Chapter 15 : เดินทางด้วยรถไฟ
Chapter 15 : เดินทางด้วยรถไฟ
งานที่มินจุนรับไว้อยู่ที่เมืองทางตอนเหนือของประเทศ
ผมและไอรีนก็กะว่าจะตามติดหมอนั่นไปด้วยอย่างที่บอก เพราะไม่รู้ว่าผู้ถือครองกุญแจอีกสามคนที่ตามล่าตัวมินจุนอยู่จะเข้ามาโจมตีตอนไหน อีกอย่างถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันได้ทัน หมอนั่นดันประกาศตัวแล้วว่าตัวเองตอนนี้อยู่ที่ไหน ยิ่งเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถเข้าถึงตัวบุคคลได้ง่าย ประกอบกับมินจุนเป็นบุคคลคนสาธารณะ เจ้าตัวก็ไม่ต่างอะไรจากเป้านิ่ง ที่รอให้พวกที่รู้ว่าเขาเป็นผู้ถือครองกุญแจจักรราศีมาโจมตี
อาชีพนักร้องของหมอนั่นทำให้เจ้าตัวกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน ถึงแม้ว่าจะเป็นนักร้องจากต่างประเทศ แต่ก็มีหลายคนในประเทศนี้ที่ยังจำเขาได้ ผมเคยถามมินจุนว่าไม่มีผู้จัดการส่วนตัวหรือคนที่ดูแลเรื่องงานให้หรอ เพราะปกติคนที่ทำงานในสายงานแบบนี้ ส่วนมากมักจะมีผู้ช่วยตามติดตลอด เขาบอกว่าเคยมี แต่ถูกฆ่าตายไปแล้วหลังจากที่เขาอัญเชิญภูติดวงดาวจักรราศีมาได้เมื่อปีก่อน มินจุนเลยไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาเกี่ยวโยงกับเรื่องนี้อีก เลยเลือกรับงานและจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองตลอด
ก่อนถึงวันที่พวกเราออกเดินทาง ผมก็รีบเคลียร์งานของตัวเองให้เสร็จทันวันที่หมอนั่นบอกอย่างรวดเร็ว ถือโอกาสไปเที่ยวไปในตัว เพราะงานที่หมอนั่นไปเป็นเทศกาลดนตรีประจำปีที่ถูกจัดขึ้นในช่วงฤดูหนาวของประเทศ ผมเองก็ไม่ได้ไปนานแล้วนับตั้งแต่เรียนจบ เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ก็แยกย้ายกันไปไม่ค่อยมีเวลาว่างตรงกัน
แต่การเดินทางครั้งนี้ มันน่าเบื่อตรงที่เราไม่ได้เดินทางไปทางอากาศ แต่เดินทางด้วยรถไฟด้วยเทคโนโลยีแบบเก่าแทน ผมอยากจะบ้าตายกับหมอนั่นที่ไม่รู้จักจองที่นั่งไว้ก่อน ระยะทางเกือบ 1,500 กิโลเมตร หากเดินทางไปทางอากาศใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง เดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินใช้เวลา 1 ชั่วโมง แต่ตอนนี้ทุกการจองเต็มหมด จะเดินทางด้วยรถของตัวเองก็ไปไม่ได้ เพราะกฎหมายไม่อนุญาตให้ใช้พาหนะตัวเองเดินทางเกินระยะทาง 800 กิโลเมตร เนื่องจากถ้าแต่ละคนใช้พาหนะคนละคันจะส่งผลต่อการจราจรเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นรถยนต์ AI ก็เถอะ กฎหมายเลยบังคับใช้ให้เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะแทน
“โอ๊ย ! ทำไมนายไม่จองล่วงหน้าวะไอ้มิน ก็รู้อยู่ว่าช่วงนี้มันไฮซีซัน” ผมร้องบอกมินจุนไปอย่างเซ็ง ๆ ลากกระเป๋าเดินทางของตัวเองออกมายังชั้นดาดฟ้าของบ้าน พวกเราไปครั้งนี้ ไปกันทั้งหมด 4 วัน โดยเดินทางล่วงหน้าไปก่อน 1 วัน ช่วงไฮซีซันที่นั่งในวันที่เราต้องการจะไปเต็มทุกการเดินทาง ทั้งทางบกและอากาศ มันเลยเหลือทางเลือกสุดท้ายที่สามารถไปได้คือการเดินทางด้วยรถไฟด้วยเทคโนโลยีแบบเก่า
“ก็ฉันไม่ใช่คนประเทศนายนี่หว่า จะไปรู้ได้ไง ว่ามันจะเต็มเร็วขนาดนี้” มินจุนพูดขึ้นมา ส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้ผมกับไอรีน พวกเราไม่น่าปล่อยให้หมอนั่นจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่แรกเลย
“พวกนายสองคนนี่มันไม่ได้เรื่องเลย แบบนี้ได้นั่งจนเมื่อยแน่” ไอรีนพูดขึ้นมาก่อนถอนหายใจออกมาอย่างสุดเซ็ง
การเดินทางด้วยเทคโนโลยีแบบเก่าคือ ใช้พลังงานไฟฟ้า ไม่ใช่แบบแม่เหล็กเหมือนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายเหมือนหลายร้อยปีก่อน ปัจจุบันไม่ค่อยมีคนเลือกใช้บริการนี้แล้ว เพราะใช้เวลาในการเดินทางมากกว่าเท่าตัว แต่ก็ยังเปิดบริการให้ใช้สำหรับคนที่ต้องการเดินทางแบบสบาย ๆ เพลิดเพลินกับเส้นทาง ซึ่งเวลาโดยประมาณจนถึงเมืองทางเหนือที่เราจะไปถึงก็ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง
ให้ตายเถอะ ...
พวกเราขนกระเป๋าขึ้นรถยนต์ AI ของพ่อที่จอดอยู่ที่ชั้นบนของดาดฟ้า ก่อนแต่ละคนจะเข้าไปนั่งประจำที่ รถยนต์ AI สามารถเดินทางได้ทั้งทางอากาศและทางบก โดยจะคำนวณเส้นทางที่เร็วที่สุดและการจราจรบริเวณรอบ ๆ พร้อมกับขับเคลื่อนตัวเองโดยอัตโนมัติ
“ไปสถานีรถไฟฟ้าแบบเก่าที่เมือง ...” ผมพูดคำสั่งเสียงบอกกับรถยนต์ AI ไปยังสถานีรถไฟฟ้าแบบเก่าที่อยู่ใกล้บ้านของผมมากที่สุด ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีพวกเราก็มาถึงสถานีนั้น ก่อนจะขนของออกจากรถยนต์เพื่อไปสแกนตั๋วรถไฟที่ทางขึ้น ผมใช้คำสั่งเสียงอีกครั้งให้รถยนต์ AI กลับไปที่บ้านของตัวเองก่อนเดินไปรวมกลุ่มกับมินจุนและไอรีน
เกือบสิบปีแล้วมั้งที่ผมไม่ได้ขึ้นรถไฟแบบนี้ ถ้ามองในแง่ดีก็ถือว่ามาระลึกความหลังตอนไปเที่ยวกับแม่ละกัน พวกเราเดินไปนั่งที่บริเวณที่นั่งด้านหนึ่งของรถไฟซึ่งหันหน้าเข้าหากันติดกับกระจกหน้าต่าง ลีโอดูตื่นตาตื่นใจกับการเดินทางแบบนี้มาก เพราะเจ้าตัวก็เพิ่งถูกอัญเชิญมาหลังจากสงครามจักรราศีเมื่อ 500 ปีที่แล้ว เป็นครั้งแรกที่เหล่าพวกภูติดวงดาวจักรราศีจะได้เดินทางด้วย
ภูติดวงดาวจักรราศีจะหายไปหลังจากกุญแจดอกที่ 13 ปรากฏ แล้วจะถูกอัญเชิญมาอีกครั้งเมื่อครบ 500 ปี แตกต่างจากภูติดวงดาวระดับต่ำและระดับกลาง ที่สามารถถูกผู้ใช้เวทคนใหม่อัญเชิญมาได้เรื่อย ๆ หลังจากเจ้านายคนเก่าเสียชีวิต นั่นหมายความว่า หากมีคนฆ่าเจ้าของภูติดวงดาวจักรราศี ภูติดวงดาวจักรราศีจะมีเจ้านายใหม่เป็นผู้ฆ่าทันทีอย่างเช่นมินจุนที่ได้ซาจิททาเรียสมาเป็นภูติดวงดาวคนที่สอง แต่หากเป็นภูติระดับต่ำและระดับกลาง ถ้าเจ้านายตนเองเสียชีวิต ภูติดวงดาวจะสูญสลายไปพร้อมกับเจ้านายและรอเจ้านายคนใหม่อัญเชิญมา
รถไฟเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ พวกเราก็มองสองฝั่งข้างทางริมกระจกไป ผมนั่งติดกระจกข้าง ๆ มินจุน หมอนั่นนั่งอยู่ในสภาพแว่นกันแดดสีดำ ผ้าปิดปาก เห็นแล้วเว่อร์จริง ๆ
ส่วนคนที่นั่งตรงข้ามผมเป็นไอรีน ที่ใส่หูฟังนั่งฟังเพลงไปเรื่อย ข้าง ๆ เธอมีอความเรียสนั่งอยู่ ที่นั่งตรงข้ามกระจกรถไฟเป็นของภูติแห่งดวงดาวที่เหลือ ซึ่งออกมาคุยเล่นกันด้านนอกกุญแจ ลีโอกำลังนั่งคุยกับซาจิททาเรียสเรื่องอะไรสักอย่าง สองฝาแฝดไพส์ซีสเดินไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้นที่ได้เดินทางแบบนี้ครั้งแรก โชคดีที่ตู้รถไฟที่พวกเรานั่งไม่ค่อยมีคนเท่าไร ยังพอมีที่นั่งเหลืออยู่หลายที่เลย ถือโอกาสให้พวกภูติแห่งดวงดาวแอบออกมานั่งเล่นด้านนอกกุญแจ
สายลมเย็น ๆ พัดผ่านกระจกรถไฟเข้ามา ยังดีที่ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว อากาศจึงเริ่มเย็น ไม่ร้อนเหมือนเช่นปกติ ไม่งั้นคงได้นั่งร้อน ๆ กันอยู่สี่ห้าชั่วโมง เนื่องจากตู้รถไฟที่พวกผมนั่งมามีปัญหาเรื่องเครื่องปรับอากาศเสีย ซวยซ้ำซวยซ้อนจริง ๆ ตอนนี้ ตั้งแต่เรื่องจองที่นั่งในการเดินทางทุกประเภทที่เต็มเกือบทั้งหมดจนได้มานั่งรถไฟแบบเก่าเนี่ย
ผมมองหน้าไอรีนแบบเพลิน ๆ ไปสักพักเพราะเจ้าตัวนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับผม ระหว่างที่เธอกำลังเหม่อออกไปด้านนอกของกระจก ซึ่งเป็นภาพวิวและต้นไม้ที่รถไฟกำลังเคลื่อนที่ผ่าน พวกเราออกห่างออกมาจากตัวเมืองได้สักพักแล้ว
คนอะไรยิ่งอยู่ใกล้นาน ๆ ยิ่งละสายตาให้มองไปไหนไม่ได้ ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกได้ว่าผมกำลังจ้องมองใบหน้าของเธออยู่ ไอรีนจึงหันใบหน้าจากกระจกรถไฟมามองหน้าผมแทน
“มองอะไรของนาย หน้าฉันมีอะไรติดหรือไง” ไอรีนพูดขึ้นมา
จะมีสักครั้งไหมเนี่ย ... ที่จะพูดกับผมดี ๆ แบบไม่เหวี่ยงใส่
“อ้าว มองก็ไม่ได้ ก็เธอนั่งอยู่ตรงหน้าฉันนี่” ผมถามออกไปอย่างงง ๆ พร้อมขำกับท่าทีของไอรีน ที่เจ้าตัวทำเหมือนผมทำความผิดอะไรใหญ่โตขึ้นมา
“ไม่ได้ ! หันไปมองหน้ามินจุนนู่น”
“หา เกี่ยวไรกับฉันเนี่ยไอรีน” มินจุนเงยหน้าขึ้นมาพูด ก่อนหัวเราะเบา ๆ มองผมสลับกับไอรีน เจ้าตัวกำลังนั่งอ่านอะไรสักอย่างอยู่บนภาพโฮโรแกรมสามมิติของตัวเอง ซึ่งผมแอบเห็นว่ามันเป็นเนื้อเพลง สงสัยจะเตรียมไปร้องในงานเทศกาลดนตรีที่ถูกจ้างเอาไว้
“คอเคล็ดพอดี ให้หันไปมองหน้าไอ้มิน มองหน้าเธอแหละดีแล้ว” ผมพูด พร้อมส่งยิ้มกว้าง ๆ ให้กับไอรีน
“ก็มองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟซิ” ไอรีนพูดต่อ
“ไม่เอา ฉันเมารถไฟ มองข้างทางไม่ได้ ต้องมองตรง ๆ อย่างเดียว” ผมพูดเถียงไอรีนไป พร้อมกับขำที่เจ้าตัวทำท่าฮึดฮัดใส่ผม เดินทางหลายชั่วโมงแบบนี้ก็มีข้อดีเหมือนกัน ได้นั่งมองหน้า แหย่เจ้าตัวแบบนี้ไปตลอดทาง รู้สึกมีความสุขจังแฮะ
เมารถไฟ ... ผมก็คิดไปได้เนอะ
“งั้นก็หลับไปเลย เห็นหน้านายแล้วมันหงุดหงิด อารมณ์เสีย เลิกยิ้มได้แล้ว จะยิ้มอะไรนักหนา” ไอรีนพูดต่อ ผมเหมือนคนบ้า ยิ่งเจ้าตัวพูดผมก็ยิ่งอยากหาเรื่องมาเถียง
“ก็คนมันอารมณ์ดีก็ต้องยิ้มซิ อีกอย่างจะหลับได้ไง ในเมื่อมีคนน่ารักให้มองตรงหน้าแบบนี้”
พูดจบเท่านั้นแหละ ไอรีนเหมือนทำอะไรไม่ถูกทันที มือไม้ไม่รู้ว่าจะเอาไปวางไว้ตรงไหน มันน่ารักดีนะเวลาคนที่ไม่ชอบแสดงสีหน้าแล้วทำท่าทางเขินออกมา เจ้าตัวไม่เถียงอะไรผมต่อ หันหน้าไปมองกระจกรถไฟข้างทางแทน ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ จนคนที่มองอย่างผมอยากพูดอะไรแกล้งเพิ่ม แต่มีเสียงของมินจุนที่ดังขัดขึ้นมาก่อน
“โอ๊ย ! ขอย้ายที่นั่งได้เปล่าวะ แถวนี้นั่งแล้วเมารถไฟ อยากจะอ้วกยังไงไม่รู้” มินจุนร้องขึ้นมาทำให้ผมหันไปมองหน้าหมอนั่นแล้วยักคิ้วให้หนึ่งที
“เชิญเลยครับคุณมินจุน ไม่มีใครห้ามเลยครับผม” ผมพูดออกไป
แต่ถึงมินจุนจะย้ายไปนั่งที่อื่น ก็ใช่ว่าผมจะได้นั่งอยู่กับไอรีนสองคนอยู่ดี เพราะเมื่อเหลือบไปมองด้านข้างของเจ้าตัว ก็เจออควาเรียสที่จ้องผมเขม็งราวกับแม่หวงลูกสาว ผมเลยได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ส่งให้ไป เอาเข้าจริงตอนนี้ผมกับมินจุนพูดคุยกับอความเรียสแบบนับประโยคได้ อควาเรียสเป็นภูติแห่งดวงดาวที่ไว้ใจใครยากจริง ๆ ดูเป็นคนเข้าถึงได้ยากเหมือนผู้ถือครองกุญแจของเธอ แต่เหมือนจะหนักกว่าจนพวกผมเกรงใจไม่กล้าเล่นด้วย ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าลีโอจะเคยคบกับอความเรียสเป็นแฟน ผมนี่มองไม่เห็นทางเลยว่าสองคนนี้จะคบกันได้
“วิน ฉันหิว พ่อนายทำอะไรมาให้กินบ้าง” เสียงของลีโอเรียกผมขึ้นมา พร้อมกับร่างของเจ้าตัวที่เดินมาหาผม ภูติแห่งดวงดาวก็ต้องทานอาหารเหมือนกันหลังจากถูกอัญเชิญมา ซึ่งลีโอโคตรกินจุ หลังจากอยู่ด้วยกันมาเกือบเดือน หมอนี่ชอบอาหารที่พ่อกับฟินิกซ์ทำมาก จนทุกวันนี้พ่อกับฟินิกซ์เวลาทำอาหารต้องทำเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเดิม
ผมลุกขึ้นจากที่นั่ง เปิดชั้นเก็บของด้านบนศีรษะ ก่อนหยิบกล่องใส่อาหารที่มีวางซ้อนกันอยู่หลายชั้นออกมา ผมเองก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน เพราะนี่เวลาก็เกือบจะเที่ยงแล้วด้วย พวกเราเดินทางได้เกินครึ่งทางแล้ว ตอนแรกคิดว่าจะนาน ได้มานั่งชิว ๆ อะไรแบบนี้ เวลาก็ผ่านไปเร็วเหมือนกัน ให้ความรู้สึกเหมือนมาปิกนิกเลย
“เอาไป ชิ้นเดียวพอ พ่อทำมาให้คนละชิ้น” ผมพูดออกไป พร้อมหยิบแซนด์วิชโรลชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งส่งให้ลีโอ ซึ่งมันถูกม้วนด้วยขนมปังโฮลวีทสูตรพิเศษของพ่อ ไส้ข้างในมีอกไก่ชุบแป้งทอด ไข่ดาว และผักสลัดราดด้วยซอสแซนด์วิชอีกที ว่าแล้วแต่ละคนเมื่อเห็นลีโอหยิบออกไป ก็เดินเข้ามาเอาไปคนละชิ้นเป็นอาหารกลางวัน
“นายนี่โคตรโชคดีที่มีพ่อแบบนี้วิน ลุงการันต์ทำอาหารอร่อยทุกอย่างเลย” มินจุนพูดออกมาทั้ง ๆ ที่กัดแซนด์วิชอยู่เต็มปาก ผมหัวเราะขำ ก็จริง ผมโคตรโชคดีที่พ่อทำอะไรหลายอย่างให้แบบนี้ พลางนึกถึงเรื่องสมัยเด็กที่ลอยเข้ามาในหัว
“จริง ๆ แซนด์วิชแบบนี้ แม่ฉันเป็นคนสอนพ่อทำน่ะ” ผมบอกออกไป นึกถึงการเดินทางแบบนี้สมัยตอนที่แม่ยังอยู่ แล้วแม่ก็เป็นคนทำแซนด์วิชแบบนี้ให้พวกเรามานั่งกินด้วยกันเป็นอาหารกลางวัน
น่าเสียดาย ที่ท่านจากผมไปไวเหลือเกิน ...
“เอ่อ ... ฉันถามได้ไหม แม่นายเป็นอะไรเสีย ท่านป่วยหรอ ฉันอยากถามนายมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีโอกาสสักที” มินจุนถามผมต่อ
ผมฟังคำถามของมินจุนแล้วนิ่งไปสักพัก มันไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากพูดถึงมากนักหรอกเรื่องการตายของแม่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไร มันผ่านมาหลายปีแล้ว และผมเองก็ต้องอยู่กับเหตุการณ์ที่ผมเห็นในวันนั้นต่อไป ทั้งมินจุนและไอรีนอาจจะคิดว่าคนที่มองโลกในแง่ดีแบบผมไม่เคยเจอเรื่องเลวร้ายอะไรในชีวิต แต่เปล่าเลย ผมเคยเจอมันมาแล้ว มันเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิต แต่พ่อก็ทำให้ผมผ่านมันมาได้ ผมพูดออกมาช้า ๆ ตอบคำถามของมินจุน
“เปล่า ... ท่านถูกฆ่าในงานวันเกิดฉันเมื่อหกปีที่แล้ว”
ความเงียบเริ่มแทรกเข้ามาเมื่อทั้งมินจุนและไอรีนได้ยินคำตอบของผม ไอรีนที่ฟังอยู่ด้วยก็ทำสีหน้าเป็นเชิงเสียใจเหมือนกัน
“เอ่อ ฉันขอโทษ ไม่น่าถามเลย” มินจุนพูด
ผมส่งยิ้มให้มินจุน
“ไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้ว ฉันอยู่กับมันได้”
รถไฟเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงบริเวณหน้าผากว้างที่มีสะพานเชื่อมให้รถไฟวิ่งผ่าน บริเวณนั้นดูน่ากลัวทีเดียวสำหรับคนที่กลัวความสูงและมองผ่านกระจกลงไปยังพื้นด้านล่างที่เป็นสีดำสนิทขณะรถไฟวิ่งผ่าน ตัวของรถไฟชะลอตัวช้าขึ้นเรื่อย ๆ จนผมสังเกตว่ารถไฟมาเกือบถึงช่วงกลางของสะพานเชื่อมระหว่างหน้าผากว้างทั้งสองฝั่ง คนในตู้รถไฟเริ่มส่งเสียงคุยกันดังขึ้นเมื่อพบว่าสถานการณ์มันเริ่มแปลก ๆ ผมเองก็เหมือนกัน มินจุนหันมามองหน้าผม ขณะที่ไอรีนก็เหมือนจะรู้ตัวว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ปกติแน่ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีข่าวรถไฟเสีย
จนในที่สุด ขบวนรถไฟก็หยุดอยู่กลางสะพานที่ด้านล่างมีเหวลึกปรากฏอยู่ ผู้คนภายในรถไฟเริ่มแตกตื่นทันทีเมื่ออยู่ดี ๆ รถไฟมาหยุดอยู่แบบนั้น
“ฉันว่ากลิ่นไม่ดีแล้วว่ะ” ผมพูดออกไป ลีโอที่นั่งอยู่ที่หน้าต่างฝั่งตรงข้ามพร้อมกับภูติดวงดาวคนอื่นเดินมาหาพวกผมทันทีเช่นกัน อย่าบอกนะว่ามีคนดักโจมตีมินจุน
“เดี๋ยวฉันเดินออกไปดูที่ตู้รถไฟตู้อื่น” มินจุนพูดออกมา
ยังไม่ทันที่มินจุนจะได้เดินออกไปไหน
เสียงกรีดร้องก็ดังออกมาจากที่ตู้รถไฟตู้หนึ่งที่อยู่ถัดจากตู้รถไฟของพวกเรา ...