บทที่ 24 ความช่วยเหลือที่ถูกหยิบยื่น
บทที่ 24 ความช่วยเหลือที่ถูกหยิบยื่น
พิษอมพาตแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่าง แม้กระทั่งดวงตายังรู้สึกเหมือนโดนผนึกเอาไว้ ริมฝีปากเมื่อขยับไม่ได้ก็ร่ายเวทไม่ได้ แว่วเสียงหัวเราะสะใจลอยมากับสายลม อริศัตรูทั้งสามดูพึงพอใจกับผลงานของตนเอง เมื่อเห็นว่าสามารถขจัดศัตรูตัวฉกาจออกไปได้ก็ผ่อนคลายความระแวดระวังลงแล้วเดินเข้ามาหาร่างเล็กบางที่ไม่อาจขยับเคลื่อนที่ไปไหน
พิษอมพาตที่ถูกสร้างขึ้นจากปราณอสรพิษระดับห้ามีพิษสงร้ายกาจเกินบรรยาย ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบวิก็ทำให้ร่างกายทุกสัดส่วนอยู่ในสภาพไม่ต่างกับคนที่ตายไปแล้วทั้งเป็น
“แม่มดก็ไม่เท่าไหร่นี่นา” เซรีนยิ้มเยาะกล่าวอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่เพื่อนอีกสองคนก็ดูจะพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่แพ้กัน
ฟาร์ชูลันผู้ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกับตายทั้งเป็น...เธอขยับไม่ได้แม้กระทั่งดวงตาเสียด้วยซ้ำ ทุกอย่างเหมือนถูกแช่แข็งให้มีสภาพไม่ต่างจากหินก้อนหนึ่งที่ยังคงมีชีวิตอยู่ แม้จะรู้สึกได้เองว่าอีกไม่นานหัวใจของเธอก็คงจะกลายเป็นอมพาตไปเช่นกัน
ประมาทเกินไป!
มารู้สึกตัวเอาตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว แม่มดสาวผู้ไม่สามารถขยับกายร่ายเวทได้จะไปต่างจากมนุษย์ธรรมดาตรงไหน
เซรีนคลายมือที่กำเส้นผมอยู่เป็นกระจุกออก ปล่อยให้ร่างของฟาร์ชูลันตกหล่นลงกระแทกกับพื้นเบื้องล่าง ฮิวแมนเดินเข้ามาก่อนจะพลิกร่างของฟาร์ชูลันให้อยู่ในสภาพนอนหงาย เขาใช้สายตามองเหมือนกำลังพินิจพิจารณาในบางสิ่งบางอย่างก่อนจะแสดงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ดูไปแล้วก็มีร่างกายที่สวยงามไม่เลว”
“โอ๊ะ อย่าลืมนะว่าตอนนี้เราอยู่ในการแข่งขัน ไม่ว่าจะฆ่าหรือทำอะไรที่มันไม่ดีมากกว่านี้ก็มีสิทธิ์ถูกไล่ออกได้ทั้งนั้น”
“เฮอะ เฮเลน” ฮิวแมนหันไปหาเฮเลนโดยไม่สนใจจะตอบเซรีนกลับ ด้านเฮเลนเหมือนจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะพูดอะไร เธอพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเปล่งพลังปราณอินทรีย์ออกมา
“ดรรชนีเวหาพิภพเมฆา พลังปราณระดับห้า”
เส้นแสงสีเหลืองหลายเส้นพุ่งออกจากผิวอากาศรอบข้างเฮเลน ก่อนจะทะลวงเข้าใส่กล้องติดตามที่ติดตั้งอยู่ทั่วเขตแดนนี้จนแหลกกระจุย ภาพบนจอมอนิเตอร์หลายส่วนดับวูบไปในพริบตา ทำเอาคนที่รับชมอยู่โซนคนดูถึงกับโวยวายไม่เป็นศัพท์
