บทที่ 25 เงามืดที่คืบคลานเข้ามา
บทที่ 25 เงามืดที่คืบคลานเข้ามา
เปรี๊ยะ!
อัญมณีสีแดงถูกทำลายกลายเป็นเศษละอองลอยไปกับอากาศ
หญิงสาวเลื่อนกรอบแว่นขึ้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“การแข่งขันในรอบแปดคนสิ้นสุดลง ผู้เข้ารอบได้แก่ผู้เข้าแข่งขันฟาร์ชูลัน ฟาน เรเนลเลี่ยน และมูรัน ขอแสดงความยินดีแก่ผู้ชนะ!”
เสียงประกาศจบการแข่งขันในรอบที่สอง ทัศนียภาพของสนามประลองเปลี่ยนกลับคืนสู่ลานกระเบื้องแบบเดิม ผู้เข้าแข่งขันทั้งสี่เดินออกจากสนามแข่งขันโดยไม่สนใจเสียงเฮกึกก้องของบรรดาแฟน ๆ ที่ผลัดกันตะโกนเข้ามา ระยะเวลาแข่งขันในรอบนี้รวมทั้งหมดได้หนึ่งชั่วโมงห้าสิบหกนาที
หลังจากที่ฟาร์ชูลันเอาชนะเซรีนได้ เธอได้รับมายี่สิบแต้มก่อนที่จะตรงไปยังเขตที่เซรีนดูแลอยู่และทำลายอัญมณีของเซรีนทิ้งจนได้รับแต้มมาอีกห้าสิบแต้ม ฟาร์ชูลันไปยังเขตแดนที่ว่างเปล่าต่อไปและทำลายอัญมณีของเฮเลนจนได้รับเพิ่มมาอีกห้าสิบแต้ม พอบวกกับคะแนนที่ได้มาจากการยึดครองเขตแดนพิเศษที่ปรากฏขึ้นแบบสุ่มแล้ว ทำให้ฟาร์ชูลันสามารถจบการแข่งขันด้วยคะแนนทั้งหมดร้อยสามสิบห้าแต้ม ลอยลำเข้ารอบในอันดับที่สองรองจากฟานซึ่งเก็บสะสมคะแนนมาได้ร้อยสี่สิบห้าแต้ม
ทางด้านเรเนลเลี่ยนสามารถเอาชนะและยึดครองเขตแดนของผู้เข้าแข่งขันที่ชื่อชาร์โก้มาได้ เขาได้แต้มมาทั้งหมดเจ็ดสิบแต้มด้วยกันก่อนจะยึดครองเขตแดนพิเศษเพื่อเพิ่มคะแนนจนจบรอบแข่งขันได้ทั้งหมดเก้าสิบห้าแต้ม ส่วนชายอีกคนที่ชื่อมูรันนั้นค่อนข้างโชคดี เขาแทบไม่ต้องปะทะกับใครเลย สุดท้ายก็ผ่านเข้ารอบได้จากการเก็บแต้มผ่านการยึดครองพื้นที่พิเศษ จบการแข่งขันด้วยคะแนนห้าสิบแต้มพอดี
ในรอบสี่คนสุดท้ายนี้เหลือผู้เข้าแข่งขันชายสามคนและหญิงอีกหนึ่งคน กติกาการแข่งขันในรอบที่สามก็คือจับคู่ต่อสู้เพื่อหาผู้ชนะสองคนสุดท้ายและต้องเข้าไปชิงชัยกันอีกที คนที่ชนะจะได้รับสิทธิในการท้าดวลกับเจ้าตำหนักคนใดก็ได้โดยที่เจ้าตำหนักไม่สามารถปฏิเสธคำท้าไม่ว่ากรณีใดก็ตาม
เมื่อกิจกรรมการแข่งขันที่เป็นอีเวนต์หลักจบลง ผู้คนที่มางานแข่งขันก็เริ่มแยกย้ายไปตามอัธยาศัย ซิลเวอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ชมตอนนี้ก็มายืนอยู่หน้าทางออกจากทางเข้าที่เป็นจุดเชื่อมเข้าไปในห้องพักผู้เข้าแข่งขัน เขายืนกอดอกรอฟาร์ชูลันมาได้ประมาณสามสิบนาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครเดินออกมาสักที
ภายในห้องรับรองผู้เข้าแข่งขันทุกคน ตอนนี้เหลือเพียงผู้เข้าแข่งขันสองในสี่คนเท่านั้น ซึ่งสองคนที่ว่าก็คือฟาร์ชูลันกับชายที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอไว้อย่างฟาน ทั้งสองดูเหมือนจะกำลังคุยกันอยู่
“ขอบคุณที่ช่วยเอาไว้นะ” ฟาร์ชูลันพูดเปิดประเด็นขึ้น เพราะเป็นเธอเองที่เป็นฝ่ายรั้งเขาไว้ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไปเมื่อสักครู่ ทางด้านฟานแม้ไม่ได้รังเกียจที่จะสนทนา แต่พอดูผ่านสีหน้าแล้วกลับรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องที่ฟาร์ชูลันพูดเลย
