ตอนที่ 18 ความหมายที่ยังต้องมีชีวิต
ตอนที่ 18 ความหมายที่ยังต้องมีชีวิต
รุ่งสางของรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาว อากาศในยามเช้าเริ่มเย็นจัดจนต้องสวมเสื้อผ้ายามหลับให้หนาเพียงพอ เฟย์นะลืมตาตื่นขึ้นมาบนที่นอนหนานุ่มและอยู่ใต้ผ้าห่มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น หญิงสาวรู้สึกอ่อนเพลียตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับออกกำลังกายมาอย่างหนักหน่วงทั้งๆ ที่เพิ่งตื่นนอน
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ไหลทะลักเข้ามาในหัวเมื่อสติคืนกลับมา เฟย์นะสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นภาพ ‘ทิม’ ที่เป็นลูกกลมๆ วิ่งมาขนขาตัวเอง สติของเธอกำลังจะแตกอีกครั้งก่อนจะหันไปเห็นใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างตัว
ทิมนั่งอยู่ตรงนั้น นั่งขัดสมาธิจ้องมองหญิงสาวแน่นิ่งอยู่ด้านข้างฟูกนอนหนานุ่มที่ปูอยู่บนพื้น เฟย์นะพุ่งกระโดดเข้ากอดแฟนหนุ่มด้วยความโล่งอก เรื่องทุกอย่างคงจะเป็นแค่ฝันร้ายที่เธอเพิ่งตื่นขึ้นมา ทว่า...
ร่างของเฟย์นะพุ่งผ่านร่างของทิมไปราวกับเขาเป็นเพียงอากาศ แม้จะพยายามเอื้อมมือไปคว้าตัวทิมอีกครั้งแต่ก็ได้ผลลัพธ์ดังเดิม ปากของทิมเหมือนจะขยับราวกับพยายามบอกอะไรสักอย่างแต่เฟย์นะไม่ได้ยินมัน
เสียงกุกกักที่เกิดขึ้นภายในห้องทำให้คนที่อยู่ด้านนอกเปิดประตูเข้ามาดูทันที
“เฟย์นะ!”
พาเทลร้องเรียกลูกสาวด้วยความดีใจพร้อมกับวิ่งเข้าไปกอด ในที่สุดเฟย์นะก็ได้สติฟื้นแล้วเสียที
“พ่อคะ! ทิม... ทิมอยู่ไหน!”
เฟย์นะถามผู้เป็นพ่อทั้งน้ำตา เป็นคำถามที่ทำให้ชายวัยกลางคนกอดลูกสาวแน่นขึ้นอีก
“ตั้งสติดีๆ เฟย์นะ พอจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ้างมั้ย”
ร่างของหญิงสาวชะงักไปก่อนจะผละตัวออกมาจ้องหน้าบิดา ใบหน้าที่ตกตะลึงถึงขีดสุดนั้นมีเพียงหยดน้ำเม็ดโตซึ่งไหลลงมาจากดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น
“ไม่จริง... ไม่จริง! หนูยังเห็นเขา ทิมอยู่ตรงนั้น! พ่อไม่เห็นเขาเหรอคะ! ทิมนั่งอยู่ตรงนั้น!”
หนนี้กลับกลายเป็นผู้เป็นพ่อต้องตกใจไปเสียเอง เพราะเขามองไม่เห็นวิญญาณ หลายวันที่ผ่านมานี้จึงมองไม่เห็นทิมที่คนบ้านนี้พากันบอกว่า ทิมนั่งอยู่ข้างๆ เฟย์นะตลอดเวลา
“หนูมองเห็นทิมเหรอลูก หนูเห็นเขาจริงๆ ใช่มั้ย”
“ใช่...หนูเห็นเขา แต่ แต่ว่า...”
เฟย์นะหันกลับไปมองทิมอีกครั้ง หนนี้ทิมลุกขึ้นเดินมานั่งข้างๆ เฟย์นะกับพ่อของเธอใกล้ๆ เขาก็ยื่นออกมาตรงหน้าเพื่อสัมผัสแฟนสาว แต่ทุกอย่างก็กลืนหายเข้าไปในร่างกายของเธอราวกับร่างนั้นไม่มีตัวตนอีกต่อไปแล้ว
“ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงใช่มั้ยคะ บอกหนูที มันคือความจริงใช่มั้ย”
พาเทลคว้าตัวเฟย์นะที่เริ่มสะอึกสะอื้นเข้ามากอดไว้แน่นอีกครั้ง ก่อนจะตอบด้วยเสียงหนักแน่น
“มันคือความจริงลูก”
คำยืนยันจากพ่อทำให้หญิงสาวแทบสิ้นสติอีกครั้ง เธอสวมกอดพ่อแน่นขึ้นก่อนจะเริ่มร้องไห้โฮออกมา...
เคนเซย์ยืนอยู่อีกฟากของประตู บทสนทนาทุกอย่างที่เข้าหูทำให้เขาคิดว่าไม่ควรเข้าไปขัดจังหวะ นึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าเธอได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้แล้ว เขาจะถูกเธอเกลียดเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนกัน
เสียงร้องไห้นั้นดังระงมอยู่นานทีเดียว ไม่มีคำพูดอื่นใดเกิดขึ้นมาขณะที่ปล่อยให้หญิงสาวได้ระบายความเสียใจ จนกระทั่งพาเทลเปิดประตูห้องนอนออกมายังห้องนั่งเล่นอีกครั้งนั่นเอง
“เฟย์นะร้องไห้จนหลับไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ฟื้นแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างจะปกติดี”
พาเทลบอกกับเคนเซย์ที่ยืนนิ่งรออยู่ตรงนั้นพร้อมกับถอนใจอย่างโล่งอก ไม่ว่าเรื่องต่อจากนี้จะน่าปวดหัวแค่ไหนก็ตาม แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือตอนนี้ลูกสาวของเขาปลอดภัยแล้ว
“ปล่อยให้เธอหลับอีกสักตื่นเถอะครับ ตื่นมาหนนี้ผมจะอธิบายเรื่องราวทุกอย่างกับเธอเอง ผมจะไปเรียกคุณอามาดูอาการของเธอสักหน่อย ถ้ามีอะไรต้องการเพิ่มเติมก็บอกได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”
เคนเซย์ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะหันหลังกลับ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อถูกถามบางอย่างกลับมาอีกครั้ง
“เฟย์นะบอกว่าเธอเห็นทิมที่นั่งอยู่ข้างๆ ทุกอย่างคือเรื่องจริงสินะ เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณนั่น”
“ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงครับ สำหรับคุณพาเทลที่มองไม่เห็นวิญญาณอาจจะเข้าใจยากไปสักหน่อย แต่จากนี้ไปเฟย์นะจะเริ่มมองเห็นทุกอย่างเหมือนที่พวกผมเห็น ลองค่อยๆ ถามจากเธอดูก็ได้ครับ เพราะอย่างนี้เราถึงต้องพาตัวเธอมาพักฟื้นที่นี่ ให้แพทย์วิญญาณคอยดูแลอย่างใกล้ชิด นี่ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพทั่วไปที่แพทย์ตามโรงพยาบาลปกติจะรักษาได้”
ในตอนแรกพาเทลก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความตกตะลึงให้กับสองครอบครัวสุดขีด ครอบครัวของทิมมารับศพของลูกชายไปแล้วพร้อมกับข้อมูลที่ได้รับว่า ทิมคือพลเมืองดีที่พยายามขัดขวางผู้ก่อการร้ายซึ่งต้องการวางระเบิดแก๊สพิษกลางเขตชุมชน ซึ่งต่างจากข้อมูลที่เขาได้รับในฐานะพ่อของเฟย์นะโดยสิ้นเชิง
ผู้คนทั่วไปยังคิดว่าเฟย์นะยังอยู่ในห้องผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาลประจำกองปราบปรามและห้ามเข้าเยี่ยม แต่เขากลับถูกเชิญมาที่นี่เพื่อให้ดูแลลูกสาวได้อย่างใกล้ชิด แม้ยิ่งฟังก็ยิ่งสงสัยว่านี่มันเรื่องเพ้อเจ้ออะไรกัน แต่ชื่อเสียงของตระกูลยูคิฮารุ และการที่ผู้บัญชาการสูงสุดของกองปราบปรามเป็นคนบอกกล่าวเรื่องนี้กับเขาด้วยตัวเอง ก็ทำให้น้ำหนักเรื่องนี้น่าเชื่อถือขึ้นอย่างประหลาด และตลอดเจ็ดวันที่เฟย์นะสลบไปนี้ สองพ่อลูกก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีโดยไม่มีสัญญาณอันตรายหรือการหลอกลวงอะไร โดยเฉพาะจากคุณชายแห่งตระกูลยูคิฮารุคนนั้น...
เมื่อเฟย์นะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งฟ้านอกหน้าต่างก็มืดลงไปแล้ว แสงจากโคมไฟสีเหลืองที่ตั้งอยู่ภายในห้องทำให้เธอพอจะมองเห็นอะไรรอบตัวได้ชัดเจน หญิงสาวพบพ่อของตัวเองนอนหลับอยู่ที่ฟูกด้านข้าง มองรอบตัวอีกครั้งเธอก็ยังนึกไม่ออกว่าที่นี่คือที่ไหน ที่แน่ๆ มันคงไม่ใช่บ้านของเธอ และมันก็ไม่เหมือนโรงพยาบาล ที่นี่เหมือนกับห้องนอนของบ้านสไตล์โบราณๆ หรือโรงแรมแบบญี่ปุ่นเสียมากกว่า
แต่อย่างน้อยการที่เห็นพ่อนอนอยู่ข้างๆ ก็ยังพอโล่งใจได้ว่าคงไม่มีอันตรายอะไร
ที่ด้านข้างหัวที่นอนของหญิงสาวมีเหยือกกับแก้วน้ำตั้งไว้ เฟย์นะหันไปรินน้ำใส่แก้วได้เล็กน้อย ก่อนจะตัดสินเปิดฝาเหยือกแล้วยกขึ้นดื่มทั้งอย่างนั้นด้วยความกระหาย
เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองนอนมานานมากจนร่างกายมันเนือยไปหมด ยิ่งเมื่อความเป็นจริงบางอย่างวนกลับเข้ามาตอกย้ำอีกครั้ง น้ำตามันก็ไหลออกมาเอาดื้อๆ ในทันที เธออยากล้มตัวลงบนที่นอนแล้วหลับไปไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก โลกนี้มันดูว่างเปล่าไปหมดแล้วเมื่อทิมจากไป
เฟย์นะมีเพียงแค่ทิมมาตลอดชีวิต เธอนึกภาพชีวิตของตัวเองที่ไม่มีเขาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย เธอจะอยู่ไปเพื่ออะไรกัน โลกนี้มันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว แต่เมื่อกำลังจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งหญิงสาวก็หันไปเห็นพ่อของตัวเอง เฟย์นะจ้องมองพ่ออยู่อย่างนั้น สองมือของหญิงสาวเริ่มกำเข้าแน่นจนสั่น จนกระทั่งยกข้อมือขึ้นไปปาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรู
อย่างน้อยเธอยังมีพ่อ ครอบครัวคนสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่ ต่อให้โลกนี้จะไม่มีความหมาย ถึงแม้หญิงสาวจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยเธอก็ควรอยู่ให้พ่อเห็นว่าเธอยังอยู่ให้เขาสบายใจ
ใช่...อย่างน้อยเธอก็ต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อพ่อของเธอ
เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดได้ดังนั้นความอยากจะนอนต่อก็หดหายไปในทันที เธออยากรีบกลับมาแข็งแรงเป็นปกติให้เร็วที่สุด เพื่อที่พ่อของเธอจะได้สบายใจ
เฟย์นะค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นอน เธอไม่อยากปลุกพ่อที่นอนกรนเบาๆ อยู่ฟูกด้านข้าง หญิงสาวไม่ได้คิดจะไปไหนไกลในที่ที่ไม่รู้จัก สิ่งต่างๆ ในห้องนี้แทบไม่ได้อะไรเลยนอกจากที่นอน ชั้นวางของที่แทบไม่มีอะไรวางอยู่กับกระเป๋าสัมภาระของพ่อ เมื่อเดินไปส่องดูนอกหน้าต่างก็พบว่าห้องนี้อยู่ชั้นล่างซึ่งด้านข้างเหมือนจะมีสวนหย่อมที่มีบ่อน้ำด้วย
ความสงสัยผุดขึ้นในใจถึงขีดสุด เธอกับพ่อกำลังอยู่ที่ไหนกัน จนเมื่อสังเกตได้ว่าเบื้องหลังของประตูห้องอีกฟากนั้นมีแสงไฟสว่างเปิดอยู่ หญิงสาวจึงลองตัดสินใจเดินไปเปิดประตูออกไป
แต่แล้วชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว ที่หูสองข้างมีเฮดโฟนสีดำเปิดเพลงจังหวะหนักๆ เสียงดังจนทะลุรอดออกมาและกำลังหันหน้ามามองเธอนั้น ก็เป็นบุคคลที่ไม่เคยอยู่ในสามัญสำนึกของเฟย์นะเลยว่าจะได้พบกับเขาที่นี่
เฟย์นะจำเพื่อนร่วมสายชั้นมาตั้งแต่มัธยมต้นคนนี้ได้ดี แม้ทั้งสองจะไม่เคยเรียนอยู่ห้องเดียวกัน ไม่เคยคุยกันแต่ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี จนกระทั่งได้พบกันอีกครั้งที่สถาบันกองปราบปราม แม้จะเคยคุยกันบ้างไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งก็เป็นเพียงธุระเรื่องบทเรียนหรือกิจกรรมต่างๆ ทั่วไปที่ทำให้ต้องสื่อสารกัน
หญิงสาวไม่เคยมีความรู้สึกแง่ลบแง่บวกอะไรกับคนคนนี้ตลอดช่วงที่เรียนมัธยม เพราะแม้จะรู้จักหน้าแต่ก็ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว จุดเริ่มต้นของความรู้สึกไม่ถูกชะตากับคนคนนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเข้ามาเรียนที่สถาบันกองปราบ เพราะทุกครั้งเวลาที่ถึงคาบศิลปะการต่อสู้อย่างเคนโด้ เธอมักจะรู้สึกว่าเหมือนถูกเขากลั่นแกล้งตลอดเวลาในช่วงเกือบสองปีที่ผ่านมา
“ทำไมนายถึงอยู่ที่นี่” เฟย์นะถามด้วยความสงสัยถึงขีดสุด
“.........ที่นี่คือบ้านของฉันเอง แล้วนี่ก็เป็นห้องนอนของฉันด้วย” แม้เคนเซย์จะวางท่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในใจกลับร้อนรนด้วยความกังวล
แน่นอนว่าคำตอบของเคนเซย์ยิ่งทำให้เฟย์นะงงหนักมากขึ้นกับสถานการณ์ตอนนี้ หญิงสาวทำหน้าตื่นตระหนก เหมือนจะตกใจแต่ก็ไม่มีเสียงร้องอุทานอะไรหลุดออกมา เธอเพียงหันมองรอบตัวอย่างหวาดวิตกมากขึ้น อาการที่เห็นได้ชัดเจนว่าเฟย์นะไม่เคยมองเคนเซย์ว่าเป็นมิตรเลย
“มีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้น มีหลายอย่างที่เธอต้องรู้ต่อจากนี้ และมีหลายอย่างที่เราต้องถามจากเธอด้วย”
ฟังคำบอกเล่านั้นแล้วเฟย์นะก็เริ่มประเมินสถานการณ์ ที่นี่คงไม่มีอันตรายอะไรจริงๆ นั่นแหละไม่อย่างนั้นพ่อของเธอคงไม่นอนกรนหลับได้สบายใจเฉิบ และถึงเคนเซย์จะชอบแกล้งเธออย่างนั้น แต่ที่จริงเขาเองก็ไม่น่าจะใช่คนเลวร้ายอะไร มันคงจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ นั่นแหละ เธอก็แค่ต้องลองฟังเขาก่อนเท่านั้น
อยู่ๆ เสียงที่ดังจากท้องของหญิงสาวก็ดังขึ้นขัดจังหวะ เธอได้ดื่มน้ำจนมีแรงขึ้นมาบ้างแล้วก็จริง แต่ร่างกายที่โล่งวาบว่างเปล่าเหมือนไม่มีอะไรตกถึงท้องมานานมาก ก็เหมือนจะถึงจุดสิ้นสุดความอดทนแล้วเช่นกัน
“เธอหลับไปตั้งเจ็ดวันคงจะหิวแย่แล้ว จะให้ยกของกินมาที่ห้องเลย หรืออยากจะออกไปกินข้างนอกเอง”
เคนเซย์เสนอทางเลือกให้ท่ามกลางสีหน้าตื่นตกใจอีกครั้งของเฟย์นะ เธอเหมือนจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบไปพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลออกมาอีกครั้งดื้อๆ
“เจ็ดวันเลยเหรอ... พิธีอำลาของทิมคงจัดการไปเรียบร้อยแล้วสินะ”
เฟย์นะหันหลังกลับไปเช็ดน้ำตา เห็นอย่างนั้นแล้วเคนเซย์ก็ได้แต่ลอบถอนใจ
“เสียใจด้วยนะเรื่องทิม ทุกอย่างมันกะทันหันไปจริงๆ ฉันเองก็ใจหายเหมือนกัน”
หญิงสาวไมได้ตอบอะไรกลับ ไม่ได้หันมา เคนเซย์เพียงเห็นอาการเหมือนเธอผงกหัวรับคำพูดของเขาเบาๆ
“เธอคงหิวมากแล้ว กินอะไรร้อนๆ ง่ายๆ ที่ทำได้ไวๆ ก่อนดีมั้ย เพราะกว่าจะปลุกคนครัวมาทำอะไรให้ได้คงใช้เวลานานเกินไป นั่งรอที่โซฟาก่อนก็แล้วกัน”
ห้องแห่งนี้เหมือนโซนห้องนั่งเล่นที่มีข้าวของมากมายไปหมด เหมือนทั้งห้องพักผ่อนและห้องทำงานไปในตัว เฟย์นะเดินไปนั่งรอบนโซฟาที่มีเพียงตัวเดียวในห้องตามคำชวนนั้นเมื่อเคนเซย์ลุกออกไป เธอได้แต่มองตามเขาที่เดินไปเปิดตู้ติดผนังตู้หนึ่งแล้วหยิบบะหมี่ถ้วยสำเร็จรูปออกมาสองถ้วย เทน้ำใส่กาต้มน้ำไฟฟ้าก่อนจะเสียบปลั๊ก ยืนรอน้ำเดือดอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมามองทางนี้หรือแม้แต่พูดจาอะไรด้วย
ซึ่งเป็นแบบนี้ก็คงดีแล้วเหมือนกัน เพราะเธอเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะคุยกับใคร
ไม่นานจากนั้น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยร้อนๆ โชยกลิ่นหอมฟุ้งทั่วห้องก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะหน้าโซฟา เฟย์นะมองของกินตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย เธอรู้ตัวว่ากำลังหิวมาก แต่อีกใจก็ไม่นึกอยากตักอะไรเข้าปากเลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากวางบะหมี่กึ่งที่ต้มเสร็จลงตรงหน้าของหญิงสาว พร้อมตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้งอันใหม่ที่ยังอยู่ในซองพลาสติก เคนเซย์ก็นั่งลงบนพื้นห้องอีกฟากของโต๊ะหน้าโซฟา เงยมองหญิงสาวที่ยังนั่งนิ่งไม่คิดจะหยิบมันขึ้นไปกิน แล้ว เขาก็ตัดสินใจพูดกระตุ้นเธอเล็กน้อย
“ถ้าเธอยังนอนนิ่งไม่ยอมลุกฉันก็จะไม่ปลุกเธอขึ้นมากินหรือทำอะไรเลย แต่ถ้าเธอตัดสินใจลุกขึ้นมาจากที่นอนแล้วก็กินสักหน่อยเถอะ อย่างน้อยก็เพื่อคุณพ่อของเธอที่ลางานมาอดหลับอดนอนเฝ้าเธออยู่ข้างๆ ตลอดเจ็ดวันมานี้”
เคนเซย์พูดเพียงแค่นั้นก่อนจะหยิบหนึ่งในสองถ้วยนั้นที่ทำเผื่อตัวเองขึ้นมากินก่อนเงียบๆ
ในตอนที่เฟย์นะไถลตัวลงมานั่งลงบนพื้นด้านล่างโซฟาเหมือนกับเขา และค่อยๆ เริ่มหยิบตะเกียบขึ้นมารูดซองพลาสติกออก เวลาก็ผ่านไปนานเลยทีเดียวจนเคนเซย์เกือบจะกินถ้วยของตัวเองหมดแล้ว
หญิงสาวเริ่มลงมือคืบเส้นขึ้นมาได้ทีละเส้น ตักเข้าปากได้ทีละน้อย แม้จะเชื่องช้าและดูเลื่อนลอยจนสุดท้ายก็กินได้แทบไม่เกินสิบคำ แต่เคนเซย์ที่ได้เห็นดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจมากแล้ว ที่อย่างน้อยเธอก็ยังมีสัญญาณของการอยากมีชีวิต...
ชายหนุ่มลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นอีกครั้งแล้วขนเครื่องดื่มทุกประเภทที่มีในตู้ออกมาให้หญิงสาวได้เลือก ทั้งน้ำเปล่า น้ำอัดลม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มผสมเกลือแร่ แม้แต่เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
“ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ ฉันกับพ่อถึงได้มาอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นที่โรงพยาบาลหรือที่บ้านใช่มั้ย”
เฟย์นะวางตะเกียบยอมแพ้ต่อการกินในที่สุด เคนเซย์ไม่ดึงดันให้หญิงสาวฝืนกินต่อ แต่เสนอทางเลือกอื่นให้แทน
“เลือกดื่มสักอย่างก่อนเถอะ เธอจะได้มีแรงฟัง”
เฟย์นะยื่นมือมาทำท่าจะหยิบกระป๋องน้ำอัดลม แต่เคนเซย์ฉกมันมาก่อนเพื่อเปิดให้แล้วส่งกลับคืนไป หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรตอบกลับนอกจากยกมันขึ้นไปดื่มเงียบๆ ความซ่าและความเย็นของโคล่ากระตุ้นให้ร่างกายของเธอกลับมาเหมือนมีชีวิตชีวาขึ้นทันที
“อีกด้านหนึ่งของโลกมนุษย์ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ มีโลกอีกใบหนึ่งที่เรียกว่าโลกของวิญญาณ”
เพียงประโยคแรกที่เคนเซย์เกริ่นนำออกมาก็ทำเอาเฟย์นะขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดในทันที
“ฉันไม่มีอารมณ์มานั่งฟังนายกวนประสาท”
ชายหนุ่มเพียงลอบถอนใจอย่างอดทน ก่อนจะพูดขึ้นต่อโดยไม่สนคำทักท้วงของอีกฝ่าย
“ถ้าโลกเรามีนักปราบปรามคอยจับคนร้ายที่ทำผิด โลกวิญญาณก็มีนักปราบวิญญาณไว้คอยไล่ล่าวิญญาณร้ายที่คอยทำร้ายมนุษย์ ทุกประเทศทั่วโลกมีสิ่งที่เรียกว่ากองปราบวิญญาณ เพียงแต่คนทั่วไปไม่เคยรู้เท่านั้น ตระกูลยูคิฮารุของเราเป็นนักปราบวิญญาณของคาเรมมาหลายชั่วคน ฉันเองก็ทำงานนั้นมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน”
“นี่นาย...”
“ถ้าไม่เชื่อล่ะก็... ตอนที่ฟื้นขึ้นมาครั้งแรก เธอมองเห็นวิญญาณของทิมแล้วใช่มั้ย”