ซัพที่27: ชื่อแซ่น่ะสำคัญขนาดไหนไม่รู้หรือไงห้ะ!
ซัพที่27: ชื่อแซ่น่ะสำคัญขนาดไหนไม่รู้หรือไงห้ะ!
หนึ่งเดือนผ่านไปไวราวกับโกหก ในที่สุดเจ้าตัวแสบก็ถูกปลดปล่อยออกจากกรง เรื่องแรกที่เจ้าตัวแสบคิดทำ หาใช่การมุ่งไปหาพวกจื่อจง แต่เป็นการ...
ล้างแค้นพี่รอง!!!
จงดีใจซะเถอะพี่รอง ที่น้องรักอย่างข้ารออดหลับอดนอนถ่างตาตื่นรอเวลาที่ทหารจะสลายโต๋ออกไปจากเรือนรับรอง
หลังได้รับอิสระ เจ้าตัวแสบจึงรีบหลบหนีและมุ่งหน้าไปยังตำหนักผู้เป็นแม่ ก่อนที่ขันทีจะเดินทางไปมอบอิสระให้เหวินหลง ในมือจินหลงกำถุงๆ หนึ่งไว้ ดวงตาวาววับทันทีที่นึกถึงสิ่งที่จะตามมา
ฮุๆ ต่อให้นี่จะเป็นหนึ่งในมุกยอดฮิตในการกลั่นแกล้งก็ตาม แต่มันก็ใช้ได้จริง!
เจ้าตัวแสบอาศัยวิชาตัวเบาในการเล็ดลอดไปมา จนกระทั่งมาถึงบานหน้าต่างห้องผู้เป็นพี่ มือเล็กค่อยๆ แง้มบานหน้าต่าง เมื่อเห็นเป้าหมายนอนตีลังกาหลับไหลอย่างไม่ได้สนิท รอยยิ้มร้ายกาจจึงเผยขึ้นบนใบหน้าของเด็กชายวัยแปดปี
ฮ่าๆๆๆ จงรับความทรมานซะเถอะเสด็จเพ่!
จินหลงถอดรองเท้า ย่องไปที่เตียง ค่อยๆ โปรยผงวิเศษลงไปบนใบหน้าของพี่ชายจางๆ ก่อนจะรีบหนีกลับไปยังเรือนรับรอง
งานนี้มีเสียโฉม! งานนี้ต้องมีเสียโฉมมมมมมมมม
เหวินหลงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็ได้แต่ยกมือขึ้นเกาใบหน้าอย่างไปมาไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งเขาทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาตะโกนโวยวาย
“ลี่ฉง! ลี่ฉงมานี่ซิ” เหวินหลงตะโกนเรียกนางกำนัลคนสนิทของเสด็จแม่ดังลั่นตำหนัก มือน้อยๆ ยังเกาหน้าไม่หยุด ลี่ฉงได้ยินเสียงองค์ชายรองตะโกนเรียกผิดวิสัยจึงรีบวิ่งมา
“มาแล้วเพคะ ลี่ฉงมา... กรี๊ดดดด!” ลี่ฉงรีบวิ่งมา ทว่าเมื่อเปิดประตูเงยหน้ามองพระพักตร์องค์ชายน้อย ก็ต้องกรีดร้องลั่น
“เจ้าจะแหกปากโวยวายทำไม ไปเอายามาทีข้าทั้งแสบทั้งคันหน้าไปหมดแล้วเนี่ย” เหวินหลงไม่พอใจ ทว่าลี่ฉงกลับพุ่งมารั้งแขนเขา
“องค์ชายได้โปรดหยุดเถอะเพคะ!” ลี่ฉงร้องห้าม
“ลี่ฉงนี่เจ้ากล้าดียังไงมาแตะต้องตัวข้า!” เหวินหลงเกิดโทสะ ทว่าลี่ฉงไม่สนใจ ตะโกนเรียกนางกำนัลนางอื่น
“ใครก็ได้! ใครก็ได้ไปเอากระจกมาที!” นางกำนัลด้านนอกได้ยินเสียงกรีดร้องจึงวิ่งเข้ามา
“กรี๊ดดด องค์ชาย! หน้า..หน้าพระองค์!” นางกรีดร้อง ยิ่งทำให้องค์ชายรองไม่พอใจ
“ปล่อยข้า! ข้าบอกให้ปล่อยข้า!! ผลัวะ!” เหวินหลงถีบลี่ฉงออกจนนางกรีดร้องและล้มไปอยู่ที่พื้น นางกำนัลอีกนางรีบส่งกระจกให้เขาดูหน้าตัวเอง
“หน้าข้ามีอ...เห้ย!!” เหวินหลงเมื่อได้ส่องกระจกก็ต้องตะลึง กับรอยแดง รอยข่วน รอยถลอก รอยผื่น และสารพัดรอยบนใบหน้า ดวงตาสีดำเบิกโผล่ง ก่อนเสียงร้องจะดังลั่นตำหนัก
“อ๊ากกกกกกกกก!!!!”
เจ้าตัวแสบเมื่อล้างแค้นได้สะใจ จึงกลับมาในห้องหวังนอนเอกขเนกจะได้มีพยานยืนยันที่อยู่ตน ทว่าเมื่อกลับมา ก็พบเจียงสงกำลังยืนอ่านกระดาษอยู่บนโต๊ะ
ยืนอ่าน..กระดาษ? ..อ่าน...? นั่นมันต้นฉบับข้านี่!!
“เห้ย!!” จินหลงรีบพุ่งตัวไปคว้ากองกระดาษในมือเจียงสงทันที ทว่าเจ้าตัวกลับบังเอิญหมุนตัวเดินไปที่หน้าต่าง องค์ชายสี่จึงคว้าได้เพียงอากาศ ก่อนจะหล่นโครมลงบนโต๊ะ
“องค์ชาย พระองค์ทรงเล่นอะไรน่ะ” เจียงสงหันกลับมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว จินหลงชี้ไปที่กระดาษนั่นมือสั่น
“นั่น..นั่น..นั่นมันนิยายข้านะ!” องค์รักษ์วัยเยาว์ก้มลงมองตัวหนังสืออีกครั้ง ก่อนจะเอียงคอไม่เข้าใจ
ไอ้เรื่องที่หนังสือเล่มนี้องค์ชายเป็นผู้ประพันธ์นั้นเขาทราบดี เพราะเห็นพระองค์ขีดเขียนอยู่ทุกวัน แต่ไม่คิดว่าองค์ชายจะสามารถเขียนอ่านได้คล่องขนาดนี้ ตัวหนังสือหลายตัวเขาเองยังอ่านไม่ออกเลย
“ข้าขออ่านหน่อยจะเป็นอะไรไป” เจียงสงไม่สนใจ เดินไปอ่านบนเตียงตนอย่างนิ่งเฉย
“ไม่ด๊ายยยย ไม่ได้ จินโหลงม๊ายย๊อมมม” จินหลงแกล้งกระโดดลงมาดีดดิ้นอยู่ที่พื้น ทำให้เจียงสงรำคาญใจ
“องค์ชายพระองค์ทรงเงียบหน่อยเถอะพะยะค่ะ หม่อมฉันหนวกหู” เห้ย! นี่พูดกับองค์ชายงี้เลยเหรอ!
จินหลงไม่ยอมแพ้ แหกปากดิ้นพล่าน
“ม่ายอาวๆๆ คนแรกที่อ่านต้องเป็นเสี่ยวเหมยยย เสี่ยวเหมยของข้าอยู่ในเหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมมาอ่านนิยายข้าเป็นคนแรก แงงง” เสียงสะท้านแก้วหูทำเอานางกำนัลต้องมาลอบดู เจียงสงถอนหายใจแล้ววางต้นฉบับลงข้างตน พลางโบกมือไล่นางกำนัลด้านนอก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาให้ได้ยินกันสองคน
“หากท่านยอมให้ข้าอ่านต่อ วันนี้ข้าจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นว่าท่านหนีออกจากวัง” เจ้าตัวแสบหูพึ่ง หันกลับมามองอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ตกลงหรือไม่?”
“ตกลง!!”
ข้าเสนอดีเลิศเลอขนาดนี้มีหรือเจ้าตัวแสบจะพลาด แต่หากหนีไปตอนนี้ก็มีแต่จะถูกเหวินหลงกล่าวหาว่าเป็นผู้ร้าย เขาจึงต้องแกล้งวิ่งยั่วทหารในวังสักนิดพอเป็นพิธี ก่อนจะรีบมุ่งหน้าเข้าป่าไปหาผองเพื่อน
ทว่าเมื่อเข้ามาถึงจุดป่าดิบชื้น เจ้าตัวแสบกลับได้ยินเสียงผิวปากเป็นสัญญาณประหลาด ทันทีที่เห็นแสงสว่าง เจ้าตัวแสบจึงกระโดดเข้าใส่
“โอ้เย!! ข้ากลับมาแล้ววว” จินหลงแหกปากลั่นราวกลับระบายความรู้สึกอัดอั้น ทว่าเสียงที่ตอบกลับมาทำเอาเขาแทบลื่นล้ม
“ยินดีต้อนรับกลับครับ/ค่ะ ท่านหัวหน้าตระกูล!” เหล่าเด็กเล็กโตร่วมสี่สิบชีวิตคุกเข่าลงถวายความเคารพโดยมีอี้เทาและจื่อจงที่อยู่ด้านหน้าคอยนำ จินหลงมองจอกเหล้าเล็กๆ ตรงหน้าเด็กทุกคนด้วยความไม่เข้าใจ
ไอ้พร็อพจอกเหล้านี่มาจากไหนนน ใครไปซื้อมาจากตลาดห้ะ.. เห้ยเดี๋ยว?! พวกเจ้ายังอายุไม่ถึงไม่ใช่หรือไง!
จินหลงทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มโวยวายจากไหนก่อน เขาหันขวับไปมองเมิ่งชงหยวนที่กำลังกระดกเหล้าชมทิวทัศน์
“นี่มัน..เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!!” จินหลงร้องลั่นป่า อี้เทาจึงเป็นผู้อธิบาย
“เนื่องจากท่านหมอเมิ่งกล่าวว่าท่านคงถูกที่บ้านกักบริเวณ ข้าและจื่อจงจึงได้ถือวิสาสะคุยกันแล้ว และเห็นพ้องต้องกัน พวกเราทั้งหมดล้วนแต่เป็นหนี้ชีวิตท่าน ทว่าตัวท่านกลับต้องการเพียงความสัมพันธ์ครอบครัว ฉะนั้นเราจึงตัดสินจะก่อตั้งเป็นหมู่บ้านจินหู่และใช้แซ่จินเป็นแซ่หลักขึ้นเพื่อสานสัมพันธ์พี่น้องและจัดระเบียบภายในครอบครัว” จินหลงเรียบเรียงเหตุการณ์ไม่ถูก หัวสมองอื้ออึง ไม่คิดจะว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในชีวิต
“เดี๋ยว บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วหรือไง นี่พวกเจ้าจะละทิ้งแซ่ตัวเองเพื่อมาอยู่กับข้าเนี่ยนะ?” บ้าไปแล้วเรอะ!
“พวกข้าได้ตกลงกันแล้ว ใครอยากเปลี่ยนแซ่ก็เปลี่ยนได้ หรือจะใช้เป็นแซ่แฝงก็มิว่ากัน” ตกลง? ตกลงบ้าอะไรทำไมไม่ถามข้าก่อนนน
“ใคร..เป็นคนต้นคิดชื่อแซ่จิน” ทั้งจื่อจงและอี้เทาต่างมองไปทิศที่เมิ่งชงหยวนนั่งอยู่เป็นตาเดียว ตัวต้นเรื่องที่รู้สึกได้ถึงสายตาอาฆาตจึงหันมามอง พร้อมรอยยิ้มแหยๆ
“ก็เด็กพวกนั้นมาปรึกษาข้านี่นา ว่าควรตั้งชื่อกลุ่มว่าอะไร ข้าเลยเสนอชื่อหมู่บ้านจินหู่ แล้วใช้แซ่จิน” จินหู่พยัคฆ์ทองคำ จินหลงมังกรทอง เออ!! ตั้งได้ดีมากกก รู้เลยอยู่ในสังกัดใคร!
“แล้วนี่ไม่มีใครค้านเลยหรือไง!” จินหลงหันกลับมาโวยวาย อี้เทาจึงส่ายหน้า
“ข้าติงอี้เทาและพี่น้องโจรป่าขอเข้าร่วมตระกูลจิน พวกข้าให้สัตย์สาบานว่า ชีวิตนี้ของพวกข้าจะจงรักภักดีต่อท่าน ไม่ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟ เป็นตายเช่นไร พวกข้าก็จะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่มิทรยศท่านและตระกูลจิน” อี้เทายกจอกเหล้าขึ้นไว้ตรงหน้า จื่อจงจึงกล่าวต่อ
“ข้าจูจื่อจงและพี่น้องขอเข้าร่วมตระกูลจิน ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกข้าได้รับชีวิตใหม่และโอกาสมากมายเพราะท่าน หากไม่ได้ท่านตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา ก็ไม่รู้ว่ามีชีวิตเป็นเช่นไร มีลมหายใจอยู่หรือไม่ พวกข้าขอสาบานว่า ไม่ว่าพวกข้าจะไปอยู่ที่แห่งใด ไม่ว่าพวกข้าจะทำอะไร พวกข้าก็จะไม่มีวันทรยศต่อท่านจะภักดีต่อท่านเพียงคนเดียว” จื่อจงยกจอกเหล้าขึ้นมาเช่นเดียวกับอี้เทา ก่อนทั้งหมดจะพูดพร้อมกัน
“หากพวกข้าผิดคำสาบานขอให้ไม่ตายดี!” พูดจบทั้งหมดจึงกระดกจอกเหล้า ก่อนจะส่งเสียงเฮกอดกันลั่น ทิ้งให้ผู้ที่ถูกยกเป็นผู้นำตระกูลวัยแปดปีอ้าปากค้าง
“จะบ้าหรือไงงง ข้าไม่เอาด้วยนะเห้ยยย” จินหลงแหกปากลั่น ทว่าจื่อจงกลับเดินมาตบบ่าเขาเช่นเดิม
“ไม่ต้องห่วงไปหรอกน่ะอยู่ร์หาน ข้าก็จะยังเป็นพี่ใหญ่จื่อจงของเจ้าเช่นเคย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงห.. เอ้ะไม่สิมีเรื่องเปลี่ยนนี่” จื่อจงไม่ทันพูดจบ ก็ชะงักไป จินหลงจึงหันมาเบะปากตาขวาง
“เรื่องอะไรอีกล่ะ จะไปมีเรื่องบ้าเรื่องบออะไรใหญ่ไปกว่าเรื่องนี้อีกหรือไง” จินหลงประชด เมิ่งชงหยวนจึงเดินมาทางเจ้าตัวแสบ
“ก็เรื่องที่ข้าจะรับจูจื่อจง...เอ้ะไม่สิ ต้องเรียกจินจื่อจงแล้วสินะ” นามสกุลที่เปลี่ยนไปทำให้จินหลงเบะปาก คิดยังไงถึงเอาชื่อเขามาตั้งเป็นนามสกุล!!
“ข้ารับจื่อจงมาเป็นลูกศิษย์”
......
....
...
“โกหก?” เมิ่งชงหยวนส่ายหน้า
“เรื่องจริง” จินหลงนิ่ง จื่อจงมองปฏิกิริยาจินหลงอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่เจร๊งงงงงง” เจ้าตัวแสบแหกปากลั่น ถอยกรูลงไปติดต้นไม้ ชี้หน้าจื่อจงสลับกับเมิ่งชงหยวน
“เป็น..เป็นไปไม่ได้ จื่อจง..จื่อโจ๊งงง เหตุใดเจ้าจึงกล้าเรียนกับหมอกำมะลอเช่นเน้!” เมิ่งชงหยวนได้ฟังก็นึกฉุน
นี่หากไม่ใช่องค์ชาย ป่านนี้เขาเขกหัวแตกไปแล้ว!
“หมอกำมะลองั้นหรือ? อยู่ร์หาน ข้าว่าเจ้าคงเข้าใจผิดไป หากท่านหมอเมิ่งเป็นหมอเทวดาจริง คงมิอาจรักษาทุกคนให้หายได้” จื่อจงอธิบาย จินหลงจึงหันไปทางเมิ่งชงหยวนบ้าง
“แล้วเหตุใดจู่ๆ ทำไมท่านจึงรับศิษย์ล่ะ” เมิ่งชงหยวนเบ้ปากทันทีที่ได้ยินคำถาม
“ข้าไม่ได้จะรับศิษย์ แต่เพราะจื่อจงตื้อเป็นศิษย์ข้าต่างหาก” ท่านหมอเทวดาก้มลงกระซิบข้างหูเจ้าตัวแสบ
“เจ้าคิดดู พี่เจ้าเล่นตามติดข้าตลอดเวลาไม่ให้ห่าง ขนาดตอนพวกเอ้อหู่แอบพาข้าไปส่งในเมืองให้ทหารเห็นตัวข้าบ้าง พี่ของเจ้ายังตามติดข้ายิ่งกว่าปลิงทะเลเสียอีก” จินหลงไม่อยากเชื่อคำพูดนัก แต่นึกๆ ดูแล้วก็มีสิทธิเป็นจริง วันที่เขาจากไปก็เห็นจื่อจงตามติดเมิ่งชงหยวนตลอด
“แล้วถ้าจื่อจงไปอยู่กับท่านหมอ แล้วใครจะช่วยข้าดูทุกคนล่ะ” จินหลงถาม ที่ผ่านมาเขาก็อาศัยจื่อจงมาโดยตลอด อี้เทาจึงยกมือขึ้น
“ข้าเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังจากท่านหายไป ข้าก็คอยช่วยจื่อจงดูแลทุกคนมาโดยตลอด” อี้เทาอธิบาย จื่อจงจึงพูดเสริม
“หากเป็นอี้เทาล่ะก็ ข้าคิดว่าสามารถวางใจได้ อี้เทาผู้นี้มีพรสวรรค์ในเรื่องวรยุทธ์นัก ทั้งยังมีฝีมือที่สูสีกับข้า ทั้งที่ยังไม่ได้ฝึกพื้นฐานกับเจ้า” จินหลงกระพริบตาปริบๆ เรื่องฝีมือของอี้เทาเขาก็พอเดาได้อยู่แล้วจากการปะทะครั้งก่อน แต่อี้เทามีความสามารถในการเป็นผู้นำถึงขนาดที่จื่อจงวางใจเชียวหรือ?
อี้เทาเห็นจินหลงเงียบไป จึงคิดว่าอีกฝ่ายไม่ไว้ใจตัวเอง เขาจึงคุกเข่าลงตรงหน้าจินหลง ทำเอาทุกคนตกใจ
“นายน้อยเหอ แม้ตัวข้าจะเป็นเพียงโจรหยาบกร้าน ปล้นคนมาก็มากแต่ข้าอยากสาบานต่อท่าน ว่าข้าจะไม่ทำตัวเช่นนั้นอีกแล้ว นับแต่นี้ไปข้าจะเป็นดั่งมือซ้ายของท่าน ไม่ทำให้ท่านเดือดร้อน ข้าจะทิ้งอดีตทุกอย่างไปพร้อมกับชื่อติงอี้เทา ได้โปรดมอบนามใหม่ให้ข้าด้วย” จินหลงอ้าปากค้างเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่ทราบ
“อี้เทา เจ้าพูดบ้าอะไรออกมารู้ไหม ชื่อแซ่น่ะสำคัญขนาดไหน เจ้าอย่าเอามาพูดเล่นนะ” องค์ชายน้อยต่อว่า อี้เทาจึงส่ายหน้า
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น หากไม่ได้ท่าน พวกข้าก็ป่วยตายอยู่ที่นี่แล้ว ท่านไม่รู้เลยหรือไง ว่าท่านได้ช่วยพวกข้าไว้มากถึงเพียงไหน ชื่อแซ่และหน้าตาของพวกข้าล้วนถูกทางการประกาศจับ พวกข้าต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่” จินหลงถอนหายใจ
“อี้เทา การเปลี่ยนชื่อแซ่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถลบอดีตของตัวเจ้าได้นะ” โทนเสียงของจินหลงเปลี่ยนไป อี้เทาจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ความผิด ก็คือความผิด มันไม่ได้ฝังอยู่ที่ชื่อ แต่ฝังอยู่ที่ใจ ต่อให้เจ้าจะเปลี่ยนกี่ชื่อๆ เจ้าก็รู้ตัวเจ้าอยู่ ว่าความผิดนั้นเจ้าเป็นคนก่อ อีกทั้งชื่อแซ่ของเจ้า ก็ไม่ได้มีแต่ความทรงจำเลวร้าย ความทรงจำดีก็ยังมี ทั้งความทรงจำที่อยู่กับเพื่อนเก่า ความทรงจำที่อยู่กับครอบครัว” ท่าทางของจินหลงเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่อย่างผิดหูผิดตา เมิ่งชงหยวนสังเกตพฤติกรรมของจินหลง
เด็กชายผู้นี้ช่างน่าสนใจนัก
อี้เทาก้มหน้าคิดตาม เจ้าตัวแสบจึงเห็นว่าอีกฝ่ายยอมแพ้แล้ว จึงเอ่ยต่อว่า
“ทีนี้เจ้าจะยังเปลี่ยนชื่ออีกไหม?” เห้อ.. แค่นี้ก็ไม่..
“เปลี่ยน!” สิ้นเสียงอี้เทา เมิ่งชงหยวนกับจื่อจงจึงหลุดหัวเราะ ก่อนจะพากันกลั้นขำกับสีหน้าเหรอหราของจินหลง
“เห้ย! ยังจะเปลี่ยนอีกเหรอ?!”