ตอนที่แล้วบทที่ 17 : แตรนำ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 19 : การตรวจสอบ

บทที่ 18 : อมันตรา


บทที่ 18 : อมันตรา

ในบรรยากาศภายหลังการถูกบุกจู่โจมครั้งใหญ่จากอสูรไร้ที่มา ฟากฟ้าค่อยๆ ถูกบดบังด้วยฝูงไวร์เวิร์นจำนวนมากที่บินโฉบท้องนภาล้อมหมู่บ้านเอาไว้ ไม่ใช่เพราะพวกมันต้องการทำร้ายใครหากแต่ถูกฝึกมาให้เป็นพาหนะรับใช้ยอดอัศวิน ซึ่งบัดนี้มารวมตัวกันจัดตั้งเป็นกองกำลังขนาดย่อมๆ เหนือหมู่บ้านห่างไกลนามว่าเทรียล

เพื่อให้แน่ใจว่านายเหนือหัว หนึ่งในผู้กุมอำนาจสำคัญแห่งสภาซึ่งกำลังเสด็จมาที่นี้จะปลอดภัย ไม่มีสิ่งใดกล้ำกรายแม้แต่มดแมลงทั้งหลายก็ไม่อาจผ่านโครงข่ายการป้องกันอันแน่นหนาจากฟากฟ้านี้ได้

และพร้อมๆ กันนั้นที่ด้านล่างเองก็มีหน่วยเคลื่อนที่เร็วภาคพื้นดินระดับยอดฝีมือที่เข้าตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ ไม่ให้เกิดความวุ่นวาย รวมทั้งเป็นการสำรวจมองหาความเสี่ยงทั้งหมดทั้งหลายที่อาจเกิดขึ้น

เหล่าชาวบ้านเบื่องล่างที่ไม่คุ้นเคยกับกองกำลังระดับนี้มาก่อน หลายคนเห็นก็ถึงกับอ้าปากค้าง ตกตะลึงถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้แต่กับบางคนซึ่งมาจากต่างแดนเดินทางบ่อย ได้เห็นขบวนรับเสด็จเช่นนี้เองก็ยังต้องขยี้ตาตัวเอง เพราะเอาเข้าจริงเหล่าผู้ปกครองทั้งห้านั้นแทบจะไม่เคยออกมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งสภาเอกภาพด้วยซ้ำไป อย่าว่าแต่จะมาเยือนหมู่บ้านห่างไกลเช่นนี้เลย

แต่พอคิดว่าองค์ราชินีนั้นอยู่ที่นี่ แถมยังร่ายมนตร์ปกป้องชาวบ้านเอาไว้จนไม่สนร่างกายตัวเองจะบาดเจ็บ เช่นนั้นมันก็สมเหตุสมผลขึ้นมาที่กษัตริย์จะเสด็จมารับมเหสีของตนกลับไปด้วยตัวเอง

แม้ความจริงเรื่องนี้จะถูกเพียงแค่ครึ่งเดียวก็ตาม

เพราะตอนนั้นเองที่เหล่าไวเวิร์นบนท้องฟ้าเริ่มบินแหวกออกจากกันเป็นช่องว่าง ก่อนที่เสียงแตรยักษ์จะดังขึ้นตามมาเพื่อประกาศการมาถึงของหนึ่งในมหากษัตริย์

เสียงแตรนั้นดังลั่นสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทุกหัวมุมของหมู่บ้าน ไม่เว้นแม้แต่ภายในมิติลวงตาและสมาคมนักผจญภัย บัดนี้ทุกคนได้ยินเสียงนั้นพร้อมกันก็จำต้องหยุดสิ่งที่ทำอยู่แล้วเดินออกด้านนอก กระทั่งเอลฟ์สองแม่ลูกที่บาดเจ็บสาหัสต้องดามมัดไว้บนแปลก็ยังเรียกร้องสะกิดหมอให้พาพวกเธออกไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นพร้อมกัน

แน่นอนว่าหุ่นสงครามเองก็ได้ยินเสียงนั้นชัดเต็มส่วนรับประสาทสัมผัส ทว่ากลับมันทำให้เขาแสดงอาการผิดปกติออกมา เมื่อเสียงแตรนี้ทำให้หวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสมรภูมิเก่าแก่ เพราะมันคือเครื่องดนตรีชิ้นเดียวกันกับที่เคยใช้เป็นแตรเบิกทัพ อีกทั้งเหล่าไวเวิร์นบนท้องนภานั้นก็สืบเชื้อสายมาจากจอมอสูรอย่างมังกร

แม้อารยธรรมและภูมิปัญญาหนึ่งพันปีที่ห้าเผ่าพันธุ์รวมกันเป็นหนึ่งเดียว จะทำให้ทุกวันนี้ผู้คนสามารถเพาะเลี้ยงหรือฝึกฝนละลายสัญชาตญาณแห่งการทำลายล้างของอสูรบางชนิดได้จนไม่ต่างอะไรกับปศุสัตว์ แต่อย่างไรสายเลือดที่ไหลอยู่ตัวมันก็ทำให้สัมผัสของฮอรัสตื่นขึ้นและเตือนว่าพวกมันคืออันตรายอยู่ดี

เขาแหงนหน้ามองทัพไวเวิร์นอย่างเรียบเฉย แต่ฝ่ามือนั้นก็กำแน่นบ่งบอกว่าเตรียมพร้อมประจัญบานอยู่ตลอดเวลา แผ่แรงกดดันอันตรายออกไปจนหน่วยอารักขาคุ้มกันบางคนที่ภาคพื้นสัมผัสได้

แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เปิดฉากจู่โจมอะไร เพียงแค่จัดกำลังมายืนเฝ้าสังเกตการฮอรัสอย่างใกล้ชิดเท่านั้น และเช่นกันเหล่ายอดฝีมือที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ในเทรียลมานานอย่างพ่อครัวผู้มีตำรับพระเจ้า และช่างเหล็กชราเองก็สัมผัสได้ว่าตอนนี้พวกอัศวินกำลังเพ่งเล็งพวกเขาเป็นพิเศษไม่ต่างกัน

และเพียงแค่ได้เห็นแววตาที่ส่องออกมาผ่านหมวกเกราะชั้นเลิศนั้นก็ทำให้พวกเขาถึงกับขนลุกกับอำนาจของสภา ที่มีขุมกำลังรบระดับนี้อยู่ในมือ เพราะหากอัศวินเหล่านั้นได้รับอัตตะศิลาเป็นนักผจญภัย พวกเขาทุกคนคงมีระดับสูงขั้นอย่างน้อยๆ ก็ชั้นมรกต บางคนอาจถึงขั้นไพลินเสียด้วยซ้ำ และเขากำลังพูดถึงยอดฝีมือระดับนี้จำนวนมากมายเป็นกองกำลัง

ไม่แปลกเลยที่ฮอรัสจะหยุดนิ่งไม่จู่โจมออกไปก่อนเหมือนเช่นปกติ เพราะกระบวนการคิดได้ไตร่ตรองออกมาแล้วว่าเสี่ยงเกินไป เขาไม่มีปัญหากับการต้องสู้กับกองทัพไวเวิร์น หากแต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือกองกำลังซึ่งแสดงท่าทีเป็นมิตรกับอสูรต่างหากที่ผิดแผกไปจากสำนึกพื้นฐานที่เขารู้จัก และถึงแม้กองกำลังนี้อาจเล็กกว่าที่เขาเคยเผชิญหน้าเมื่อครั้งบรรพกาล หากแต่มันทรงพลังกว่าเป็นร้อยๆ เท่า

ภารกิจปกป้องหมู่บ้านนั้นยังไม่จบสำหรับเขา และการเปิดฉากต่อสู้กับเหล่าไวเวิร์นก็มีความเสี่ยงจะนำพาหายนะมาสู่เทรียลมากกว่า การเลือกตัดสินใจรอดูสถานการณ์จึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้วในตอนนี้

ชั่วขณะเดียวกันภายในมิติลวงตาขนาดเล็กที่ห้อมล้อมปกปิดความจริงของอดีตมหาจอมเวท หญิงสาวผู้เคยทรงอำนาจเผลอกัดริมฝีปากจนห้อเลือดเมื่อแหงนมองขึ้นไปเห็นขบวนรับเสด็จอันยิ่งใหญ่นั้น

รอยร้าวค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนอากาศบ่งบอกว่ามิติลวงตากำลังจะแตกสลาย ไม่ใช่เพราะนางยุติการร่ายอาคม หากแต่เพราะมันกำลังถูกทำลายจากภายนอก

และในที่สุดภาพของเสลี่ยงรูปพีระมิดขนาดใหญ่ยักษ์ที่ลอยอยู่บนฟ้าด้วยโซ่ซึ่งตรึงฐานของมันเอาไว้กับไวเวิร์นขนาดใหญ่สิบสองตัวก็ปรากฏขึ้น

มันเป็นเฉลี่ยงฐานสี่เหลี่ยม เรียงชั้นเป็นขั้นบันไดพีระมิดขึ้นไปถึงยอด ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างหนึ่งห้องไม่ใหญ่นักกว้างเพียงสามหรือสี่เมตร มีหลังคาสูงเป็นฉัตรซ้อนกันหลายชั้น ด้านหน้าเปิดโล่งไม่มีประตู เป็นผืนผ้าแพรสีขาวที่กั้นเอาไว้ให้เห็นแค่เงาของชายหนุ่มรูปร่างสูงผอมที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้านใน ยากจะบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรหรือมีหน้าตาเป็นอย่างไร อย่างเดียวที่สามารถมองออกผ่านม่านกั้นนั้นคือความสุขุมสงบนิ่ง

ทว่าสายตาของหญิงสาว ได้เห็นการมาถึงของชายผู้มีศักดิ์เป็นสามีของตนเช่นนั้นกลับไม่รู้สึกถึงความสงบใดๆ เลย โดยเฉพาะเมื่อมิติลวงตาของนางแตกสลายเป็นชิ้นๆ เปิดเผยความจริงว่านางไม่ได้อ่อนแรงหรือหมดพลังเวท ป้องกันตนเองไม่ได้

หากแต่กำลังบงการความคิดของเหล่านักผจญภัยและชาวบ้านทั้งหลายให้เห็นถึงความเมตตาและทรงพลังด้วยมารยาชั้นเอก โดยเฉพาะฮารุและคร๊อกคัสที่จู่ๆ ก็หลุดจากมนต์สะกด ตื่นขึ้นมาเห็นขบวนเสด็จด้านบนจนตาค้างแข็งไปพร้อมกัน

แล้วฉับพลันนั้นเองที่เงาร่างของชายอีกคนซึ่งยืนอยู่บนเสลี่ยงบริเวณด้านหน้าเยื้องไปทางซ้ายมือของม่านกั้น คู่กับอัศวินในชุดเกราะสีทองอีกคนที่ยืนเยื้องอยู่ด้านขวาเป็นดั่งพระหัตถ์ของกษัตริย์เริ่มเคลื่อนไหว เมื่อเขาเดินลงมาจากบันไดพีระมิดด้วยท่าทางสงบจนถึงขั้นสุดท้ายแล้วทิ้งตัวเองลงมาจากความสูง

เพียงอึดใจร่างของชายชราวัยกร้านโลกก็ดิ่งลงมาตรงกลางระหว่างองค์ราชินีกับนักผจญภัยทั้งสามของสภาอย่างพอดิบพอดี โดยไม่ปรากฏอาการบาดเจ็บใดๆ เลยแม้แต่เส้นขนแมว เพียงแค่ยันเข่าลงข้างหนึ่งก็ลุกขึ้นมาได้อย่างสบาย ดูคล้ายจะเป็นการแสดงความเคารพ เสียมากกว่าทำเพื่อรับแรงกระแทกด้วยซ้ำไป

กลับกันกลายเป็นคนที่ถูกเคารพนั้นเองที่ผงะถอยหลังเมื่อได้เห็นใบหน้ากร้านโลกไว้เคราขาวหงอกสั้นเตียนของชายคนดังกล่าว พร้อมๆ กับฮารุและคร๊อกคัสซึ่งก็แสดงอาการไม่ต่างกันมากนัก เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นจอมปราชญ์ผู้เป็นดั่งพระหัตถ์ขวาขององค์ราชาอย่าฉุกละหุกกะทันหันเช่นนี้

ชายชรารูปร่างสูงแต่ยังดูแข็งแรง ใช้มือปัดฝุ่นที่ฝุ้งขึ้นมาเปรอะเปื้อนหนังสือเล่มโต ตีสันเป็นสายสะพายไหลของเขาเบาๆ จนเกิดประกายแสงระเรื่อสีขาวออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ถึงแสงนั้นจะไม่มีผลอะไร แต่มันก็ทำให้องค์ราชินีเผลอกลืนน้ำลาย ด้วยรู้จักตำราเล่นนั้นดีว่ามันคือหนึ่งในสามสุดยอดไอเทมเวทมนตร์ แบบเดียวกับคทาเอเลเมนโต้ของนาง

มันคือตำราแห่งสรรพสิ่ง มีอำนาจในการเก็บรักษาและถ่ายทอดภูมิปัญญาใดๆ ให้แก่ผู้ครอบครอง เป็นหนึ่งในไอเทมที่นางต้องการที่สุด เพียงแต่มันดันไปอยู่ในมือของคนเพียงคนเดียวบนโลกที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อเวทมนตร์และจอมเวทอย่างสมบูรณ์

“จอมปราชญ์...” องค์ราชินีกดลากเสียงต่ำในลำคอกล่าวตำแหน่งพร้อมจิกสายตารุนแรง บ่งบอกว่านางไม่พิสมัยชายชราคนดังกล่าวเท่าไหร่นัก

“องค์ราชินี” ชายชราก้มลงตอบเล็กน้อยเป็นการแสดงความเคารพ แต่ระหว่างก้มไปนั้นก็ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าใกล้หญิงสาว จนนางต้องรีบถอยออกมา

“อย่าได้! บังอาจ! เข้าใกล้เรา!” องค์ราชีนีตะคอกเน้นเสียงเรียงคำใส่ชายชรา ด้วยพริบตาที่เขาเข้าใกล้นางนั้นอำนาจบางอย่างที่แผ่ออกจากตัว ทำให้ผิวพรรณที่เปล่งปลั่งเป็นสาวสะพรั่งงดงามของนางกลับกลายเป็นมีร่องรอยหย่อนยานตามอายุขัยแท้จริง

สิ่งนั้นคือไฟอมันตรา อำนาจหนึ่งเดียวที่สามารถเผาผลาญทำลายเวทมนตร์ทุกรูปแบบบนโลกนี้ให้สูญสลายไปได้อย่างสิ้นเชิงและมันก็ทำให้เวทมนต์ที่องค์ราชินีร่ายไว้เพื่อคงความสาวถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน แต่กระนั้นก็ร่ายกลับขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านกลับไปกับพระองค์... ในทันที” ชายชราเอ่ยเสียงแหบอย่างสุขุมพลางเน้นพยางค์ท้าย

แต่มันทำให้องค์ราชินีแสดงสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาในทันที บ่งบอกว่านางไม่ได้ต้องการเช่นนั้น จึงคว้าเอาคทาของตัวเองออกมาเพื่อจะใช้เวทมนตร์บินขึ้นไปคุยกับสามีที่อายุจริงน้อยกว่านางถึงสามรอบด้วยตัวเอง

ทว่าตอนนั้นเองที่แหวนเพชรประจำราชวงศ์ที่นิ้วนางซ้ายปรากฏแสงเรื่องรองสีชมพูออกมา ก่อนคทาแก้วจะร่วงลงบนพื้นส่งเสียงกังวาลใส เพราะฝ่ามือของอดีตมหาจอมเวทตอนนี้กำลังสั่นไหวไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะแต่จะกระดิกนิ้ว

ในชั่วขณะ ความเจ็บปวดจู่ๆ ก็เสียดเข้ามาในอก ราวกับมีเข็มร้อนๆ เป็นร้อยเป็นพันเล่มทิ้มแทงเข้ามาในหัวใจจนนางกระอักก้มลงไปอย่างฉับพลัน

แล้วเพียงไม่นานนักพลังเวทมนตร์เข้มข้นในร่างกายก็พลันกลั่นตัวเป็นของเหลวสีม่วงเรืองแสง หลั่งไหลออกมาผ่านดวงตาจมูกและปาก ก่อเป็นความทรมานแสนสาหัส จนบัดนี้แม้แต่องค์ราชินีผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังทรุดลงคุกเข่ากรีดร้องออกมาอย่างน่าสังเวช ต่อหน้าทุกคนใกล้ๆ รวมทั้งคร๊อกคัสและฮารุที่พยายามเอามือปิดปากตัวเองเอาไว้ไม่ให้ร้องตาม

ฝ่ายจอมปราชญ์เองที่เห็นหญิงสาวคุกเข่าดังนั้น ก็ไม่ยืนค้ำ นั่งลงคุกเข่าไปด้วยกัน ขณะเดียวกันก็คว้าเอาคทาเอเลมนโต้มาวางไว้บนตักเก็บรักษาไว้ให้ เพราะอย่างไรนางก็ยังเป็นราชินีของเขา

ชั่วขณะเวลาแห่งเสียงกรีดร้องทรมานนั้นผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ แต่ในความรู้สึกของผู้ถูกกระทำมันคือเวลาชั่วกัลป์ พลังเวทเข้มข้นจำนวนมหาศาลที่ถูกสูบออกมาจากร่างของหญิงสาวไหลเจิ่งไปทั่ว จนในที่สุดก็แทบจะไม่หลงเหลือพลังเวทใดๆ ในร่างกายอีกนอกจากที่จะใช้สำหรับคงรูปลักษ์เอาไว้ ไม่ให้ประชาชนตื่นตกใจมากเกินไป

“นี่มันอะไร!! แกทำอะไร!!” องค์ราชินีตะคอกน้ำเสียงอิดโรย เพราะร่างกายไร้ซึ่งแรงกำลังจะขยับเคลื่อนไหว กระทั่งเวทมนตร์ง่ายๆ ก็ยังร่ายไม่ออก ได้แต่คุกเข่าอย่างหมดสภาพอยู่ตรงนั้น

“ครั้งนี้ท่านทำเกินไปจริงๆ ท่านทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วมาก พระองค์ล้มการประชุมสภาเพื่อมารับท่านกลับไป ได้โปรดอย่าทำให้เรื่องแย่ไปกว่านี้” จอมปราชญ์เอ่ยเบาๆ แล้วใช้มือตบตำราแห่งสรรพสิ่งหนึ่งที อาภรณ์ขององค์ราชินีที่เปรอะเปื้อนก็พลันเปลี่ยนไปกลายเป็นชุดไหมแบบราชวงศ์สะอาดสะอ้านสง่างาม “พลังเวทของท่านจะค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาเมื่อได้จับคทาเอเลเมนโต้อีกครั้ง... แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ อย่างน้อยก็จนกว่าสภาจะเห็นควรว่าท่านเหมาะสมจะได้มันคืน”

พูดจบเขาก็กระดิกนิ้วเรียกให้อัศวินที่ขี่ไวเวิร์นรออยู่ตั้งแต่แรกบินโฉบลงมาเพื่อรับร่างของนางขึ้นไปบนเสลี่ยง เพราะตอนนี้อย่าว่าแต่จะให้บินขึ้นไปเองเลย ลำพังจะเดินก็ยังไม่ไหว

“อย่ามาแตะต้องตัวเรา! นังคนทรยศ!!” นางตะโกนลั่น พยายามขัดขืนด้วยแรงอันน้อยนิดของตัวเอง เมื่อเห็นใบหน้าใต้หมวกเกราะของอัศวินหญิงคนนั้น เพราะมันคือใบหน้าเดียวกันกับคนที่เคยเป็นองครักษ์ส่วนตัวของนาง นั่นหมายความว่านางถูกจับตาตลอดเวลามาตั้งแต่แรกแล้ว

แต่ด้วยแรงที่หดหายและไม่อาจใช้มนต์ใดๆ ได้นั้นทำให้การดิ้นรนของนางไม่เป็นผล ซ้ำสายตาดุกร้าวของจอมปราชญ์ที่มองมาก็บ่งบอกชัดเจนว่าหากนางยังดึงดันที่ขึ้นไปอย่างราชินี เขาก็ไม่ลังเลที่จะพานางไปอย่างนักโทษ เช่นนั้นจึงจำเป็นต้องยอม

และเมื่อไวเวิร์นบินขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ชายชราจึงหันกลับไปด้านหลังแล้วคุกเข่าต่อหน้านักผจญภัยจากสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจระเข้หนุ่มคร๊อกคัส ทำเอาพวกเขาถึงกับตกใจหงายหลังไป

“องค์ชายคร๊อกโคไคอัส ในนามของตัวแทนแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ข้าต้องขออภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกท่านเป็นอย่างยิ่ง ตัวฝ่าบาทเองก่อนจะเสด็จมาที่นี่ก็ได้เดินทางไปพบกับท่านชีพแห่งลุ่มน้ำเหนือพระบิดาของท่านแล้ว ฝ่าบาทยินดีจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยตัวเองเมื่อพวกท่านเดินทางกลับไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์... แน่นอนว่ารวมไปถึงการหาทางรักษาอาการของท่านฮาบิด้วย” จอมปราชญ์เอ่ยออกมาด้วยใจจริง ระหว่างที่ยังคุกเข่าขอโทษแทนสิ่งที่ราชินีของเขาทำเอาไว้

ก่อนที่อัศวินคนเดิมจะขี่ไวเวิร์นบินกลับมาเป็นสัญญาณว่าองค์ราชินีตอนนี้กลับไปนั่งข้างบัลลังก์กษัตริย์เรียบร้อยแล้ว และจากที่เขารู้จักราชาของตนมายี่สิบกว่าปีตั้งแต่ยังเป็นแค่องค์ชายน้อย แทบจะไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะเห็นความพิโรธได้เท่านี้ โดยเฉพาะกับรักแรกและรักหนึ่งเดียวอย่างมหาจอมเวทด้วยแล้ว แต่เพราะแบบนั้นเขาจึงพอจะเดาออกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับนางบ้างเมื่อทั้งหมดกลับไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่านั่นเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ตอนนี้ยังมีงานอื่นที่เขาต้องทำให้เสร็จ

“ว่าแต่หุ่นสงครามตนนั้น ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด