ตอนที่แล้วตอนที่ 17 งานเทศกาล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 19 ไปด้วยกันเถอะ

ตอนที่ 18 ความสงบที่ไม่สงบ


ตอนที่ 18 ความสงบที่ไม่สงบ

เสวี่ยหงเยว่นั้นไม่รู้ว่าตัวเองเหม่อลอยขนาดไหน แต่การที่รู้สึกตัวอีกทีก็เดินมาถึงห้องพักในโรงเตี๊ยมและนั่งอยู่บนเตียงเรียบร้อย เขาคิดว่าตนนั้นน่าจะไร้สติพอตัว ดวงตาสีแดงทอดมองไปยังนอกหน้าต่าง เห็นถึงตัวเมืองที่คึกคักวุ่นวายแล้วถึงกับส่ายหน้า อยากนอนหนีปัญหาอย่างบอกไม่ถูก

เขาไม่รู้ว่าหลานซิ่นหลิงนั้นมาทำอะไรที่เมืองแห่งนี้ นิสัยของคน ๆ นั้นไม่น่าจะชอบงานเทศกาลที่มีคนแออัดด้วยซ้ำ จะว่ามาทำงาน...ก็คงไม่ เสวี่ยหงเยว่ไม่ได้เห็นหลานซิ่นหลิงออกพื้นที่ไปทำงานนอกสกุลมานานมากแล้ว ล่าสุดที่เห็นก็สมัยที่อดีตประมุขเสวี่ยยังมีชีวิตอยู่

...มันคือตอนที่เขายังเล็กนัก

“หงเกอ น้องขอพาเสี่ยวจูไปเดินเล่นด้านล่างหน่อยได้ไหมขอรับ” เหอไป๋เทียนเอ่ยถาม เพราะเห็นว่าเสี่ยวจูดูลุกลี้ลุกลนอยากออกไปยืดเส้นยืดสายเต็มที่แล้ว

“น้องขอสัญญา ว่าน้องจะไม่หลงทางและกลับมาตรงเวลาขอรับ” พูดจบเหอไป๋เทียก็กำมือฮึบให้คำสัญญาอย่างแข็งขัน พอเห็นแบบนั้นเสวี่ยหงเยว่ก็ใจอ่อนพยักหน้าอนุญาตให้อีกฝ่ายพาเสี่ยวจูออกไปเดินเล่นได้ แต่ก็กำชับว่าให้กลับมาก่อนเวลาทานอาหารเย็น

เมื่อเหอไป๋เทียนพาเสี่ยวจูออกไปด้านนอกแล้ว เสวี่ยหงเยว่ก็ลากเก้าอี้มารับลมที่หน้าต่าง ทอดสายตาชมนั่นชมนี่ไปเรื่อย ในหัวก็คิดหาวิธีเอาตัวรอดจากอาจารย์ยังไงไม่ให้ดูเสียมาดหมดราคา

แต่แล้วในระหว่างที่เสวี่ยหงเยว่กำลังเข้าสู่วิถีแถสีข้างอยู่นั้นเอง เขาก็เหมือนเห็นอะไรบางอย่างขาว ๆ แว้บไปแว้บมาอยู่ที่หางตา

เมื่อหันไปมอง คิ้วเรียวถึงกับเลิกขึ้นสูงด้วยความสงสัย เมื่อสิ่งลอยอยู่ตรงหน้าตนนั้นคือแผ่นกระดาษขาวถูกพับอย่างประณีตเป็นรูปนกกระเรียนตัวจ้อย มันกระพือปีกบินเบาๆ ระดับสายตา เมื่อเสวี่ยหงเยว่แบมือออกไปกระเรียนกระดาษก็หยุดการเคลื่อนไหว ร่วงลงสู่มือเขาทันที

เขาค่อยๆ คลี่กระดาษกระดาษที่อยู่บนมือของตอนออก ภายในนั้นเขียนข้อความสั้น ๆ ที่ทำให้เสวี่ยหงเยว่รีบลุกจากเก้าอี้ ออกจากห้องไปทันที

‘อยู่ด้านล่าง’

ข้อความเรียบง่ายกระชับจนดูเหมือนห้วนสร้างไฟสุมทรวงให้กับคนเพิ่งก่อเรื่องมาได้เป็นอย่างดี แม้ไม่ได้ลงชื่อว่าส่งมาจากใคร แต่ลายมือที่เรียบร้อยเป็นระเบียบชัดเจนประหนึ่งเคาะแป้นคอมพิวเตอร์พิมพ์ขนาดนี้จะเป็นใครไปไม่ได้เลย

...นอกจากหลานซิ่นหลิง...

 

ช่วงเย็นย่ำใกล้ค่ำ พระอาทิตย์คล้อยตกเปลี่ยนท้องฟ้าให้เป็นสีน้ำเงินเข้ม จันทร์เกือบเต็มดวงเริ่มปรากฏอย่างเชื่องช้า บ่งบอกถึงเวลาที่ไฟโคมประดับเมืองจะสว่างสไว คนทยอยออกมาเดินเที่ยวเล่น แม้ว่าร้านค้าริมทางบางร้านจะยังตั้งไม่เสร็จก็ตาม บ้างก็มาซื้อของที่ระลึก บ้างก็มาหาอาหารพื้นเมืองแสนอร่อย บ้างก็มาซื้อโคมประทีปเตรียมไว้สำหรับวันเทศกาลพรุ่งนี้

ความคึกคักสมเป็นฤดูท่องเที่ยว เสียงพูดคุยจอแจ เหล่าเด็กน้อยออกมาเดินเล่นกับพ่อแม่ คนรักออกมาเดินกระหนุงกระหนิง ทุกคนมีความสุข มีรอยยิ้มรื่นเริงประดับอยู่บนสีหน้า

แต่อาจจะยกเว้นคนๆ หนึ่ง...

อึดอัด...

นั่นคือสิ่งที่เสวี่ยหงเยว่คิดในขณะที่เดินตามหลังคนเป็นอาจารย์ไป

ไม่ใช่อึดอัดคน

ไม่ใช่อึดอัดกับงานเทศกาล

ขาแข้งหนักเหมือนมีหินยักษ์มาถ่วง ส่วนจังหวะหัวใจหรือก็เต้นระรัว บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองมีเพียงความเงียบเฉียบ ทั้งเขาและหลานซิ่นหลิงต่างไม่มีใครเลยที่จะเป็นผู้เริ่มต้นบทสนทนา มันเงียบมาหเสียจนคนแปลกหน้าที่เดินสวนทางยังอึดอัดแทน

แม้อยากจะถลกชายเสื้อวิ่งหนีแค่ไหนแต่เขาก็ต้องข่มใจอดทน วางกริยาสำรวมต่อหน้าหลานซิ่นหลิง นอกจากไม่อยากให้ภาพลักษณ์เสียหายแล้ว หากไม่สุภาพต่อหน้าอาจารย์เขาอาจโดนลากไปอมรมอีกด้วย

หลังจากที่ได้รับจดหมายกระเรียนเรียกตัวแล้ว เขาก็รีบลงไปหาหลานซิ่นหลิงซึ่งรออยู่ด้านล่างโรงเตี๊ยมทันที ความผิดที่ถึงแม้ไม่รู้ว่ามันคือความผิดอะไรสุมในอก จิตใจลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุข สมดังความเชื่อที่ว่า ผู้กระทำความผิดต่อให้ไม่มีใครรู้แต่สิ่งที่เรียกว่าเวรกรรมจะคอยตามฟอลโล่วคุณอยู่เงียบๆ

แต่เขายังไม่ได้ทำบาปอะไร จะคนจะหมาก็ยังไม่ได้ฆ่า การปลอมตัวพาเด็กเที่ยวก็ไม่น่าจะทำให้รู้สึกผิดขนาดนี้

จะว่าเป็นที่ตัวบุคคล...อาจารย์เป็นพ่อเขาหรือก็...

ไม่...

ไม่ใช่กับผีสิ! ตั้งแต่ที่อดีตประมุขเสวี่ยตายไปหลานซิ่นหลิงก็แทบจะทำหน้าที่แทนพ่อของเขาไปแล้วต่างหาก!

หลานซิ่นหลิงนั้นเป็นเพื่อนสนิทของอดีตประมุขเสวี่ย...เสวี่ยจินหรง

พวกเขาทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ร่ำเรียนในสำนักสกุลเสวี่ยพร้อมกัน อีกทั้งยังจบจากสำนักเสวี่ยในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่แปลกเลยหากคนทั้งคู่สนิทสนมเป็นอย่างมากแม้จะมีนิสัยใจคอต่างกันคนละขั้วก็ตาม

เสวี่ยหงเยว่เกิดไม่ทันยุครุ่งเรืองของทั้งสองคนก็จริง แต่เขาก็มักจะได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับคุณงามความดี ความเก่งเทพ และความสนิทสนมกันสมัยหลานซิ่นหลิงและเสวี่ยจินหรงยังวัยรุ่นอยู่บ่อย ๆ

ด้วยความสนิทกับพ่อนี้เอง ทำให้หลานซิ่นหลิงแทบจะกลายร่างเป็นพ่อคนที่สองของเสวี่ยหงเยว่...แต่เขาก็ไม่อยากได้พ่อที่ดุแบบนี้สักหน่อย

แถมยัง...

เสวี่ยหงเยว่มองแผ่นหลังคนชุดดำเงียบๆ เมื่อหลานซิ่นหลิงหยุดก้าวเพื่อแวะร้านข้างทาง ดวงตาสีแดงเลือดจับจ้องใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย ความคิดสงสัยก็ไหลเข้าหัวมาอย่างห้ามไม่อยู่ เสวี่ยหงเยว่นั้นมีปัญหาคาใจตลอดเวลาหลายปีที่คลุกคลีกับหลานซิ่นหลิงอยู่หนึ่งอย่าง...

คนๆ นั้นเป็นเพื่อนของเสวี่ยจินหรงและมีอายุเท่ากัน

เสวี่ยจินหรงมีลูกตอนอายุยี่สิบห้าและปัจจุบันเสวี่ยหงเยว่อายุยี่สิบสาม...ยี่สิบห้าบวกยี่สิบสามเท่ากับ... สี่สิบแปด

คนๆ นี้อายุสี่สิบกว่าใกล้จะห้าสิบแล้วแท้ๆ แต่ภายนอกของหลานซิ่นหลิงนั้น ไม่ได้แตกต่างจากคนอายุยี่สิบปลาย ๆ เขามั่นใจว่าหลานซิ่นหลิงไม่ใช่มนุษย์เจ้าสำอาง ไม่มีปัจจัยอะไรให้หน้าเด็กเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อสมัยก่อนเขาเคยอ่านเจอว่า ผู้ที่ฝึกวิชาควบคุมพลังภายในระดับสูงสำเร็จ นอกจากจะทำให้มีปราณที่แข็งแกร่ง ร่างกายทนทาน ไม่รู้จักหิว ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแล้วยังสามารถรักษาสภาพร่างกายไม่ให้ร่วงโรยไปตามกาลเวลาได้ด้วย

เท่ากับว่าอีกฝ่ายสำเร็จวิชาชั้นสูงในช่วงวัยรุ่น...? -- แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดาของเสวี่ยหงเยว่ฝ่ายเดียวเท่านั้น

“ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่งั้นหรือ?”

แต่แล้วเสียงของหลานซิ่นหลิงก็ปลุกเสวี่ยหงเยว่ออกจากกากภวังค์ความคิด ยิ่งเมื่อเห็นว่าดวงตาเรียวคมสีดำขลับกำลังหรี่มองอย่างรอคอยคำตอบ เสวี่ยหงเยว่ก็รีบหยุดการนินทาคนแก่หน้าเด็กในใจนั้นทั้งหมดและส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรัวและเร็วมาก

หลานซิ่นหลิงถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ยื่นของที่ตนเพิ่งซื้อมาจากร้านข้างทางเมื่อครู่ให้กับเสวี่ยหงเยว่ บอกว่าให้เก็บไว้ใช้

พวกเขาเริ่มเดินอีกครั้ง พร้อมความเงียบโรยตัว เสวี่ยหงเยว่ยิ่งรู้สึกอึดอัด ทนไม่ค่อยไหวแล้ว เลยยอมเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาก่อน

"ท่านอาจารย์เรียกศิษย์มา ด้วยเหตุอันใดขอรับ หรือท่านต้องการจะถามศิษย์เรื่องนี้..." เอ่ยกล่าวพร้อมกับจับปลายเส้นผมสีดำของตนไปด้วย หากแต่หลานซิ่นหลิงกลับส่ายหน้า

“ที่ข้าเรียกท่านมา ข้าไม่ได้ต้องการจะไต่สวนอันใดในการกระทำของท่านหรอกขอรับ” หลานซิ่นหลิงเอ่ย พยักหน้าอย่างหนักแน่น คล้ายกับจะสื่อว่าการที่เรียกให้มาด้วยกันนี้ เขาตั้งใจมาพูดสิ่งนี้ให้เสวี่ยหงเยว่ฟัง

“ข้าเชื่อว่าท่านเองมีเหตุผลที่ทำเช่นนี้ขอรับ...”

พูดจบก็เงยหน้ามองเสวี่ยหงเยว่ ไล่มองตั้งแต่เส้นสีผมสีดำไปตลอดจนถึงการแต่งกายอย่างชาวบ้าน สีหน้านิ่งสงบคล้ายกับพิจารณาถึงอะไรอย่าง ไม่นานนักหลานซิ่งหลิงพยักหน้าอีกครั้ง

แล้วมุมปากยกขึ้น คล้ายกับจะยิ้มออกมา!

“เพราะสิ่งที่ตัวข้าในตอนนี้กำลังกระทำอยู่นั้นเอง ก็คงไม่ต่างจากท่านสักเท่าไรนัก”

และเขาก็บอกอย่างอย่างที่ทำให้คิ้วของเสวี่ยหงเยว่เลิกขึ้นสูง

 

เหอไป๋เทียนไม่ได้ออกไปเดินเล่นไกลสักเท่าไรนัก เขาเลือกที่จะพาเสี่ยวจูมายืดเส้นยืดสายที่สวนหย่อมเล็กๆ ใกล้โรงเตี๊ยมด้วยเหตุผลง่ายๆ ไม่กี่ข้อคือ

หนึ่งเขาไม่อยากทำสัตว์เลี้ยงพลัดหลงในฝูงคนแออัด

และสองหากกลับถึงห้องไม่ทันเวลานัดเขาจะผิดสัญญากับหงเกอ

ซึ่งข้อสองนั้นแหละที่สำคัญกับเขามา...

เด็กชายหักขนมข้าวเกรียบออกเป็นชิ้นเล็กๆ ป้อนให้ลูกหมูกินบ้าง เอามากินเองบ้าง ดวงตาสีทองสว่างจับจ้องเสี่ยวจูอย่างเอ็นดู แม้บางครั้งก็อยากจับมันฟัดและหยิกพุงลงโทษสักทีสองทีโทษฐานที่ชอบเอาแต่ใจ วิ่งไปนั่นไปนี่ก่อเรื่อง ไม่ไว้หน้าเขาที่เป็นเจ้าของเลยสักนิด

ลมหายใจเบาบางออกมาจากริมฝีปาก เด็กชายคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อย เรื่องของชายแปลกหน้าที่เสี่ยวจูวิ่งไปหายังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา แม้หงเกอจะไม่ตอบรับอะไร แต่ความรู้สึกของเขามันบอกว่าคนทั้งคู่ต้องรู้จักกัน ไม่สักทางใดก็ทางหนึ่ง หากแต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะคาดคั้นเอาคำตอบได้

ความคิดมีมากมายอยู่ในหัวและทำให้หน้าเจ้าตัวเล็กยับยู่ยี่

เมื่อการป้อนของกินขาดตอนไป เสี่ยวจูจึงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของ มันส่งเสียงอู๊ด ๆ เบา ๆ คล้ายจะเรียก หากแต่ไม่เป็นผล เหอไป๋เทียนจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันจะเรียกร้องความสนใจอย่างไรก็ไม่หือไม่อือไม่ป้อนต่อใดๆ ทั้งสิ้น

เสี่ยวจูเลยยอมแพ้ เจ้าตัวกลมทำจมูกฟุดฟิด หันซ้ายหันขวาแล้วก้าวเดินสวบสาบบนพื้นหญ้า ดมหาของที่ตกอยู่ตามพื้นเผื่อมีอะไรที่กินได้ มันเดินก้มหน้าเดินดมไปเรื่อย ๆ จนกระทั้งชนกับอะไรบางสิ่งที่สูงใหญ่ เสี่ยวจูกระเด็นล้มกลิ้ง หงายพุงกลม ๆ และสี่ขาชี้ขึ้นฟ้า ดิ้นดุ๊กดิ๊ก

“เป็นอะไรหรือเปล่า เจ้าตัวเล็ก” เสียงนุ่มแสนละมุนเอ่ยด้วยความเห็นห่วงจากเสา (?) ที่เสี่ยวจูเดินชน

เหอไป๋เทียนออกจากห้วงภวังค์ความคิดทันเมื่อเห็น เด็กชายรีบลุกขึ้นมาจากที่นั่งแล้วเดินไปอุ้มเสี่ยวจูที่กำลังนอนแอ้งแม้งขึ้นมาจากพื้น โค้งตัวลงกล่าวขอโทษอย่างรวดเร็ว

“ต้องขออภัยด้วยขอรับ สัตว์เลี้ยงของข้าไปรบกวนท่านหรือไม่ขอรับ?” เหอไป๋เทียนกล่าวอย่างรู้สึกผิด พลางคิดว่าช่วงนี้เสี่ยวจูจะก่อเรื่องเยอะเกินไปแล้ว หากแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากคนแปลกหน้าคนนั้นเสียก่อน

ช่างเป็นเสียงหัวเราะที่ใสราวกับเสียงกระพรวนแก้ว

เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา จึงทำให้เห็นว่าคนๆ นั้นสวมเครื่องแต่งกายปักลวดลายด้วยไหมหลากสีหลายชั้นไม่สมกับฤดูกาล อีกทั้งยังใช้ผ้าโผกศรีษะพันรอบจนเห็นเพียงแค่ใบหน้าส่วนบนเหนือจมูกเท่านั้น และมันก็ขับให้ดวงตาสีฟ้าใสของอีกฝ่ายโดดเด่นอย่างเหลือเกิน

จากการแต่งกายอีกทั้งยังฝีด้ายในการปักบนผืนผ้า ทำให้เหอไป๋เทียนก็นึกออกเดี๋ยวนั้น ว่านั่นคือชุดพื้นเมืองของเผ่าเล็กๆ เผ่าหนึ่งซึ่งตั้งรกรากบนยอดเขาเสวี่ยที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี

“มาเที่ยวงานหรือขอรับ?” เหอไป๋เทียนชวนคุย ช่วงเทศกาลเช่นนี้ จะมีคนจากทั่วทุกสารทิศมาเที่ยวก็ไม่แปลใจนัก เขาเอามือปรบๆ สีข้างของเสี่ยวจูเล็กน้อย กล่อมเจ้าหมูให้นอนหลับมันจะได้ไม่ออกไปวิ่งซนที่ไหนอีก

คน ๆ นั้นพยักหน้าเล็กน้อย แล้วยื่นมือไปเอานิ้วจิ้มพุงของเสี่ยวจูเบา เจ้าหมูน้อยส่งเสียงอู๊ดออกมาอย่างอู้อี้ ความเพลินจากการโดนกล่อมทำให้มันหลับไปอย่างง่ายดายนัก

“อ้วนกลมเชียว” น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูร่าเริงซ้ำยังชวนเหอไป๋เทียนคุยอย่างเป็นมิตร “ข้าเพิ่งเคยเห็นคนเลี้ยงหมูตัวเล็กแบบนี้นี่แหละ”

"ข้าพบมันที่ทางขึ้นเขาเสวี่ยน่ะขอรับ รู้ตัวอีกที ก็กลายเป็นสัตว์เลี้ยงไปแล้ว"

"เหรอท่านคงเลี้ยงดูมันเป็นอย่างดีสินะ? เขาเอ่ยถาม มองเสี่ยวจูที่หลับไปแล้วก็ได้แต่ยิ้มๆ

พอได้ยินคำชมแบบนั้นเหอไป๋เทียนก็หัวเราะออกมาเบาๆ รู้สึกเขินนิดหน่อย

“ไม่หรอกขอรับ อันที่จริงแล้ว ยังมีคนช่วยเลี้ยงอีกคน” เหอไป๋เทียนเกาแก้มแก้เขิน เวลาที่เขาฝึกซ้อม คนที่คอยช่วยดูแลเสี่ยวจูก็คือจงฉิงเจีย นางดูแลสัตว์ได้ดีมาก ซ้ำยังตามใจมากเสียจนเสี่ยวจูอ้วนกลมเกินกว่าจะเป็นเพียงแค่ลูกหมู

"งั้นหรือ การเดินทางของเจ้าในครั้งนี้ คงทำให้เจ้าได้พบเจอความสุขสินะ?" แม้มองจะไม่เห็นริมฝีปากแต่เหอไป๋เทียนก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่ สีหน้าอารมณ์ความรู้สึกถูถ่ายทอดผ่านดวงตาคู่สวยนั้นจนหมด

"ขอรับ...ข้า มีความสุขมากเลย" เหอไป๋เทียนพยักหน้ารับ ซึ่งเขาก็เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเช่นกัน ซ้ำยังพูดว่าดีแล้วล่ะ

"นี่ก็เย็นย่ำมากแล้ว ข้าขอตัวก่อน ขอบคุณที่มาเป็นเพื่อนสนทนา" ชายคนนั้นกล่าวขอตัว พร้อมกับโค้งลาให้หนึ่งครั้ง เหอไป๋เทียนจึงลอบมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปอย่างใคร่สงสัย

คุ้นเคย...ราวกับเคยพบเห็น

ทว่าเด็กชายก็นึกไม่ออกว่าตนเคยเห็นมาจากที่ใด

แต่แล้วเหอไป๋เทียนก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เมื่อย้อนทบทวนไปถึงสิ่งที่คนๆ นั้นพูดคุยกับตน มันมีอะไรบางอย่างที่ดูแปลกจนตะขิดตะขวงใจ...

ข้าได้บอกเขาไปอย่างนั้นหรือ...ว่าตอนนี้ข้าอยู่ในช่วงเดินทาง...?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด