ตอนที่แล้วตอนที่ 17: เพื่อนซี้กลับมาเยี่ยม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 19: พลาดไปในการต่อสู้

ตอนที่ 18: On the way (ระหว่างทาง)


ตอนที่ 18: On the way (ระหว่างทาง)

 

เมเดียนเพียงแตะร่างของมูนนี่และเฮเซคียาห์ พวกเขาและบรอธถูกเคลื่อนย้ายทันทีด้วยการเทเลพอร์ตจากบริเวณป่าที่ก่อนหน้านี้เฮเซคียาห์เพิ่งล้มต้นไม้ไปหลายต้น ไปยังพื้นที่ลึกลับแปลกตาซึ่งเฮเซคียาห์ไม่เคยสำรวจพบในดาร์คเฮลฟอเรสมาก่อน

 

เฮเซคียาห์พบว่าพวกเขากำลังยืนอยู่บนพื้นดินอุ้มน้ำ ผิวดินไม่แข็งจนเดินได้อย่างมั่นคง แต่ไม่เหลวจนดูดเท้าของเขาลงไปเหมือนกับโคลน ทุกครั้งของการก้าวเดิน ดินใต้ฝ่าเท้ายวบลงเล็กน้อย ทำให้เขาทิ้งรอยเท้าเอาไว้บนพื้นซึ่งมีหญ้าสั้นสีเขียวขึ้นปกคลุมบางตา เขาสูดดมกลิ่นหญ้ามอสจากรอบด้าน หมุนกายมองไป ต้นไม้ในบริเวณนี้ไม่ได้ขึ้นกันอย่างแออัดและมีรากใหญ่ปกคลุมพื้นเป็นอุปสรรคต่อการสัญจร

 

“ต้นไม้พวกนี้ อายุนับร้อยๆ ปี” มูนนี่เดินไปแตะลำต้นของต้นไม้ต้นหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่จนสิบคนอาจโอบได้ไม่รอบ บนต้นไม้มีทั้งหญ้ามอส เห็ดรา ดอกกล้วยไม้ และยังมีกิ่งใหม่แตกออกมาในลักษณะเป็นพุ่ม ดูสวยงามแปลกตา

 

“ตอนฉันกับเอเทรัสเอาต้นไม้พวกนี้มาปลูก พวกมันต้นเล็กนิดเดียว” เมเดียนก้าวออกห่างจากเฮเซคียาห์ไปยืนซ้อนอยู่ด้านหลังมูนนี่

 

“คุณเอาต้นไม้พวกนี้มาจากไหน” เฮเซคียาห์เดินไปยืนข้างมูนนี่

 

“แถวๆ เขตการปกครองที่สอง”

 

“ทวีปอเมริกา” มูนนี่เอ่ยชื่อซึ่งมนุษย์ยังใช้เรียกเขตการปกครองดังกล่าว

 

“ฉันไม่อยากให้เธอทำลายต้นไม้ซี้ซั้ว เลยพาพวกเธอมาที่นี่ ต้นไม้พวกนี้แข็งแรงมาก ล้มได้ยาก และต่อให้มันถูกไฟเผาหรือฟ้าผ่าจนภายนอกดำเป็นตอตะโก แต่ภายในของมันยังมีชีวิต มันจะแตกกิ่งออกมาใหม่ในที่สุด” เมเดียนถอยออกห่างพวกเขา

 

เฮเซคียาห์ที่รับรู้ถึงการเคลื่อนที่ของเมเดียน เหลียวหลังไปมอง

 

เมเดียนผิวปากเสียงยาว ก่อนเปลี่ยนจังหวะของเสียงที่ส่งออกมาเป็นสั้นๆ ยาวๆ โดยเสียงที่ส่งออกมาแหลมแปลกหูขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางของเขาทำให้เฮเซคียาห์ทราบว่าเมเดียนกำลังเรียกหาบางอย่าง ไม่ได้กำลังเล่นสนุกอยู่ มูนนี่เองก็คงตระหนักถึงจุดประสงค์ที่เมเดียนทำแบบนี้เช่นเดียวกัน ทั้งคู่จึงพร้อมใจกันเงียบและรอคอยว่าตัวอะไรจะโผล่ออกมา

 

เสียงหวีดแหลมฟังดูคุ้นหูดังมาจากบนท้องฟ้า พร้อมกับอุณหภูมิรอบข้างที่ลดลงจนทำให้ขนบนแขนลุกชัน

 

“วิหคเหมันต์!” มูนนี่อุทานด้วยเสียงแสดงความมหัศจรรย์ใจ

 

ส่วนเฮเซคียาห์พยักหน้ายอมรับสิ่งที่เห็นได้อย่างไม่แปลกใจ เพราะเขาเคยพบวิหคเหมันต์อยู่กับเมเดียนมาก่อน

 

“มันเป็นตัวเดียวกันกับที่ผมเคยพบมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า” เฮเซคียาห์ตั้งคำถามออกมาก่อนมูนนี่ที่ทำหน้าเลิ่กลั่กดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

 

มนุษย์มีโอกาสน้อยที่จะได้เห็นวิหคเหมันต์ใกล้ๆ พวกเขาส่วนใหญ่ได้แต่เฝ้ามองมันจากบนพื้นโลก

 

“ไม่ใช่ ตัวนี้เป็นราชินีของฝูง” เมเดียนยกมือของเขา ขณะที่วิหคเหมันต์ร่อนลงมาอย่างช้าๆ

 

การร่อนลงของวิหคเหมันต์ให้ความรู้สึกเหมือนผ้าคลุมผืนใหญ่สีขาวซึ่งหล่นลงมาจากบนฟ้า มันค่อยๆ เคลื่อนลงมาทีละน้อย และทีละน้อย ไม่เหมือนการเคลื่อนไหวด้วยการกระพือปีกของนกทั่วไป ผนึกหิมะสีขาวทอประกายวิบวับโปรยปรายลงมาบางๆ ไล่หลังของมัน

 

ในที่สุด วิหคเหมันต์วางเท้าของมันเกาะเข้าที่แขนของเมเดียน แขนข้างที่ปกคลุมด้วยขนนกสีดำ แผ่นน้ำแข็งปรากฎขึ้นบนขนนกของเมเดียนก่อนจะสลายหายไปอย่างรวดเร็ว

 

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้” มูนนี่มีสีหน้าตื่นตระหนกและดีใจอย่างที่สุดในขณะเดียวกัน

 

เขาก้าวไปหาเมเดียนใกล้ๆ สายตามองที่วิหคเหมันต์อย่างชื่นชม

 

“ตัวนี้เป็นรุ่นที่ 6 แล้ว หลังจากเราพารุ่นแรกมาที่นี่เมื่อนานมาแล้ว” เมเดียนเอ่ยแนะนำวิหคเหมันต์ “มันชื่อว่าฟอร์สทีน

 

“ผมขอจับมันดูได้ไหม” มูนนี่ยื่นมือออกไป

 

“อย่า!” เมเดียนกระโดดถอยไปพร้อมกับวิหคเหมันต์บนแขนของเขา แต่การกระโดดของเขาส่งตัวเขาไปลงพื้นในจุดที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยเมตร “เธอจับมัน แล้วเธอจะได้หลับปุ๋ยไปเลย”

 

“นายจะถูกแช่แข็ง แล้วก็คงไม่ได้ตื่นอีกนาน” เฮเซคียาห์ตบไหล่มูนนี่สองครั้งแล้วหัวเราะ

 

“เรื่องจริงเหรอ” เมเดียนกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ “ฉันเห็นว่าเมเดียนทำได้ ก็เลยคิดว่าเรื่องที่เขาเล่ากันมา มันคงเป็นแค่เรื่องไร้สาระ”

 

เฮเซคียาห์หัวเราะ เขาตลกขบขันว่าอีกฝ่ายคิดน้อยไป

 

เมเดียนเดินกลับมาอยู่ด้านหน้าเฮเซคียาห์และมูนนี่

 

“เรื่องจริง ถ้าเธอจับมัน เธออาจถูกแช่แข็งทันที แต่ถ้าเธอถูกแช่แข็งไปแค่บางส่วน ก็เตรียมใจพิการได้เลย เพราะเซลล์ของเธอคงกลายเป็นน้ำแข็งที่ละลายแล้วได้แต่ของเหลว กู้คืนอวัยวะมาใช้งานเหมือนเดิมไม่ได้ ผลลัพธ์ของการจับตัวของวิหคเหมันต์เรียกได้ว่าขึ้นอยู่กับดวง ดวงดีก็ยังรอดตายไปได้ ถูกแช่แข็งแบบฟื้นคืนชีพทีหลังได้ ดวงไม่ดีก็พิการไม่ก็ตายไปเลย”

 

เฮเซคียาห์สะอึก ตอนแรกเขาคิดขำๆ ถึงผลลัพธ์ที่เกิดกับมัสติน

 

เขาหลงลืมไปชั่ววูบว่ามูนนี่เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง

 

“แล้วทำไมคุณ...” มูนนี่มีท่าทีอยากดึงดันจะลองจับวิหคเหมันต์ดูบ้าง

 

“ฉันทำได้ เพราะฉันไม่ใช่มนุษย์นะ เด็กน้อย” เมเดียนปรามมูนนี่ให้ฉุกใจคิด

 

มูนนี่มีสีหน้าเข้าใจแจ่มแจ้งถึงข้อจำกัดที่แตกต่างกันระหว่างเขากับเมเดียน

 

“คุณเรียกมันลงมาทำไม” เฮเซคียาห์ไม่ลุ่มหลงกับความสวยงามของวิหคเหมันต์ “จะเอามันมาใช้ในการต่อสู้ระหว่างผมกับมูนนี่อย่างนั้นเหรอ”

 

“ไม่ใช่ตอนนี้ แต่ก็เป็นความคิดที่น่าสนใจสำหรับในอนาคตนะ พอดีว่าฉันกับเจ้านี่เราคุยกันรู้เรื่อง”

 

ฟอร์สทีนกางปีกออกเล็กน้อย ผงกศีรษะของมัน

 

“อ้อ ส่วนหนึ่งของคุณเป็นนก” มูนนี่ผงกหัวหงึกๆ

 

เมเดียนยิ้ม แล้วตัวเขาก็ลอยขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ลอยสูงขึ้นไปอีกหน่อย

 

“เดี๋ยวก่อน คุณทำแบบนั้นได้ยังไง” เฮเซคียาห์งุนงง เพ่งมองอีกฝ่าย เขาไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายควบคุมธาตุลมเพื่อพยุงตัวให้ลอยขึ้นในอากาศ และนั่นไม่ใช่การเทเลพอร์ต

 

“ฉันก็มีปีก”

 

“ปีก?” เฮเซคียาห์กับมูนนี่พึมพำออกมาแทบจะพร้อมกัน

 

เมเดียนมองไปทางฟอร์สทีน เจ้านกตัวใหญ่ออกบินไปเกาะที่ต้นไม้ใกล้กัน กิ่งไม้ที่เกาะกลายเป็นน้ำแข็งไปในทันที และน้ำแข็งที่เกิดขึ้นยังปรากฎลามไปยังส่วนอื่นของต้นไม้ด้วย

 

“ลองจับดูสิ” เมเดียนกลับลงมายืนบนพื้น ขยับตัวของเขาเข้ามาใกล้ และเฮเซคียาห์รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างตีเข้ามาโดนตรงไหล่

 

เฮเซคียาห์ยื่นมือออกไป และรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่นุ่มและลื่นมืออยู่คราวเดียว มันให้ความรู้สึกเหมือนกับขนนก แต่ที่น่าประหลาดคือเขากำลังลูบมือไปมาบนความว่างเปล่า แทนที่จะเป็นปีกนกจริงๆ ทางมูนนี่มองเขาด้วยสายตาแสดงความงุนงงก่อนลองยื่นมือมาท้าพิสูจน์ความสงสัยดูบ้าง

 

“เอเทรัสเคยบอกกับฉันว่าปีกของฉันอยู่ในมิติของอะตอม อะตอมจะรวมตัวกันและทำให้คนอื่นรับรู้ถึงการคงอยู่ของมันได้ก็เฉพาะตอนที่ฉันต้องการใช้งานเท่านั้น”

 

“ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้สึกได้” เฮเซคียาห์งุนงงกับการที่อยู่ๆ รับรู้ว่าเมเดียนมีปีก

 

เจ๋งแฮะ!

 

“เอาล่ะ ก่อนที่ฉันจะให้เธอทั้งสองคนสู้กัน พวกเราไปเจอเอเทรัสกันดีกว่า”

 

ปีกนุ่มๆ ในมือของเฮเซคียาห์หายไป

 

“เอ๊ะ! แต่เธอตายไปแล้ว?” เฮเซคียาห์งงกับคำพูดของเมเดียน

 

“ฉันหมายถึงพวกเธอควรไปเคารพสุสานของภรรยาของฉัน เพราะว่าป่าแห่งนี้ บริเวณโดยรอบที่เธอมองเห็น มันเติบโตสมบูรณ์ขนาดนี้ได้ เกิดจากฝีมือการดูแลของเอเทรัสด้วย ในเมื่อพวกเธอจะสู้กันในป่าแห่งนี้ ก็ควรไปบอกกล่าวเอเทรัสกันก่อน”

 

“ทำไมต้องไปกราบไหว้หินสุสานด้วย คุณเชื่อว่าเอเทรัสจะยังรับรู้ได้ว่าพวกผมไปยืนอยู่ที่นั่นต่อหน้าเธอ แล้วพูดกับเธออย่างนั้นเหรอ” เฮเซคียาห์อดถามเมเดียนไม่ได้

 

สิ่งที่เมเดียนกำลังให้เขากับมูนนี่ไปทำเป็นสิ่งแปลกประหลาดในความคิดของเฮเซคียาห์

 

หลังจากเผ่าพันธุ์มัสตินมีวิวัฒนาการอย่างยาวนาน เริ่มเข้าใจวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้ง และพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น ความเชื่อที่อาศัยเพียงศรัทธา เรื่องของผีและวิญญาณ เสื่อมความนิยมลง เผ่าพันธุ์มัสตินหันไปเชื่อในวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว พวกเขาเชื่อในหลักเหตุและผล ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานว่าสามารถพิสูจน์ได้ หรืออยู่บนทฤษฎีที่ถูกคิดค้นขึ้นมา

 

“ฉันเชื่อ และพวกเธอควรทำในสิ่งที่ฉันอยากให้ทำ” เมเดียนกอดอก มองเฮเซคียาห์อย่างเอาเรื่อง

 

เฮเซคียาห์ยักไหล่

 

เขาจะพยายามคิดว่ามีพลังงานบางอย่างของเอเทรัสหลงเหลืออยู่ก็แล้วกัน

 

“ทีนี้ การไปที่นั่นเราต้องพึ่งฟอร์สทีน เพราะว่ามันเท่านั้นที่จำทางในป่านี้ได้ ต้นไม้บางต้นในนี้สร้างภาพลวงตาของตัวเองได้ มันทำให้เส้นทางในป่าไม่แน่ไม่นอน”

 

เมเดียนพูดจบ เขาผิวปาก ก่อนเริ่มทำเสียงที่ฟังดูคล้ายนกจริงๆ

 

ฟอร์สทีนโผออกจากกิ่งไม้ที่มันเกาะอยู่ แล้วบินด้วยลักษณะเหมือนผ้าปลิวด้วยสายลมอ่อนๆ ไปทางด้านหนึ่งของป่า เมเดียนเดินตามไป

 

“เฮ้! ทำไมคุณไม่พาเราเทเลพอร์ตไปล่ะ” เฮเซคียาห์คิดว่าอีกฝ่ายควรรีบเข้า เขากับมูนนี่จะได้สู้กัน

 

“ป่ารอบสุสานของเอเทรัส ไม่สามารถเทเลพอร์ตได้ ต้นไม้ที่เธอเห็น ฉันกับภรรยาทำให้พวกมันส่งคลื่นบางอย่างที่ช่วยทำให้มวลสารของร่างกายฉันเสถียร”

 

เมเดียนหันมาตอบแต่ยังคงเดินไป ฟอร์สทีนบินนำไปก่อน

 

“ทำไมคุณถึงพัฒนาต้นไม้พวกนี้ให้ขัดขวางความสามารถของคุณเอง”

 

เฮเซคียาห์เร่งฝีเท้า พยายามตามอีกฝ่ายให้ทัน

 

“เพราะมันช่วยหยุดฉันให้ไม่ต้องเดินไปเทเลพอร์ตไป” เมเดียนหยุดเดินและหันมาตอบเฮเซคียาห์อย่างจริงจัง คำอธิบายของเมเดียนทำให้เฮเซคียาห์เข้าใจว่าเมเดียนไม่ได้เทเลพอร์ตเพราะชอบใจอย่างเดียว “ด้วยสภาพร่างกายของฉัน ฉันเทเลพอร์ตเองในบางครั้งแม้ว่าฉันไม่ต้องการเทเลพอร์ต ต้นไม้พวกนี้ช่วยให้ฉันเดินแบบคนปกติได้ ฉันเคยมีผู้หญิงที่ฉันอยากเดินข้างๆ ไม่ใช่อยู่ๆ หาย อยู่ๆ หาย แล้วทำให้เธอเดินตามไม่ทัน หรือไม่ใช่ว่าฉันกำลังจะได้จูบ แล้วอยู่ๆ ฉันก็ไปอยู่ตรงอื่นซะงั้น”

 

“มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอที่ต้องพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองเทเลพอร์ตเพื่อจะได้เดินข้างๆ ผู้หญิงคนหนึ่ง หรือรอให้เธอเดินตามทัน หรือหยุดตัวเองไว้เพราะว่าจะได้จูบผู้หญิงคนหนึ่ง”

 

มูนนี่ใช้ข้อศอกถองเข้าที่สีข้างของเฮเซคียาห์ เฮเซคียาห์หันไปมองมูนนี่ด้วยสีหน้ารำคาญนิดๆ

 

“เอาเป็นว่ามันเคยสำคัญกับฉันก็แล้วกัน” เมเดียนมีสีหน้าเนือยๆ

 

“แต่ผมก็เคยเห็นคุณเดินได้โดยไม่หายตัวไปมา ตอนที่ไปที่เซนต์กิลเจนด้วยกัน คุณก็เดินปกติได้”

 

“ฉันต้องฝึกมา ถึงทำได้แบบนั้น การเดินไม่ได้สบายเท่ากับการเทเลพอร์ต”

 

“ทำไมต้องฝึกทำเรื่องโง่ๆ ด้วย คุณเทเลพอร์ตได้ ก็เทเลพอร์ตไปสิ”

 

“เวลาที่ฉันเทเลพอร์ต ฉันไม่ได้รู้สึกถึงสายลม แสงแดด ความเร็ว หรือกลิ่น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ความรู้สึกแบบที่พวกเธอรู้สึกสำคัญสำหรับฉัน” เมเดียนไม่ได้ฝืนธรรมชาติของตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล “ความรู้สึกจากสิ่งรอบตัวเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าฉันเอาแต่เทเลพอร์ตไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้สึกถึงอะไรเลย สักวันหนึ่งฉันจะลืมว่าฉันรู้สึกได้ และการเทเลพอร์ตแบบนั้น มันจะเป็นการเทเลพอร์ตไปสู่ความว่างเปล่า ฉันจะหายไปตลอดกาล”

 

“คุณจะตาย...” เฮเซคียาห์ช็อค

 

“ก็แค่หายไป หายไปเฉยๆ” เมเดียนมีสีหน้าซีดเซียวลง

 

เขาหมุนกายแล้วเดินไปต่อ ฟอร์สทีนทิ้งน้ำแข็งไว้บนทางที่พวกเขาต้องใช้

 

“เรารีบตามไปกันเถอะ” มูนนี่เตือนเฮเซคียาห์ แล้วเร่งฝีเท้าขึ้นอีก

 

เฮเซคียาห์ถอนหายใจและเร่งฝีเท้าตามเมเดียนและมูนนี่ไป

 

 

 

“รายงาน: ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่น และอีก 1 กิโลเมตร พบสิ่งก่อสร้างที่แสดงว่าผู้สร้างมีสติปัญญา คาดว่าเป็นสุสาน” บรอธแจ้งสิ่งที่ตรวจพบกับเฮเซคียาห์แม้ว่าเขาจะไม่ได้ถาม

 

“อีก 1 กิโลเมตรก็ถึงแล้วสินะ” เฮเซคียาห์ตะโกนถามเมเดียนที่ล่วงหน้าไปแล้ว

 

เขาแยกแยะได้ว่าบรอธคุยเฉพาะกับเขาหรือเปล่า ทั้งคู่ตกลงกันว่าถ้าบรอธจะคุยกับคนอื่นด้วย ให้มันสร้างแสงสีฟ้าจากด้านในตัว ซึ่งเมื่อมองจากภายนอกเขาและคนอื่นจะเห็นเหมือนแสงเรืองๆ จุดไว้ในตะเกียงแก้วสีหม่นๆ

 

“ใช่” เมเดียนหันมาตะโกนตอบโดยไม่ชะลอฝีเท้าลง

 

เฮเซคียาห์ถอนหายใจ เท้ายังคงก้าวไปต่อ

 

“ฉันเล่าเรื่องที่เล่าค้างไว้นะ” มูนนี่ถามหลังจากต้องชะงักไป

 

เฮเซคียาห์พยักหน้า

 

“อืม...” มูนนี่อยู่ๆ ก็อ้ำอึ้ง

 

“อะไร” เฮเซคียาห์หันมามองหน้าอีกฝ่าย แต่พวกเขายังเดินไปด้วยกันอยู่

 

“นอกเรื่องหน่อยนะ ฉันมีบางอย่างจะปรึกษา นายคิดว่าทำไมซาแมนต้ายังไม่ให้ฉันพากลับ เธอชอบฉันบ้างไหม” จู่ๆ มูนนี่เปลี่ยนเรื่องซะงั้น

 

เฮเซคียาห์ปวดหัวกับคำถาม

 

อีกแล้ว! จะต้องให้เขาพูดอีกกี่ครั้งว่าอย่าเอ่ยถึงซาแมนต้าต่อหน้า

 

ธุระใดๆ ที่เกี่ยวกับเธอ เขาไม่ต้องการรับรู้

 

“นายโกรธใช่ไหม แต่ก็คือ... ฉันไม่มีใครที่ไหนให้ขอคำปรึกษา”

 

“พวกผู้ใช้เศวตศาสตราคนอื่นล่ะ พวกเขารู้จักทั้งนาย และก็น่าจะรู้จักยัยซ่าอยู่บ้าง”

 

“คนที่ฉันพอรู้จัก พวกเขารู้จักซาแมนต้าแต่เป็นการรู้จักแค่ชื่อเสียง แล้วพอฉันเอ่ยปากถามหยั่งเชิง ฉันโดนหัวเราะเยาะ มีแต่คนคิดว่าฉันปั้นน้ำเป็นตัว ฝันกลางวัน” เสียงมูนนี่แฝงความน้อยใจปนกับการโหวกเหวกโวยวาย “ฉันไม่เคยอวดโม้อะไรเลย แต่พวกนั้นไม่เชื่อว่าฉันเคยเดินทางกับซาแมนต้ามาก่อน”

 

“พวกเขาก็ถูกนะ ถ้านายคิดอะไรกับยัยซ่ามากกว่าเพื่อน นั่นก็ฝันกลางวันชัดๆ”

 

“ทำไมล่ะ ถ้าเขาไม่ชอบฉัน ทำไมเขายังไม่กลับบ้าน”

 

“ยัยนั่นก็แค่ยังคิดไม่ตกว่าจะเอายังไง” เฮเซคียาห์รำคาญซาแมนต้ามาพักใหญ่ๆ และมีจิกกัดให้กลับบ้านไปบ้าง

 

เมเดียนไม่ยอมช่วยซาแมนต้าเรื่องพาเด็กๆ กำพร้าในการดูแลของเธอไปส่งที่ลีฟวิ่งแลนด์อื่น เพราะเด็กพวกนั้นส่วนใหญ่เป็นทายาทของผู้ใช้เศวตศาสตรา และในอนาคตพวกเขาอาจสร้างความวุ่นวายให้กับเผ่าพันธุ์มัสตินในดาวอื่น

 

เมเดียนเสนอกับซาแมนต้าที่จะย้ายเด็กๆ ไปยังหมู่บ้านที่เขาดูแลอยู่แทน เพราะที่นั่นเป็นหมู่่บ้านของเขา ถ้าเกิดอะไรขึ้น เมเดียนสามารถย้ายทั้งหมู่บ้านได้ในพริบตา พวกเด็กๆ จะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและปลอดภัย แต่เขาบังคับว่าเด็กๆ เหล่านั้นห้ามเข้าร่วมกับกองกำลังต่อต้านเผ่าพันธุ์มัสตินใดๆ เมื่อโตขึ้น

 

ซาแมนต้าลังเลใจเพราะข้อปฏิบัติที่ผูกมัดอนาคตของเด็กๆ ในความดูแลของเธอ

 

“นายไม่คิดว่าเป็นเพราะฉันบ้างเหรอ ไม่ใช่ว่าเธอคิดแค่เรื่องเด็ก แต่คิดเรื่องของฉันอยู่ด้วยหรือเปล่า” มูนนี่คิดเข้าข้างตัวเองอยู่

 

เฮเซคียาห์คิดทบทวนท่าทางของซาแมนต้า

 

“เวลายัยซ่าพูดกับนาย มันดูเหมือนเจ้าหญิงจิกหัวใช้ทาส” เขาเปรียบเทียบในใจมาอย่างถี่ถ้วนระหว่างลักษณะคำพูดของซาแมนต้ากับพริเซล่าน้องสาวของเขา พริเซล่าแสนสวยไม่ได้นิสัยดี เขาเห็นเธอใช้เสียงแหลมๆ จิกหัวใช้พวกทาสชาวมนุษย์หรือข้าราชบริพารอยู่บ่อยๆ

 

“ไม่เห็นเหมือนตรงไหน”

 

“เหมือนสิ” เฮเซคียาห์อยากให้มูนนี่ตาสว่าง เขาเลยพูดความจริงแบบตรงไปตรงมา

 

“เฮอะ! นายอคติกับเธอน่ะสิ เลยมองเธอแบบนั้น” มูนนี่แขวะเฮเซคียาห์แทนที่จะยอมเก็บคำพูดของเขาไปพิจารณา

 

“นายก็หลงเธอมากไปหน่อย เลยมองเธอว่าดีแสนดี นี่ต่อให้เธอไม่จ่ายค่าจ้างนาย นายก็จะยังโอเคอยู่ใช่ไหม”

 

“ไม่!” มูนนี่ทำสีหน้าจริงจัง

 

“หืม?”

 

“เรื่องเงินสำคัญมาก ฉันไม่เคยทำงานให้ใครฟรีๆ”

 

“แน่นะ ว่าจะไม่ใจอ่อน”

 

“แน่!” ท่าทางมูนนี่ไม่เหมือนพูดเล่น

 

เฮเซคียาห์เบาใจขึ้นมาเมื่อได้ยินมูนนี่พูดแบบนั้น เขาเป็นห่วงมาตลอดหลังจากเฝ้าดูมูนนี่ปรนนิบัติซาแมนต้าไปซะทุกเรื่อง เขากลัวว่ามูนนี่จะกลายเป็นลาโง่ๆ ให้มนุษย์ผู้หญิงคนนั้นหลอกใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็ต้องทุกข์ระทมเสียใจจนจะเป็นบ้าเองในทีหลัง

 

ขอให้อำนาจของ “ความงก” มีอำนาจเหนือ “ความรัก” ไปตลอดก็แล้วกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด