพกัส’ เขาไม่อยากมีส่วนร่วม ถ้าเอ่ยปากก็มีแต่จะเพิ่มน้ำหนักให้กับภารกิจอื่น เรื่องอะไรจะสนใจ ชิชะ
ขณะที่คิดในใจ ชุนก็หันมา
“นี่เจ้า! คิดว่าอย่างไร”
“หืม”
ลินจิตอบอย่างไม่ใส่ใจ ขณะเดียวกันชายชราก็พูดต่อ
“เห็นเค้าว่ากันว่า ทุกคนที่ถูกสังหารล้วนแต่เป็นผู้ใช้เวทปลดผนึก ปีศาจตนนั้นคงจะกำลังตามหาผู้ที่สามารถปลดผนึกบางอย่างให้ตนได้ ข้าคิดว่าอาจจะเป็นเช่นนั้น”
ได้ยินชายชรากล่าว ความสนใจของลินจิก็เพิ่มขึ้นอย่างทันควัน
“เวทปลดผนึกเหรอครับ”
ชายชราพยักหน้าหนึ่งครั้ง
“’เวทปลดผนึก’ เป็นวิชาที่สามารถปลดคำสาปได้”
ลินจิทำหน้าอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนเอ่ยถามชุน
“คุณชุน เวทที่ใช้ผนึก ‘เพกัส’ มันใช่คำสาปรึเปล่าครับ”
ชุนกอดอก ส่ายหน้าช้า ๆ เขายังไม่แตะอาหารเลยสักคำ ระหว่างนั้นชายชราก็พูดว่า…
“ตำนานของ ‘เพกัส’ ไม่มีใครไม่รู้จัก ก่อนหน้านี้เคยมีผู้ใช้เวทปลดผนึกหลายคนไปลองวิชา แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย บางทีเรื่องของเพกัสอาจจะเป็นแค่เรื่องเล่าต่อกันมาก็ได้”
…ไม่จริง ถ้าตำนานไม่เป็นความจริง ก็คงจะไม่มีเทพเจ้าผู้สร้างโลกที่นั่งหัวโด่ตรงนี้หรอก ลินจิเถียงในใจ