บทที่16: งักหลิว
บทที่16: งักหลิว
บนโต๊ะอาหารครอบครัวรอบวงกินข้าว มีคนนอกเพียงหนึ่งที่เป็นทั้งแขก คนมาพึ่งพิงและผู้มีพระคุณ แม้งักหลิวจะรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับคนที่ชื่อไป่ยู่ แต่ก็ไม่คิดที่จะทำอะไรไร้มารยาทเกินงามจนดูไม่เหมาะไม่ควร เขาคิดในใจบางทีที่รู้สึกเช่นนั้น คงเพราะปมด้อยฝังใจ
งักหลิวเกิดมาพร้อมโรคประหลาด เดี๋ยวก็ล้มป่วย เดี๋ยวก็กระอักเลือด หมอหลายคนที่มารักษาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าแท้จริงเป็นโรคอะไร แต่กลับกล่าวชุ่ยๆ ว่าร่างกายเช่นเขาจะมีอายุไม่เกินสิบห้าปีบริบูรณ์ เวลานี้เขามีอายุร่วมสามสิบเศษ แม้ไม่แข็งแรงแต่ก็ยังมีลมหายใจ
คำแช่งที่พวกหมอพูดกันทำให้ท่านพ่อท่านแม่ ต่างพยายามหาทางรักษาเขาให้หายจากโรคประหลาดทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะใช้ยาต้ม ฝังเข็ม หรือกระทั่งไสยศาสตร์ และอย่างหลังนี่แหละที่ทำให้งักหลิวรู้สึกทุกข์ทรมาน เพราะต้องเจอกับพวกนักพรตลวงโลก ต้มตุ๋นเอาเงิน จับเขาแช่อยู่ในน้ำยาดองซากสัตว์พิษต่างๆ นาๆ บางครั้งก็ให้เขากินอะไรแปลกที่คนทั่วไปไม่กินกันทั้งงู ทั้งแมงป่องหรือกระทั่งพวกตะขาบ บอกว่าพิษสามารถล้างพิษในกายเขาได้ สุดท้ายก็มีแต่ทำให้แย่ลง
เช่นนั้นงักหลิวจึงมีอคติและเกลียดชังพวกที่อ้างตนว่ามีเวทมนต์หรืออาคม ดังเช่นที่ไป่ยู่เป็น ทว่าก็ต้องยอมรับส่วนหนึ่งว่ากลพิสดารที่ไป่ยู่ใช้ตอนที่ช่วยให้เขาหลบพ้นสายตาของงักเจียง เป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ แต่ยังไงก็คงหนีไม่พ้นกลโกงใดสักวิธีหนึ่ง ซึ่งเขาไม่คิดจะนำมันมาใส่ใจ
งักหลิวไม่อยากเอาเรื่องของคนนอกมารบกวนจิตใจ ทำให้ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในหนึ่งวันของเขาต้องกลายเป็นทุกข์ การได้รับประทานอาหารพร้อมกับคนในครอบครัว สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ อาจจะในอีกหนึ่งก้านธูปหรือจะเป็นในอีกสิบปีข้างหน้า ช่วงเวลานี้นับเป็นความสุขที่สุดของเขา
งักหลิวมองทุกคนบนโต๊ะมีรอยยิ้มประดับอยู่เล็กน้อยที่มุมปาก
งักโยวเป็นชายวัยยี่สิบกลางๆ แต่ท่าทางราวกับเด็กน้อย ผมยาวรุงรังแม้ถูกรวบไว้แต่เจ้าตัวก็ยังมีดึงมีจับจนบางส่วนหลุดออกมาจากที่เกล้าไว้ มองตามเค้าหน้า เขาเป็นคนที่หน้าตาดีที่สุดในบรรดาผู้ชายสามพี่น้อง คิ้วเข้ม ตากลม สุกใส เรียวปากได้รูปโครงหน้าเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน
น่าเสียดายที่สติปัญญากลับกลายเป็นเช่นนี้เพราะเห็นปีศาจฆ่าบิดามารดาต่อหน้าต่อตา ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นั้น นอกจากคนสองคนคืองักโยวและงักฮัว แต่คนหนึ่งก็กลายเป็นบ้า ส่วนอีกคนก็ยังเด็กไม่รู้ความ
หากกล่าวตามความรู้สึกของคนที่เป็นพี่ใหญ่เช่นงักหลิว น้องชายคนเล็กอย่างงักโยวนับเป็นคนที่มีชะตากรรมบัดซบเสียยิ่งกว่าตนเอง
เพราะแม้ตัวเขาจะป่วยและสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เด็ก ทว่าทุกวันนี้ก็ยังรับรู้เรื่องราวต่างๆ ไม่เหมือนกับน้องเล็ก ที่ไม่มีปัญญารับรู้เรื่องราวใดๆ
เสี่ยวจือป้อนอาหารให้เขากินและปรามไม่ให้ขยับลุกออกจากเก้าอี้หรือเคาะตะเกียบลงกับชาม ขณะเดียวกันก็ต้องคอยคีบอาหารให้ท่านย่าฝูเป็นระยะ นับว่าตัวนางเองได้กินเพียงน้อยนิด
ถึงใครหลายคนในบ้านนี่จะไม่ชอบเสี่ยวจือ แต่สำหรับความเห็นของงักหลิวแล้ว นางคือคนที่ตระกูลนี้ขาดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นใครจะเป็นคนดูแลท่านย่าและงักโยว น่าเสียดายที่หลายคนไม่ยอมรับในข้อนี้เพียงเพราะที่มาที่ไปของนางไม่ชัดเจน
ครั้งแรกที่พบเสี่ยวจือ งักหลิวอายุยังไม่ถึงสิบปี ท่านย่าฝูนำเด็กทารกพิการมือด้วนข้างหนึ่งมาที่บ้าน ซ้ำยังบอกว่าเป็นลูก แล้วให้หลานทุกคนเรียกนางว่าท่านน้า ทั้งที่ท่านย่าไม่ได้ท้องหรือคลอดนางออกมา บิดาของเขาเองก็ไม่ยอมรับ
“มีอย่างที่ไหนกัน อายุปาเข้าไปหกสิบกว่าแล้ว อยู่ๆ มาบอกว่ามีลูก ชาวบ้านรู้เข้าได้หัวเราะเยาะตระกูลเรากันพอดี” นั่นเป็นความเห็นของบิดาเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่งักหลิวจำได้
แม้บิดาของเขาจะอ้อนวอนให้ท่านย่ายกเสี่ยวจือให้มาเป็นลูกบุตรธรรมตัวเองหรือจะเค้นถามที่มาของนาง ท่านย่าฝูก็ไม่เคยจะยินยอมหรืออธิบาย ด้วยเหตุนี่ละมั้งที่ทำให้ไม่กี่ปีถัดมาท่านแม่ท้องลูกอีกคน
งักฮัวนั่งกินอย่างสุภาพท่าทางของนางดูเคร่งขรึมผิดกับตอนที่อยู่กับไป่ยู่เพียงลำพัง เวลานั้นนางดูร่าเริงมากกว่านี้ นางคีบกับเข้าปากหนึ่งคำแล้วกินข้าวสวยในชามสามคำเป็นเช่นนี้ราวกับกฎเกณฑ์ มีบ้างบางทีที่หันมายิ้มให้ไป่ยู่เมื่อสองคนบังเอิญหันมามองกัน แต่ก็เพียงแวบเดียวแล้วกลับไปจดจ่อวิธีกินของตน
น้องคนนี้เป็นสตรีท่ามกลางพี่ชาย นางไม่ได้สนิทกับใครเพราะอายุที่ห่างกันมากเกินไป มีเพียงท่านพ่อเท่านั้นที่นางสนิทด้วย ตัวติดกันจนบางครั้งงักเจียงกับงักโยวที่เวลานั้นสติปัญญาปกติยังบ่นงำด้วยความน้อยใจ มีเพียงเขาที่เห็นสมควรให้เป็นเช่นนั้น ถ้าเป็นไปได้ เขาเองก็อยากสนิทกับนางเพราะไม่อยากให้ครอบครัวไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ก็ทำได้เพียงคิด เพราะบุคลิกเงียบขรึมของเขาทำให้นางอึดอัดใจเวลาที่อยู่ใกล้
ยิ่งเมื่อท่านพ่อเสียชีวิตไปพร้อมกับท่านแม่ด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝัน งักฮัวก็คล้ายเป็นคนโดดเดี่ยว แม้เขาจะพยายามพูดคุยเพื่อให้นางคลายเศร้าหมองก็ไม่ช่วยอะไร หนทางที่ทำให้นางมีความสุข คงเป็นการเข้าป่าแห่งนั้นเพื่อรำลึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับท่านพ่อ
ปีนี้งักฮัวอายุครบสิบห้าปี เขาไม่แน่ใจว่านางเข้าไปทำอะไรบ้างในป่า แต่มีผู้คนที่พบเห็นร่ำลือกันว่านาง... เปลือยกายและเดินเข้าไปในถ้ำลึก เขากับท่านย่าเคยลองคาดคั้นเป็นการลับ นางก็ปฏิเสธและบอกว่าไม่เคยเข้าไปไกลเกินขนาดนั้น ไม่มีข้อพิสูจน์ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ
ทว่าเรื่องพฤติกรรมเช่นนั้นก็ทำให้ตกเป็นที่ครหาจากชาวบ้าน ที่แย่ไปกว่านั้นคือการที่งักเจียงไปนำข่าวลือแย่ๆ จากในบ่อนที่ตัวเองไปเกลือกกลั้วมาพูดในบ้าน จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตในบ้านมาแล้วครั้งหนึ่ง
หากจะมีใครที่ไม่ได้ดั่งใจเขามากที่สุดก็คงเป็นงักเจียง น้องชายคนรองนี้เพราะนอกจากจะเชื่อคำคนง่าย ติดการพนัน โอ้อวดเกินปัญญา สิ่งสำคัญคือชอบทำอะไรไม่คำนึงถึงความรู้สึกคนในตระกูล ในสายตาเขา น้องคนนี้ดูแย่กว่าคนไร้ปัญญาอย่างงักโยวเสียอีก เพราะมีสติแต่ไม่คิดจะใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่กลับทำตัวสร้างแต่ปัญหาให้บ้านร้อนเป็นไฟ
งักหลิวรู้ดีว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดเป็นผู้นำตระกูล แต่หากให้งักเจียงที่ยังมีนิสัยเช่นนี้เป็น สู้มิให้เขาเป็นไม่ดีกว่าเหรอ อย่างน้อยเขาก็แน่ใจว่าจะไม่ยอมให้ตระกูลต้องล่มสลายในรุ่นตน
คิดถึงตรงนี้ก็ชวนให้พาลเศร้าสลด คนที่เขาห่วงมากสุดคงไม่พ้นท่านย่าฝู ท่านอายุมากแล้ว สุขภาพก็ย่ำแย่ หากต้องมารับปัญหาเลวร้ายอะไรอีกคงจะ...
“ท่านแม่! ท่านแม่!”
ลึกๆ งักหลิวหวังในใจว่าอยากให้ท่านย่าฝูมีอายุยืนกว่าตน ถึงแม้นั่นจะทำให้คนหัวหงอกต้องมาส่งศพคนหัวดำอีกครั้ง แต่เขาก็...
“ข้าเปล่านะ! ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้ใส่ยาลงไป! ทะ ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้”
ความคิดเลื่อนลอยถึงจุดนี้ งักหลิวรู้สึกมึนในศีรษะ
เมื่อหันมองคนรอบข้าง เขาถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า งักฮัวกับงักโยวสลบไปแล้ว ท่านย่าฝูก็เช่นกัน เสี่ยวจือที่กำลังเขย่าตัวร้องเรียกก็เริ่มมีท่าทีมึนงงก่อนจะสลบไสลไปอีกคน
“งักเจียง! เจ้า!”
“ข้าไม่ได้ทำ! ข้าไม่ได้ทำจริงๆ”
ก่อนสติจะเลือนหายและดับวูบไป งักหลิวเห็นไป่ยู่ที่อยู่ถัดจากน้องชายคนรองนั่งนิ่ง ดวงตาบ่งชัดว่ายังมีสติครบถ้วน บนจานชามของอีกฝ่ายทั้งข้าวสวยและกับ ไม่ลดลงราวกับว่าเขาไม่ได้แตะต้องหรือกินเข้าไป
งักหลิวตัวชา คิดในใจว่าพลาดท่าครั้งใหญ่เพราะประมาทเกินไป
“ไป่ยู่ เจ้า... คน... สา... ร... เลว”
................................
ห้องมืดมิด โคมดับแสง สภาพเช่นนี้บอกให้รู้ว่าข้างนอกยังเป็นยามราตรี งักหลิวรู้สึกตัวขึ้นทีละน้อย แต่ใช้เวลาพอควรในการตั้งสติรับรู้ทุกสิ่ง
เมื่อสายตาปรับเข้ากับความมืด งักหลิวลุกขึ้นเดิน แม้ยังซวนเซ แต่ก็ยังพอทรงตัวได้ เขาเข้าไปหยิบชุดจุดไฟแล้วจ่อใส่เทียนในโคมเพื่อให้ความสว่าง ภาพที่ปรากฏทำให้ชายหนุ่มถึงกับร้องลั่นไม่เป็นภาษาราวกับคนเสียสติ
ร่างของงักเจียงนอนตายเปื้อนเลือด ศีรษะแหงนหงาย ดวงตาเหลือกขึ้นจนมีแต่สีขาวโพลน มีเลือดออกเจ็ดทวาร ที่กลางอกมีรอยฝ่ามือเลือดเหมือนกับห้าสิบสองศพในคดีปริศนาก่อนหน้านี้
จากเสียงร้องของงักหลิวที่เวลานี้ทรุดลงไปนั่งกับพื้น ปลุกให้หลายคนรู้สึกตัวขึ้น เริ่มจากงักฮัว เสียงกรีดร้องของนางทำให้ไป่ยู่ที่หมดสติฟื้นขึ้นมา เขาเห็นท่าทางของงักฮัวจึงหันไปมองอีกด้านของตนจึงได้เห็นศพของงักเจียง
ไป่ยู่มีสีหน้าเคร่งเครียดแต่ไม่ได้หวาดผวา
เสี่ยวจือที่ตื่นขึ้นมาเห็นมีท่าทีลนลานรีบปลุกท่านย่าฝู
ไม่มีงักโยว...
น้องชายคนเล็กของตระกูลหายไปจากห้องอาหาร ไร้ร่องรอยใดๆ ที่จะบ่งชี้ว่าเขาหายไปไหน มีเพียงรอยเลือดที่ไหลเลือดอยู่บนเก้าอี้ ราวกับว่ามีใครฆ่างักเจียงและกระทำการเดียวกันกับงักโยวพร้อมทั้งเอาศพของเขาไป
งักหลิวรวบรวมสติ แล้วตะโกนเรียกบ่าว ก่อนที่จะหันไปจ้องมองอย่างอาฆาตกับไป่ยู่
“ไป่ยู่! เป็นเจ้า ไอ้คนชั่วช้าสารเลว”
“คุณชายใหญ่โปรดใจเย็น ข้าไม่ได้กระทำอย่างที่ท่านคิด”
“ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร” งักหลิวตะคอกถาม
“...” ไป่ยู่อับจนในคำตอบ ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันเกินกว่าจะคาดคิดหาคำอธิบายได้ทัน
“ก่อนข้าจะหมดสติ ข้าเห็นเจ้าไม่ได้หมดสติเช่นคนอื่น อาหารในชามก็ยังอยู่ครบไม่ได้แตะสักส่วนเดียว”
“ข้า...”
“เจ้าคงคิดว่าไม่มีใครเห็นแล้วจะรอดตัว แต่พฤติกรรมชั่วช้าของเจ้าไม่อาจรอดพ้นสายตาข้า”
ท่านย่าฝูเริ่มรู้สึกตัว เหมือนเห็นศพของงักเจียงดวงตาแม่เฒ่าพลันเบิกโพลงด้วยความตระหนก
“อ อะ อาเจียง” แม่เฒ่าเอ่ยเบาราวกระซิบก่อนจะจับที่อกตนราวกับเจบปวดและหายใจไม่ออก
“ท่านแม่! ท่านแม่! ใครก็ได้มาช่วยที”
ไป่ยู่รีบเข้าไปดูอาการท่านย่าฝู
“อย่าแตะต้องท่านย่านะ!!” งักหลิวตวาดลั่น ก่อนจะพุ่งตัวเขาไปกระชากแขนของไป่ยู่
“คุณชายใหญ่โปรดแยกแยะ หากชักช้าเกินนี้แม่เฒ่าฝูจะมีอันตราย”
“พี่ใหญ่” เสียงงักฮัวร้องปนสะอื้น
“คุณชายใหญ่” เสี่ยวจือก็เอ่ยขึ้นราวกับอ้อนวอน
งักหลิวลังเลอยู่ครู่จึงยอมปล่อยมือออกจากแขนของอีกฝ่าย
“ถ้าท่านย่าเป็นอะไรไปอีกคน ข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่” เสียงเขากล่าวขึ้นอย่างเครียดแค้น
“คุณชายใหญ่โปรดวางใจ”
ไป่ยู่คลายเสื้อให้อีกฝ่ายแล้วเริ่มจับชีพจรตรวจอาการแล้วหันไปหาเสี่ยวจือ
“มีเหง้ากระชายไหม”
เสี่ยวจือพยักหน้า
“ต้มแล้วกรอกเอาน้ำที่สองมาให้แม่เฒ่าดื่ม”
เสี่ยวจือรีบวิ่งออกไปทำตาม
“งักฮัวตามบ่าวมาช่วยพาแม่เฒ่าไปห้องพัก”
งักฮัวพยักหน้าแล้วทำตาม
“เรื่องของเรายังไม่จบ”
“ข้าทราบดี”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะให้คนไปแจ้งมือปราบให้มาจับเจ้า”
“ท่านกำลังเข้าใจข้าผิด”
“ผิดยังไง ข้อแรก เจ้ากับงักเจียงไม่ได้สลบเพราะฤทธิ์ยานอนหลับ ข้อสอง เจ้าไม่ได้แตะต้องอาหารอะไรเลย ข้อสาม เจ้าเป็นคนยืนยันกับข้าเองว่างักเจียงไม่ได้ใส่ยานอนหลับลงไปในน้ำแกง แต่นี่ทุกคนที่ทานกลับสลบหมดทุกคน เท่ากับเจ้าโกหก เช่นนั้นไม่ใช่เจ้าที่ฆ่างักจียงแล้วจะเป็นใคร เขาฆ่าตัวตายอย่างนั้นเหรอ”
“ข้อแรก ข้ากับคุณชายรอง สลบเพราะฤทธิ์ยา เพียงแต่หลังจากที่ท่านสลบไป ข้อสอง ข้าไม่ได้แตะต้องอาหารเพราะรู้สึกผิดสังเกตในบางสิ่ง ข้าจึงเพียงแค่จิบน้ำชา ข้อสาม ข้ายังของยืนยันว่าคุณชายรองไม่ได้ใส่ยานอนหลับลงไป หลักฐานคือ ตอนนั้นเสี่ยวจือบอกว่าน้ำแกงนั่นเป็นไก่ดำตุ๋นเก๋ากี้ แต่นี่คือน้ำซุปต้มกระดูกหมู”
“เจ้าอย่ามาอ้างเลื่อนลอย แค่จิบน้ำชาแล้วสลบ จะบอกว่ามีคนใส่ยานอนหลับลงในนั้นเช่นนั้นหรือ แล้วเหตุผลที่เจ้าไม่กินอาหารเลยสักนิด เป็นเพราะอะไร เพราะแค่น้ำแกงไม่ใช่แบบเดิมเท่านั้นเหรอ”
“ในที่นี้มีใครไม่ได้จิบน้ำชา ท่านดื่ม ข้าดื่ม ทุกคนดื่ม นั่นยังไม่ใช่ข้อยืนยันอีกหรือไง เรื่องที่ข้าไม่กินอะไร... เพราะ...” ไป่ยู่ไม่แน่ใจว่าควรตอบคำถามนี้
“นึกข้ออ้างไม่ออกละสิ”
“เตือนข้า”
“ใคร!?”
“....”
“ข้าถามว่าใคร!?”
ยังไม่ทันที่ไป่ยู่จะได้ตอบคำ งักฮัวก็พาอาซากับอาเจ๋อ คนสวนมาตามคำที่ไป่ยู่บอก พวกเขารีบพาท่านย่าฝูกลับห้องพัก ไป่ยู่จะเดินตามไป แต่งักหลิวรั้งไว้
“ตอบข้า!”
“บิดาท่าน” ไป่ยู่ตอบกลับสีหน้าเคร่งเครียด