“ข้าจะไม่ช่วยเจ้า ถ้าหากเจ้านั่นไม่คิดจะทำเรื่องแบบนั้น ดังนั้นไม่ต้องขอบคุณก็ได้” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนคนไร้อารมณ์จริง ๆ “ยังไงซะรอบถัดไปก็มีโอกาสที่ข้ากับเจ้าจะได้ต่อสู้กันเอง”
คำพูดเหมือนไม่ต้องการสร้างสัมพันธ์มากไปกว่านี้ ซึ่งตรงจุดนี้ฟาร์ชูลันก็เข้าใจดี
ฟานเดินออกจากห้องไปหลังจากเห็นว่าฟาร์ชูลันไม่มีเรื่องจะพูดแล้ว ถึงอย่างไรก็ตาม พลังของฟานที่ฟาร์ชูลันเห็นนั้นเป็นของจริง เขาแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ บางทีอาจจะเทียบได้กับระดับเจ้าตำหนักเลยด้วยซ้ำ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ เขาหายไปอยู่ไหนมาถึงได้ไม่มีคนรู้จักเลย?
เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้แล้วกลับไปพักผ่อนดีกว่า
“ช่วยบอกข้าทีว่านี่มันหมายความว่ายังไงกัน”
แทบทุกวันที่สไปค์ต้องทนฝึกอยู่ในห้องส่วนตัวของมีลาร์อาจทำให้เขารู้สึกอึดอัด ดังนั้นวันนี้มีลาร์จึงพาสไปค์ออกมาเดินข้างนอก แต่สถานที่ที่มีลาร์พามากลับเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ดูราวกับเป็นปราสาทของผีดูดเลือด เมื่อเดินเข้ามาข้างในก็พบกับความกว้างขวางจนเกินกว่าจะจินตนาการว่าที่นี่มีพื้นที่อยู่กี่ไร่
แน่นอนว่าคำถามของสไปค์ไม่ได้หมายถึงคฤหาสน์หลังนี้
แต่เป็นบุคคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มีลาร์ต่างหาก
“สวัสดีจ้า”
คนพูดคือผู้หญิง....ที่มีส่วนสูงน่าจะไม่ถึงร้อยห้าสิบเซนติเมตร ทรงผมทวินเทลสีทองทั้งสองข้างสะบัดไหวไปมาดูแก่นแก้ว บนใบหน้าแสดงรอยยิ้มเหมือนกับเด็กผู้หญิงน่ารักทั่วไป ชุดที่เธอสวมอยู่เป็นชุดแนวโกธิคโลลิต้ามีสีม่วงเข้ม ตรงชายขอบกระโปรงมีจีบลูกไม้สีขาวระบายฟูฟ่องดูสวยงาม
“เธอคนนี้ชื่อเรนเดล จะมาเป็นคู่มือให้กับเจ้า”
“เด็กผู้หญิงเนี่ยนะ?” ไม่ว่าจะมองมุมไหนสไปค์ก็เห็นว่าเรนเดลเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น
เรนเดลยังคงยิ้มแย้มแม้จะถูกสไปค์มองด้วยสายตาดูแคลน เธอกลับหันไปหามีลาร์แล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าหมอนี่น่ะเหรอที่เจ้าเล่าให้ข้าฟัง”
“ใช่แล้วล่ะ” มีลาร์ตอบกลับ
“เฮ้ ๆ พูดอะไรกัน ให้ข้ารู้เรื่องด้วยได้มั้ย”
“เจ้าศิษย์บ้า อย่าเสียมารยาทระหว่างที่ผู้ใหญ่คุยกันสิ”
“ผู้ใหญ่? เด็กนี่น่ะเหรอ”
“พอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเจ้าถึงพาเขามาหาข้า” เรนเดลส่ายหน้าไปมาเบา ๆ โดยไม่สนใจท่าทีของสไปค์เลยสักนิด
“ถึงจะเห็นแบบนี้แต่เรนเดลน่ะอายุเท่ากับข้านะจะบอกให้” เมื่อฟังคำพูดจากปากของมีลาร์ สไปค์ถึงกับเบิกตากว้างเหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่พูด
“โกหกชัด ๆ ดูแบบนี้ยังไงก็เห็นเป็นเด็กอายุไม่ถึงสิบสองขวบ!”
“สิ่งที่มองเห็นบางทีก็ไม่ใช่ความจริงเสมอไป” มีลาร์พูดขึ้นเมื่อเห็นสไปค์ยังคงตีสีหน้าเหมือนคนกำลังเจอแมลงสาบสองหัวยังไงอย่างงั้น
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นแล้วสไปค์ก็ไม่กล้าปรามาสหญิงสาวที่ดูเหมือนเด็กคนนี้อีก เขาถอยห่างออกมาก่อนจะโค้งคำนับลงทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม เพราะถึงอย่างไรการแสดงมารยาทที่ดีต่อสหายของผู้เป็นอาจารย์ก็ยังเป็นเรื่องที่สมควรทำ เมื่อเรนเดลเห็นท่าทางของสไปค์เปลี่ยนไปก็มีสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีมากขึ้น เธอหันไปยิ้มให้มีลาร์ก่อนที่มีลาร์จะส่งรอยยิ้มกลับมาให้เธอเช่นกัน
“เอาล่ะ งั้นก็มาเริ่มกันเลยเถอะ ก่อนอื่นให้ข้าทดสอบก่อนว่าเจ้ามีฝีมือแค่ไหน”
คฤหาสน์ของเรนเดลตั้งอยู่ในที่ที่ห่างไกลออกไปจากตัวเมืองหลวงของจักรวรรดิมากพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ไกลจนถึงขั้นเลยเถิดออกนอกเขตแดน มันเป็นสถานที่ที่มีการปกครองด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาจักรวรรดิ นั่นเพราะเจ้าของคฤหาสน์อย่างเรนเดลก็เป็นหนึ่งในนักรบปราณที่มีพลังกล้าแข็งไม่แพ้ใคร
มีลาร์ถอยห่างออกจากระยะการต่อสู้ของทั้งสองคนก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองกลุ่มเมฆที่ถูกความมืดปกคลุม สีหน้าของเขาดูมีวี่แววของความกังวลแอบซ่อนอยู่อย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าเองก็สัมผัสได้สินะ”
แว่วเสียงทุ้มต่ำลอยมากับสายลม ผู้พูดอยู่ห่างจากมีลาร์ในระยะที่ไกลเกินกว่าจะมองเห็นกัน การสื่อสารนี้แท้จริงแล้วจึงเป็นการสื่อสารผ่านกระแสปราณที่ผสานเข้ากับจิตของผู้ใช้ มีลาร์จับสัมผัสของปราณได้พลางเอ่ยถ้อยเสียงตอบกลับไปผ่านกระแสจิตโดยไม่รีรอ
“คงอีกไม่นานพวกมันก็จะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้ว”
“อย่างช้าคือสามวัน อย่างเร็วคือพรุ่งนี้” เสียงนั้นดังตอบกลับมาทันที
“ข้าคิดว่าอาจจะเป็นพรุ่งนี้ ถ้าหากมันเกิดขึ้นจริงคงต้องรบกวนเจ้าช่วยยื้อเวลาไว้ให้แล้วล่ะ”
“ยื้อ?” เสียงปริศนาถามกลับอย่างสงสัย “ทำไมข้าต้องยื้อถ้าหากว่าข้าสามารถกำจัดพวกมันได้”
“ข้าจำเป็นต้องมอบบทเรียนสำคัญให้กับศิษย์ของข้า” มีลาร์กล่าวพลางมองไปทางสไปค์อีกครั้ง “พลังของเขาจำเป็นต่ออนาคตของพวกเราทุกคน”
“ข้ารู้ว่าเจ้ามองคนไม่เคยพลาด แต่เจ้าเด็กนั่นท่าทางไม่ฉลาด เขาจะไหวแน่หรือ”
“ผิดแล้วล่ะ เด็กนั่นหากเข้าใจอะไรได้เมื่อไหร่ เขาจะสามารถแตกฉานในสิ่งนั้นมากยิ่งกว่าใคร”
“มากถึงขนาดนั้นเลย?”
“เจ้าจำได้มั้ย เมื่อยี่สิบปีก่อน ครั้งที่พวกเราพึ่งจะก้าวขึ้นไปบนจุดสูงสุดของมวลมนุษย์ได้ ในตอนที่พวกเราได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวและทรงอำนาจมากที่สุด”
“แค่หลับตาข้าก็มองเห็นภาพเหตุการณ์นั้นชัดเจน” เขาตอบกลับมาอย่างไม่ลังเล
เหตุการณ์ที่มีลาร์พูดถึงคือเหตุการณ์เมื่อยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของกลุ่มสี่สรรพสิ่งอันประกอบไปด้วยกระจก บุปผา จันทรา วารี ตัวเขาและสหายอีกสามคนได้รับภารกิจให้บุกเข้าไปกำจัดทัพมารที่ปรากฏตัวขึ้นมากะทันหันนอกจักรวรรดิซี พวกมันหลบซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ปิดกั้นซึ่งถูกสร้างขึ้นจากพลังอำนาจบางอย่างจนทำให้คนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้
สงครามเล็ก ๆ ภายในดินแดนนั้นก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ และลงเอยด้วยผลสรุปที่แม้กระทั่งคนในจักรวรรดิยังไม่อาจล่วงรู้ได้ มีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นที่ทราบผลการต่อสู้ครั้งนั้น
“ปราณไร้ลักษณ์แท้ที่จริงแล้วแข็งแกร่งยิ่งกว่าปราณอื่นใด นับเป็นปราณแห่งราชันย์ พวกเราต่างก็สัมผัสกันมาด้วยมือของตัวเอง” มีลาร์กลืนน้ำลายลงอึกหนึ่ง จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านเลยมาถึงยี่สิบปี แต่ภาพในวันนั้นกลับยังตราตรึงติดอยู่ในใจไม่ลืม
ผลการรบในครั้งนั้นไม่ได้ถูกเปิดเผยเพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อวงกว้าง ความจริงก็คือกลุ่มสี่สรรพสิ่งซึ่งมีพลังกล้าแข็งมากที่สุดในจักรวรรดินั้นพ่ายแพ้ยับเยินต่อขุมอำนาจที่แสดงออกมาผ่านตัวบุคคลเพียงผู้เดียว พวกเขาหนีรอดมาได้เพราะถูกปล่อยออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ นับเป็นความพ่ายแพ้เพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเหมือนกับตราบาปในใจ
“ถ้ามันตั้งใจจะทำลายมวลมนุษย์ล่ะก็ มันทำได้ทุกเมื่อ แต่มันกลับไม่ทำ เจ้ารู้ไหมว่าเพราะอะไร?”
คำตอบจากปลายสายสนทนาคือความเงียบงัน
“นั่นเพราะพวกมันอาจมีปัญหากังวลบางอย่าง หรือไม่ก็อาจจะเพราะการมีตัวตนของเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นได้”
“เด็กนั่นอาจมีปราณไร้ลักษณ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะ--”
“แม้จะมีเปอร์เซ็นต์แค่หนึ่งแต่ข้าก็กล้าเดิมพันว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้” มีลาร์พูดแทรก “พยัคฆ์ไม่อาจมีสองหัว มังกรก็ไม่อาจโบยบินบนเวหาเดียวกัน”
คำพูดของมีลาร์แฝงความหมายเอาไว้ลึกซึ้ง และผู้ที่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้เห็นจะมีเพียงสหายที่ผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาด้วยกัน ผู้สนทนาด้วยนึกภาพที่เกี่ยวกับประโยคคำพูดนี้ออกมาได้ชัดเจน นั่นเพราะตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในบุคคลทั้งสี่ที่เข้าร่วมสงครามเงียบ ๆ เมื่อยี่สิบปีก่อน
ผู้มีสมญานาม จันทรา เข้าใจคำพูดของสหายร่วมเป็นร่วมตายและไม่คิดกล่าวคำใดขัดแย้งอีก
การต่อสู้เมื่อยี่สิบปีก่อนทำให้พวกเขาทั้งสี่คนเชื่อในคำกล่าวว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า แม้จะเป็นจุดสูงสุดของมวลมนุษย์ก็ยังมิอาจเทียบกับจุดสูงสุดของเผ่ามาร พลังอันกล้าแข็งและทรงพลังซึ่งมาพร้อมความน่าสะพรึงกลัวนั้น ทำเอาปัจจุบันตัวเขาเองยังไม่กล้าวาดฝันว่าจะมีโอกาสได้ทำอะไรชายผู้นั้นได้
ชายผู้นั้นย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากราชันย์มารอัชลี่ย์ ผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งมารและยังคงมีชีวิตอยู่จวบจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่มอบรอยแผลในใจให้กับกลุ่มสี่สรรพสิ่งด้วยความห่างชั้นทางฝีมือชนิดที่ไม่มีวันอาจเอื้อมฝันถึง
สายตาของมีลาร์จับจ้องไปทางเด็กหนุ่มผู้มีปราณไร้ลักษณ์ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปจากจุดนี้มากนัก สาเหตุที่เขารับสไปค์มาเป็นศิษย์ย่อมไม่ใช่เหตุผลอื่นใดมากไปกว่าการตั้งความหวังในอนาคตให้กับเขา
ความร้ายกาจของอัชลี่ย์ มีลาร์และพวกอีกสามคนต่างสัมผัสมาด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นระดับของพลังปราณ กระบวนท่า ทุกสิ่งล้วนไร้ผลเมื่ออยู่เบื้องหน้าอำนาจแห่งปราณไร้ลักษณ์ที่แท้จริง
“ความจริงข้าเองก็ไม่นึกฝันเหมือนกันว่าจะได้พบกับบุคคลอื่นที่มีปราณไร้ลักษณ์...นอกเหนือไปจากเขาคนนั้นที่เราเคยเผชิญหน้ามาด้วยกัน” มีลาร์นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามสัปดาห์ก่อนในตอนที่ได้เจอกับสไปค์ครั้งแรก ทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญที่ดูราวกับโชคชะตาฟ้าลิขิตกำหนดมา
“เขายังเด็กนัก การจะฝากความหวังนี้ให้กับเขา...มันหนักเกินไป”
“แต่เขาคือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของมนุษย์อย่างพวกเรา” มีลาร์ยังคงไว้ซึ่งปณิธานแน่วแน่
“กว่าจะถึงเวลาที่สไปค์จะต้องเผชิญหน้ากับอัชลี่ย์ ข้าจะทำให้เขากลายเป็นสุดยอดนักรบปราณที่ไม่มีใครทัดเทียมได้”
สิ้นเสียงพูด มีลาร์ก็เดินกลับเข้าไปหาสไปค์ที่กำลังต่อสู้กับเรนเดล ปลายเสียงที่สนทนาด้วยกันผ่านจิตเงียบไปและก็ไม่ได้กล่าวคำพูดอะไรตอบกลับมาอีก การสนทนาจบลงเพียงแค่นั้น
ทุกครั้งที่มีลาร์มองไปยังใบหน้าของสไปค์ เขารู้สึกถึงความหวังที่เขาไม่ได้สัมผัสมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว
หากจะปราบไร้ลักษณ์ ก็ต้องใช้ไร้ลักษณ์ด้วยกัน
ท่ามกลางความคิดที่เปี่ยมไว้ซึ่งความหวังนี้ เงาร้ายที่เขาสัมผัสถึงก็กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้จักรวรรดิซี เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภัยหายนะซึ่งกำลังจะก่อเกิดขึ้นมาในอีกไม่นาน...