“ก่อนที่กล้องพวกนี้จะถูกซ่อมแซมหรือติดตั้งใหม่ จะทำอะไรก็รีบทำซะ” สิ้นเสียงกล่าวของเฮเลน ฮิวแมนพยักหน้าพลางมองไปที่ร่างของฟาร์ชูลันที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
แม้จะขยับไม่ได้แม้กระทั่งดวงตา แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ฮิวแมนยื่นมือเข้ามาจับที่คอเสื้อของเธอ เขาค่อย ๆ ปลดกระดุมคอออกทีละเม็ดก่อนจะเปิดตรงส่วนนั้นออกจนพบกับผิวสีขาวเนียนชวนหลงใหล อุ้งมือค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาจับและลูบไล้บริเวณเนินอกที่เริ่มปรากฏชัด สีหน้าฮิวแมนในตอนนี้เต็มไปด้วยความกระหาย
“พวกผู้ชายนี่ก็นะ” เซรีนพูดพร้อมกับหันหลังเดินออกไปจากบริเวณนี้ เธอเดินตรงไปทางพุ่มไม้ไกล ๆ เพราะไม่ต้องการอยู่เป็นสักขีพยานการรับรู้เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น ทางด้านเฮเลนก็เช่นกัน เธอเดินตามเซรีนไปและทิ้งท้ายเพียงคำพูดหนึ่งประโยคว่า “อย่าเล่นเพลินจนลืมเวลาแล้วกัน”
ฮิวแมนแม้ไม่ได้ตอบกลับแต่ก็ยังรับรู้ว่าเพื่อนสาวพูดอะไรกับเขาไว้ เพียงแต่ตอนนี้สิ่งที่เขาจดจ่อมากที่สุดเห็นจะเป็นร่างกายอันเปรียบเสมือนอาหารอันแสนโอชะที่อยู่เบื้องหน้า มันเหมือนกับอาหารจานหรูที่ถูกตกแต่งมาอย่างสวยสง่าและยังไม่มีใครเคยได้ลิ้มลองมาก่อน และเขากำลังจะเป็นคนแรกที่ได้ใช้ช้อนตักอาหารนั้นขึ้นมาชิม
ความรู้สึกตื่นเต้นปนความกระหายพรั่งพรูเข้ามาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ ทุกสัมผัสที่เขาได้รับผ่านอุ้งมือทั้งสองข้าง ล้วนสร้างความตื่นเต้นจนเกินจะหยุดยั้ง
นี่มันเป็นของชั้นเลิศ!
ถูกต้อง! หากจะเปรียบเปรยว่ามันเหมือนกับสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้ก็ไม่ได้ดูเกินจริงไปสักเท่าไรนัก เพราะคุณค่าที่เขาสัมผัสได้มันช่างยอดเยี่ยมที่สุด ยอดเยี่ยมแบบที่ไม่เคยพบเจอจากใครมาก่อน แม้จะพึ่งได้สัมผัสเพียงมือทั้งสองข้างก็ยังรับรู้ได้ นี่ถ้าเขาสัมผัสมากกว่านั้นมันจะชวนให้รู้สึกยอดเยี่ยมแค่ไหนกัน?
“เลวทราม”
แต่ในขณะที่กำลังจะเสพสุขอยู่บนสรวงสวรรค์นั้น ฉับพลันเหมือนมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกับทางไปนรกปรากฏออกมา ฮิวแมนรู้สึกเหมือนโดนขัดอารมณ์เพียงชั่วเสี้ยววินาที และไม่ทันรู้สึกตัว...ลำคอของเขาก็หักในพริบตา
“อะ...อ๊ากกก!!!”
เขาส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดและโหยหวนจนเฮเลนกับเซรีนได้ยิน ทั้งสองสาวรีบกลับมาหาฮิวแมนและต้องพบกับเงาร่างของอาคันตุกะปริศนาที่ยืนค้ำฮิวแมนอยู่ เขาคนนั้นมีใบหน้าที่สวยงามประดุจผู้หญิง เรือนผมยาวประบ่าสีดำ นัยน์ตาสีเดียวกันแฝงเต็มไปด้วยความเย็นชาประดุจขั้วน้ำแข็ง
“จ...เจ้าคือ!?” เป็นเซรีนที่พูดขึ้นมาก่อนเพราะรู้สึกได้ถึงอันตรายจากตัวตนเบื้องหน้า เฮเลนมองไปทางฮิวแมนที่ตอนนี้ลำคอบิดผิดรูปแต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ราวกับชายตรงหน้าจงใจที่จะปล่อยให้ฮิวแมนทรมานอยู่แบบนั้น
“คน ๆ นี้...ผู้ผ่านเข้ารอบมาจากกลุ่มที่หกที่ใช้เวลาจบการแข่งขันเป็นอันดับสองรองจากยัยแม่มดนั่น”
“อ๋อ ที่ชื่อฟานใช่ไหม?” เซรีนพึ่งนึกชื่ออีกฝ่ายออกหลังจากที่เฮเลนบอกว่าเขาเป็นใคร
“ใช้อุบายสกปรกไม่พอ ยังคิดจะทำเรื่องชั่ว ๆ กับผู้หญิง พวกเจ้าช่างสกปรกและน่าอับอายจนเกินกว่าจะมีชีวิตอยู่” บุรุษชื่อฟานกล่าวด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนคนไร้ความรู้สึก และพร้อมกันนี้ก็ปล่อยจิตสังหารออกมาเป็นจำนวนมาก ราวกับจะบ่งบอกเป็นนัยว่านี่แหละคือความรู้สึกที่เขาปล่อยให้หลั่งไหลออกมาแทนที่จะแสดงออกผ่านสีหน้า
“หึหึ พอดีเลย จะได้ไม่เสียเวลาหาตัวผู้เข้าแข่งขันที่เหลือ ในเมื่อโผล่ออกมาให้กำจัดเองถึงที่ก็จะได้ไม่ต้องเหนื่อยพวกข้า!” ร่างของเซรีนหายไปจากระบบสายตาของฟาน เธอปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับฟาดฝ่ามือมรณะที่เต็มไปด้วยพิษร้ายปริมาณมหาศาล ชายชื่อฟานยกแขนซ้ายขึ้นต้านรับการโจมตีนั้นไว้ได้ทันท่วงทีก่อนจะจ้องกลับเซรีนด้วยแววตาอาฆาต
“พลังปราณระดับหก”
สีหน้าของเซรีนเปลี่ยนไปทันที
“ลมหายใจอสรพิษ”
มีแสงสว่างส่องประกายออกมาจากภายในลำคอของฟาน เขาอ้าปากขึ้นกว้างและปล่อยคลื่นแสงสีเขียวเข้มอัดใส่เซรีนที่ไม่อยู่ในสภาวะที่ป้องกันตัวเองได้ เธอรับเอากระบวนท่าลมหายใจอสรพิษเข้าไปเต็ม ๆ จนกระเด็นลอยไปไกล เฮเลนส่งเสียงร้องเรียกก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหมายจะรับร่างของเซรีนเอาไว้
“ถอยไป!” ทว่าเซรีนกลับตะโกนไล่ไม่ให้เฮเลนเข้ามาช่วย “ถ้าเข้ามาจะถูกลูกหลงจากพิษไปด้วย!”
เฮเลนรีบถอยฉากออกมา พร้อมกันนั้นพลังลมหายใจอสรพิษที่อยู่ในสภาพของคลื่นแสงก็เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นงูตัวขนาดมหึมา มันส่งเสียงขู่ฟ่อและปล่อยพิษร้ายออกจากทั่วทั้งร่างกาย เมื่อเฮเลนกับเซรีนกระโดดหลบออกมาได้ก็พบว่าบริเวณพื้นที่ถูกพิษของงูยักษ์ตัวนี้รดใส่ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นหลุมซึ่งระอุไปด้วยไอควันอ่อน ๆ โชยขึ้นมา
พิษกัดกร่อนอานุภาพร้ายแรงมาก!
เพราะเซรีนมีภูมิต้านทานเรื่องพิษจึงพอทนการจู่โจมของฟานได้ แม้กระนั้นก็ยังเป็นวิชาที่ใช้ออกมาผ่านพลังปราณระดับที่หก ถ้าจะบอกว่าเธอไม่บาดเจ็บเลยก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก
“เจ้าเป็นใครกันแน่ นอกจากระดับเจ้าตำหนักแล้ว ยังมีคนที่บรรลุขั้นโคจรลิขิตด้วยงั้นรึ” สภาพจิตใจของเฮเลนในยามนี้เริ่มไม่สู้ดีเท่าไรนัก แม้จะเป็นอย่างนั้นก็ยังพยายามเค้นความกล้าเพื่อถามอีกฝ่ายโดยคงไว้ซึ่งท่าทีแบบไม่กลัวเกรงอะไร
“ข้าไม่จำเป็นต้องตอบสวะอย่างพวกเจ้า” ฟานยกฝ่ามือขึ้นมาไว้บนผิวอากาศเบื้องหน้า ในหัวพลันนึกถึงกฎการแข่งขันที่ว่าห้ามสังหารกันอย่างเด็ดขาด เขาสบถออกมาเงียบ ๆ อย่างไม่พอใจ
“หากสังหารไม่ได้ ก็จงทำให้พวกมันทรมานอย่างถึงที่สุด” อสรพิษที่ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังปราณส่งเสียงขู่ฟ่อตอบรับ มันพุ่งกระโจนเข้าหาสองสาวในทันที เซรีนแม้จะเป็นผู้ใช้ปราณอสรพิษเหมือนกันแต่ก็มีพลังแค่ระดับห้าเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าต้านทานพิษระดับหกซ้ำแล้วซ้ำอีก ทางด้านเฮเลนยิ่งไม่ต้องพูดถึง เธอบินขึ้นไปบนฟ้าก่อนใครเพื่อนพร้อมทั้งปล่อยดรรชนีเวหาพิภพเมฆาลงมาราวกับห่าฝน
ฟานสะบัดมือใส่พลังดรรชนีก่อนจะเปล่งพลังปราณออกมาจากปลายฝ่ามือ กวาดทำลายพลังปราณทิ้งไปจนหมดในพริบตาเดียว
“เป็นไปไม่ได้!”
“ศรแห่งพญางู” พอสะบัดมือกลับมาก็ปล่อยลูกธนูปราณไปเป็นจำนวนมากเหมือนจงใจจะสร้างการบุกแบบเดียวกันเพื่อพิชิตอีกฝ่าย นั่นยิ่งทำให้เฮเลนรู้สึกเหมือนโดนดูถูกเข้าเต็มเปา แต่ไหนแต่ไรพลังของปราณอินทรีย์เมื่ออยู่บนเวหาจะแข็งแกร่งจนไม่อาจมีใครต่อกรได้โดยง่าย แล้วนี่มันอะไร ทำไมเธอถึงได้โดนกดดันเสียจนนึกภาพไม่ออกว่าจะหาวิธีแบบไหนมาเอาชนะกันล่ะ
“อย่าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้านะ!”
รังสีปราณอินทรีย์ยิ่งทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
“ดรรชนีเมฆารวมศูนย์ พลังปราณระดับห้า!”
เฮเลนเหวี่ยงนิ้วเข้าชี้ไปยังเป้าหมายเบื้องล่าง ก่อนจะปรากฏแสงสว่างที่อัดแน่นไปด้วยประจุพลังปราณที่เข้มข้นยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา มันพุ่งออกจากปลายนิ้วทะลวงม่านอากาศจนเกิดเสียงหวีดราวกับกรีดร้อง ก้อนพลังก้อนนั้นอัดกระแทกเข้ากับกระแสพลังปราณที่ฟานเปล่งออกมาเพื่อต้านรับไว้เหมือนกับโล่ บังเกิดแรงสั่นไหวอย่างหนักหน่วงในขณะที่ทั้งคู่กำลังใช้พลังเข้าห้ำหั่นกัน
ขณะนั้นเอง ดรรชนีเมฆารวมศูนย์ก็ถูกดันกลับเข้าหาเฮเลน!
“ไม่มีทาง...ใช้แค่คลื่นพลังปราณก็สามารถผลักดรรชนีของข้ากลับมาได้!”
“อ่อนหัดสิ้นดี” ฟานปล่อยพลังปราณออกมาจนพื้นรอบข้างแตกกระจายกลายเป็นหลุมยักษ์ พลังนั้นยังช่วยผลักเอาแสงดรรชนีที่ทุ่มสุดแรงเกิดของเฮเลนกระเด็นหายไปบนท้องฟ้า
“ไม่...ไม่จริง”
บึ้กก!
ฟานปรากฏตัวด้านหลังเฮเลนก่อนจะฟาดสันมือใส่หลังคอจนเธอสลบไปในพริบตา ร่างของเฮเลนถูกฟานจับเอาไว้ก่อนจะพากลับมาส่งที่พื้น ท่ามกลางสายตาที่สับสนของเซรีน เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับศัตรูเบื้องหน้าที่แสนร้ายกาจคนนี้ดี
ทว่าฟานกลับเดินตรงเข้าไปหาฟาร์ชูลันที่นอนแน่นิ่งอยู่กับที่นานแล้ว ฟานเอื้อมมือเข้าไปทาบที่ศีรษะของแม่มดสาวก่อนจะเปล่งพลังปราณอสรพิษออกมา
“พลังปราณระดับเจ็ด!”
ถ้อยเสียงที่ชวนให้ตื่นตระหนกเล็ดลอดออกมาจนเซรีนเหงื่อตกราวกับพึ่งอาบน้ำมาใหม่
เขาพูดว่าพลังปราณระดับเจ็ด!?
รู้อะไรไหมว่าค่าเฉลี่ยของนักเรียนเกรดแปดอย่างมากก็ได้แค่ฝึกฝนถึงระดับห้าเท่านั้น แล้วแกเป็นใครทำไมถึงโผล่มาด้วยพลังปราณอันเหนือชั้นแบบนี้!?
สีหน้าของฟาร์ชูลันเริ่มกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง เธอรู้สึกเหมือนอิสระในการควบคุมกล้ามเนื้อเริ่มกลับคืนมา แม้จะยังขยับทันทีไม่ได้แต่ก็พอจะกลอกตาไปมาได้แล้ว เธอพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมาก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของฟานซึ่งยังคงความเรียบเฉยเอาไว้เฉกเช่นเดิม
“ขอบคุณ”
ฟานไม่ตอบอะไรกลับไป เขาลุกขึ้นยืนและใช้สายตาจับจ้องไปที่เซรีนซึ่งมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ระหว่างที่เป็นอมพาต ข้าว่าเจ้าน่าจะรักษาพลังกายกลับคืนมาได้ไม่มากก็น้อย” ฟานพูดสั้น ๆ แต่กลับเป็นคำพูดที่แสดงออกถึงความเข้าใจในบางสิ่งที่ฟาร์ชูลันจงใจเก็บซ่อนเอาไว้
“นายรู้?”
“เกี่ยวกับเจ้า ข้าพอรู้”
“......”
“สตรีผู้นั้นขอมอบให้เจ้าเป็นคนจัดการเองแล้วกัน” กล่าวจบฟานก็หันหลังเดินออกจากบริเวณนี้ทันที ทิ้งให้ฟาร์ชูลันเป็นคนรับช่วงต่อ ทางด้านเซรีนเมื่อพบว่าศัตรูตัวฉกาจอย่างฟานล่าถอยออกไปแล้ว รอยยิ้มพลันผุดขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง ถ้าเป็นยัยแม่มดนี่ล่ะก็ เธอเชื่อว่าเธอยังมีโอกาสเอาชนะได้อยู่
“เวทเสริมสมรรถภาพ”
มีแสงสว่างปรากฏขึ้นครอบคลุมร่างกายฟาร์ชูลันเอาไว้
“เวทรักษา คลายกล้ามเนื้อ เสริมพลังเฉพาะจุด เสริมความเร็ว”
แสงสว่างมากมายห่อหุ้มร่างของฟาร์ชูลันไว้ก่อนที่มันจะซึมซาบเข้าไปในร่างกายจนหมด ความรู้สึกพรั่งพรูและเต็มไปด้วยพลังมหาศาลทับถมเข้ามาจนแทบจะล้นปรี่ สีหน้าของฟาร์ชูลันดีขึ้นมาก ในขณะที่สีหน้าของเซรีนกลับแย่ลงเหมือนพึ่งดูหนังสยองขวัญจบไป
“เอาล่ะนะ”
แม่มดน้อยหยิบการ์ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนที่จะใส่พลังเวทเข้าไปข้างในการ์ดจนเกิดแสงสว่างกระจายออกมา เธอชูมันขึ้นไปบนฟ้า
“มหาเวทแห่งจักรวาล ดาวตกพื้นพิภพ”
บังเกิดแผ่นดินสั่นไหวลามไปถึงโซนรอบนอกสนามแข่งขันจนชวนให้คิดว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นมาจริง ๆ แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงการใช้เวทมนตร์หนึ่งบทก็ตาม เหล่าคนดูเริ่มส่งเสียงฮือฮาเหมือนกับว่าตนเองกำลังตกที่นั่งลำบากจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันตามภัยธรรมชาติ
เสียใจด้วย นี่ไม่ใช่ภัยธรรมชาติอย่างที่พวกคุณเข้าใจกัน เพราะนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเวทมนตร์ต่างหากล่ะ
บริเวณมุมหนึ่งของสนามแข่งขัน ปรากฏแผ่นดินที่พลิกตัวม้วนขึ้นมาก่อนจะลอยสูงขึ้นไปบนอากาศ มันดูดเอาสรรพสิ่งเบื้องล่างไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า หรือแม้กระทั่งเศษหินเศษดินก็ไม่มีข้อยกเว้น มันค่อย ๆ หลอมรวมสิ่งเหล่านั้นจนกลายสภาพเป็นวัตถุทรงกลมที่ประกอบขึ้นจากธรรมชาติรอบ ๆ และขนาดของมันเมื่อนับจากเส้นผ่าศูนย์กลางก็น่าจะประมาณเกือบสิบเมตรได้
ดาวตกพื้นพิภพลอยค้างบนเวหาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะพุ่งเป้าโฟกัสไปที่เซรีนซึ่งไม่มีแววว่าจะหาทางหนีได้เลย เธอยืนนิ่งรอรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นเหมือนกับคนที่สติล่องลอยหายไปจากที่ที่ควรอยู่ ไม่นานนักก็เกิดการระเบิดขึ้นจากพลังจู่โจมที่เปรียบเสมือนกับภัยพิบัตินี้
เวทมนตร์ดาวตกพื้นพิภพคือหนึ่งในสาขาเวทของมหาเวทจักรวาลอันมีพลังที่ร้ายกาจยากจะหยั่งถึง ยิ่งมีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ทางธรรมชาติมากเพียงใดก็ยิ่งสร้างพลานุภาพที่สูงส่งขึ้นตามมามากเท่านั้น แม้จะใช้เวลาในการเตรียมตัวค่อนข้างนานแต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้งานแล้ว นับว่าคุ้มค่าเกินพอ
ฟาร์ชูลันก้าวเท้าออกมาจากกลุ่มควันปริมาณมหาศาลที่เกิดขึ้นจากแรงระเบิดของเวทมนตร์ที่พึ่งจะใช้ไป เธอพบว่าฟานหายตัวไปแล้ว แต่ช่างมันเถอะ เพราะยังไงซะก็คงได้พบกันอีกในการแข่งขันอยู่ดี
เธอทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง เช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาอาบผิวแก้มก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า ความเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้ทำให้เธอนึกถึงใบหน้าของชายผู้หนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าจะกลับมาถึงที่นี่เมื่อไหร่
“รีบ ๆ กลับมาได้แล้ว ...เจ้าบ้า”
เพราะถ้ายังไม่รีบกลับมา และปล่อยให้เหนื่อยมากเกินไปกว่านี้ล่ะก็
คงไม่รู้ว่าจะให้เขาชดเชยความเหน็ดเหนื่อยนี้ยังไงดีแน่ ๆ