ตอนที่แล้วบทที่ 16 : โทสะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 18 : อมันตรา

บทที่ 17 : แตรนำ


บทที่ 17 : แตรนำ

สายลมอ่อนพัดผ่านลอดช่องอิฐที่เสียหายเป็นรูโหว่เว้า โครงสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งของอาคารสามชั้นไม่ได้ถูกสร้างให้รองรับน้ำหนักของก้อนหินมีชีวิตขนาดใหญ่ยักษ์ทั้งห้า จึงพังครืนลงมากองกับพื้นเบื่องล่าง

ถึงแม้ว่ามองจากภายนอก สมาคมนักผจญภัยแห่งนี้จะไม่ได้เสียหายอะไรนัก แต่หากได้เห็นภายในไม่ว่าใครก็คงต้องรับว่ามันสมควรรื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ ด้วยดูจะง่ายกว่าบูรณะซ่อมแซม

ทว่าถึงอย่างนั้นใครบ้างจะกล้าเฉียดกายเข้าไปดูให้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเสียงพังทลายนั้นหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยเสียงคำรามร้าวน่ากลัวราวกับเป็นเสียงของปีศาจไซเรนซึ่งร่ำร้องออกมาด้วยความโศกา ด้วยว่าแหล่งกำเนิดเสียงคือผลึกคริสตัลจากใต้ผืนพิภพ มันถูกนำมาประกอบเข้ากันกับเส้นอาเคนลำเลียงสายธารชีวิตเป็นชิ้นส่วนออกเสียงของหุ่นสงครามเพียงหนึ่งเดียวที่มีความสามารถในการพูด

และหุ่นตนนั้นบัดนี้หวนคืนกลับสู่รากเหง้าดั้งเดิมของมัน คือประหัตประหารศัตรูด้วยกำปั้นเหล็ก

ต่อสายตาผู้เห็นเหตุการณ์นั้นคือสาวน้อยชาวช่าง เป็นเวลาเพียงอึดใจที่เสียงกรีดแทงดังขึ้นจากลำคอของฮอรัส หรือเธออาจเรียกได้ว่าเป็นปีศาจ

เพราะนิยามปีศาจนั้นถึงส่วนใหญ่จะเป็นตัวร้ายทำลายความหวัง ทว่าบางครั้งมันก็ใช้เปรียบกับสิ่งใดที่เกินกว่านิยามความเป็นคนจะจำกัดความได้ด้วยเช่นกัน และความบ้าคลั่งที่เธอได้ประจักษ์ในอึดใจเดียวกัน คงไม่อาจเรียกเป็นอื่นใดได้เลยนอกจากนั้น

มันคือหนึ่งพริบตาที่ฮอรัสใช้เพื่อกวาดล้างทำลายโกเลมทั้งหมดจนสิ้น และเป็นอีกหนึ่งอึดใจที่เขาใช้เพื่อซ้ำชิ้นส่วนซึ่งแตกร้าวให้กลายเป็นกรวดทราย ทักษะทางกายภาพของเขาที่เธอเห็นนั้นมันเกินขอบเขตจินตนาการไปไกล

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ไม่ใช่ความเร็วปกติที่เขาใช้ในการต่อสู้ แต่เป็นการเข้าถึงขีดจำกัดทั้งหมดที่ร่างกายจะรับได้เรียบร้อยแล้ว เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากเจตจำนงแห่งจิตวิญญาณการรับรู้ที่กลั่นเป็นความวิโรธ เป็นความรู้สึกโกรธที่แม้แต่มนุษย์หรือเผ่าพันธุ์ใดๆ ก็ยังยากจะหักหาญลดทอนมันลงได้

ฮอรัสถอนฝ่ามือออกจากกองซากที่หลงเหลือหลังการบดทำลายของโกเลมตนสุดท้ายที่หยัดยืนใช้สัญชาตญาณอสูร เขายืนขึ้นยกมือสองข้ามขึ้นมองด้วยรูปลักษณ์ของโครงร่างโลหะเปลือยเปล่า สั่นเทาไปทุกส่วน

เสียงของโลหะที่เสียดสีขัดกันไปทั่วทั้งร่าง บ่งบอกความเสียหายซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากศัตรู แต่เป็นตัวเจ้าของเองซึ่งบัดนี้ได้เรียนรู้แล้ว ว่ายิ่งกว่าสิ่งที่เรียกว่าความหวาดกลัวอย่างที่เอลฟ์สาวกล่าวถึง ยังมีอีกสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในตัวเขาและมันสามารถทำให้ระบบความคิดการตัดสินใจ ตรรกะและเหตุผลนั้นทำงานผิดพลาดได้ถึงขั้นหลงลืมกฎเหล็กที่ผู้สร้างดำรงไว้

เขาเดินกะโผลกกะเผลกด้วยขาโลหะและข้อต่อที่หลวมออกจากกันคล้ายจะหลุดออกเป็นส่วนๆ ได้ตลอดเวลา มายังสองสาวแม่ลูกสายเลือดเอลฟ์ที่ยังนอนกองอยู่กับพื้นด้วยอาการบาดเจ็บ ก่อนจะทรุดลงคุกเข่าลงข้างๆ เอลีอา

“นี่มัน... จบแล้วหรอ” ไอน์ฝืนกลืนน้ำลายเอ่ยออกมาเมื่อได้เห็นว่าเรื่องทั้งหมดคล้ายจะจบลงในความสับสน ขณะเดียวกันก็พยายามประเมินความเสี่ยงรวมทั้งอาการบาดเจ็บของทั้งสองซึ่งจากภายนอกน่าจะไม่ถึงตาย แต่ก็ฟันธงอะไรไม่ได้

“ผมก็ไม่รู้...” หุ่นสงครามกล่าวเบาๆ ขณะที่กระบวนการซ่อมแซมตัวเองเริ่มทำงาน มันดึงเอาเศษพลังชีวิตมาจากแกนกลางของโกเลมที่ถูกบดละเอียดกระจัดกระจายปะปนอยู่ในกองซาก สร้างความตกตะลึงให้กับนักวิเคราะห์สาวขึ้นไปอีก แต่เพราะการตอบคำถามอย่างเรียบง่ายนั้นเองที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

“งะ งั้นมันก็คงจบแล้วล่ะมั้ง...” สาวน้อยสรุปเข้าข้างตัวเอง พร้อมกับเดินเข้ามาหาฮอรัสช้าๆ ยังกล้าๆ กลัวๆ ตั้งใจจะไปดูให้แน่ว่าเอลีอากับเอเดลนั้นไม่เป็นอันตรายร้ายแรง

กระทั่งเสียงไอสำลักฝุ่นดังขึ้นจากครึ่งเอลฟ์คนลูก ที่เพิ่งจะลืมตาตื่นฟื้นขึ้นมาเห็นภาพของฮอรัสกำลังอยู่ในกระบวนการซ่อมแซมตัวเองก็เผลอชะงักงันตกใจไปชั่วขณะ ก่อนที่ทิวทัศน์ของเศษชิ้นส่วนโกเลมและซากปรักหักพังจะทำให้เธอจำเหตุการณ์ได้ว่าก่อนหน้านี้ ระหว่างที่ขึ้นไปบนห้องกับแม่นั้นจู่ๆ พวกโกเลมก็โผล่ออกมาพร้อมกันถึงห้าตน แล้วซัดเข้าใส่ไม่ทันให้ตั้งตัวจนเธอสลบไป

“อัก..” พอได้สติเอเดลก็พยายามลุกขึ้นไปดูอาการแม่ทันที ทว่าขยับได้นิดเดียวก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างรุนแรงด้วยกระดูกหักหลายส่วนทั่วทั้งตัว ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ แต่ก็ยังพยายามฝืนเอื่อมมือออกไปสัมผัสชีพจรของมารดา ทว่ากลับถูกฝ่ามือโลหะเย็นเยียบคว้าจับร่างเอาไว้อย่างฉับพลัน แล้วกดลงคร่อมกับพื้น จัดท่ากลับไปให้นอนแผ่อยู่อย่างเดิม

“คุณยังไม่ควรขยับตัว...ผมพบรอยร้าวบนกระดูกสันหลัง รวมทั้งกระดูกซี่โครงก็หักในมุมอันตราย” หุ่นสงครามเอ่ยผ่านริมฝีปากใหม่ที่เพิ่งจะถูกสร้างขึ้นพร้อมใบหน้าไร้สำนึกปกปิดกะโหลก เปลี่ยนภาพลักษณ์น่ากลัวของปีศาจโครงกระดูกให้กลายเป็นชายหนุ่ม

เขาใช้ดวงตาสีดำมืดนั้นจ้องมองเอเดลคล้ายจะย้ำว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความเสี่ยงที่อันตรายจริงๆ สำหรับร่างกายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้ออันบอบบางเช่นนี้ ก่อนจะเห็นว่าเธอยังพยายามขัดขืนฝืนขยับตัวและยังมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นเดิม เพราะอย่างไรคำพูดของเขาก็ไม่ได้ช่วยให้เธอเลิกเป็นห่วงเอลีอา

“คุณเอลีอาเองก็มีอาการบาดเจ็บเช่นกัน แต่ผมตรวจสอบแล้วว่าไม่อันตราย...แค่ยังหมดสติ” ฮอรัสกล่าวกับเอเดลเรียบๆ พบว่าเธอก็ยังคงกัดฟันแสดงอาการเกร็งออกมาไม่ต่างจากเดิมทั้งยังหันหน้าหลบ จึงเอ่ยต่อด้วยความไม่เข้าใจ “ผมยังทำให้กลัวรึเปล่า...”

“ฉะ ฉันว่า คุณเอเดลคงไม่ได้กลัวนายแล้วล่ะ” ตอนนั้นเองที่เสียงของไอน์ดังขึ้นแทรก ระหว่างที่เธอใช้ขาสั้นๆ เดินมาดูอาการของเอลฟ์สาวเอลีอา โดยไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป

ด้วยรูปลักษณ์ที่กลับคืนไปคล้ายมนุษย์ บวกกับการกระทำของเขาที่ปกป้องหมู่บ้านแห่งนี้เอาไว้ ทำให้ความไว้ใจค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาในใจของเธอช้าๆ

ถ้าไม่นับกริยารุ่มร่ามที่เขากำลังแสดงออกกับครึ่งเอลฟ์และภาพบาดตาน่าเข้าใจผิดมันก็คงทำให้สถานการณ์ไม่น่าอึดอัดใจเท่านี้

“ฉันไม่ขยับแล้ว ออกไปสักทีเถอะ... ขอร้องล่ะ” สาวน้อยกลืนน้ำลายเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากด้วยความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอยู่หัว เพราะบัดนี้ฮอรัสในร่างที่ซ่อมแซมชิ้นส่วนภายนอกจนเกือบสมบูรณ์แล้วกำลังนั่งคร่อมกดตัวเธอในสภาพเปลือยเปล่าไม่สวมเสื้อผ้า ด้วยว่าพวกมันถูกทำลายไปหมดแล้ว

แต่แทนที่ฮอรัสจะลุกออกไปทันที เขากลับเอียงคอมองหน้าสาวเจ้าเหมือนไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้ก้มหน้ามองร่างกายตนเองนั้นเองถึงค่อยลุกขึ้น

“ผมขอโทษ...” เขาเอ่ยอย่างเรียบเฉยไร้อารมณ์ ท่ามกลางสายตาของสองสาวที่มองกลับมาอย่างอักอ่วน ก่อนจะเดินไปลากเอาเศษผ้าม่านผืนใหญ่ที่ขาดกองอยู่ในซากปรักหักพังขึ้นมาห่มตัว ด้วยรู้แล้วว่าความผิดปกติทั้งหลายที่เขาเห็นผ่านสีหน้าของพวกเธอนั้นอาจเป็นเพราะเขาเผลอทำสิ่งที่เอลีอาเคยห้ามเอาไว้เป็นคำสั่งจริงจังนั่นคือห้ามแก้ผ้าต่อหน้าผู้อื่น โดยเฉพาะผู้หญิง

แล้วตอนนั้นเองที่เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ ไม่ปะติดปะต่อกันในลำคอของเอลฟ์สาว เพราะยิ่งขำก็ยิ่งเจ็บแผล บ่งบอกว่าเธอเพิ่งจะตื่นขึ้นมาเห็นภาพเหตุการณ์น่าอึดอัดใจนั้นพอดี ชวนให้หวนนึกถึงเหตุการณ์คล้ายกันนี้ที่เกิดกับเธอเช่นกัน เพียงแต่ตอนนั้นมันน่ากระอักกระอ่วนน้อยกว่านี้หลายขุม

“คุณเอลีอา/แม่” สองสาวที่ได้ยินเสียงหัวเราะดังนั้นก็ขานรับขึ้นมาพร้อมกัน

เว้นแค่ฮอรัสคนเดียวที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา นอกจากหันมองด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นโดยไม่มีใครเห็นมุมปากเขามีการขยับเล็กๆ ปรากฏขึ้นรวมทั้งหัวใจไม้จากที่เคยเต้นระรัวสูบฉีกสายธารชีวิตไปทั่วร่างก็พลันเต้นเป็นจังหวะช้าลง

“ลูกเป็นอะไรรึเปล่า เอเดล” เอลฟ์สาวพอได้สติก็ถามถึงอาการลูกสาวขึ้นมาทันทีด้วยความเป็นห่วง

“ไม่รู้สิคะ แต่เจ็บจัง”

“แม่ก็เหมือนกันจ้ะ...”

สองแม่ลูกคุยกันอยู่บนพื้นโดยไม่ขยับร่างกาย พร้อมกัน ไอน์พอเห็นทั้งสองปลอดภัยและรู้อาการคร่าวๆ แล้วจึงรีบไปเอายาโพชั่นที่เตรียมพร้อมเอาไว้สำหรับยามฉุกเฉิน เวลาที่นักผจญภัยบาดเจ็บกลับมาจะได้รักษาเบื่องต้นได้ทันท่วงที

กระทั่งตอนนั้นเองที่ช่างเหล็กและพ่อครัวของสมาคมกลับมาที่สมาคมอีกครั้งพร้อมกับหมอที่เกือบจะอพยพออกไปกับเกวียนเล่มสุดท้ายอยู่แล้วถ้าไม่ได้เห็นเวทมนตร์ทรงพลังขององค์ราชินีเสียก่อน แต่พอมาเห็นสภาพด้านในของสมาคมซึ่งเละเทะเช่นนี้จึงรู้ได้ทันทีว่าองค์ราชินีไม่ใช่คนปิดฉากเรื่องนี้

“นี่มันเกิด... เห้อช่างเถอะ ลูกไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” ชาวช่างชราตั้งใจจะถามถึงเหตการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ก็ตระหนักได้อยู่แล้วว่าทั้งหมดคงไม่พ้นฝีมือของราชินีเนเนต จึงเปลี่ยนไปถามนักวิเคราะห์สาวแทน ถึงแม้จะเห็นอยู่กับตาว่าเธอไม่มีแม้แต่แผลถลอก

“ไม่เป็นไรค่ะ หุ่นตนนั้นชะ-”

“เขามีชื่อนะจ๊ะ ไอน์” ยังไม่ทันที่ชาวช่างสาวจะได้พูดจบเสียงนุ้มละมุนก็ดังขึ้นแทรก

เอลฟ์สาวพอได้รับยาเบื้องต้นหายเจ็บบ้างแล้วก็เอ่ยขัดขึ้นมา จนลูกสาวแท้ๆ อย่างเอเดลยังเผลอถอนหายใจ เพราะขนาดถูกหมอของสมาคมจัดวางท่าทางและล๊อกตัวเธอเอาไว้บนเปลฉุกเฉินเตรียมขนย้ายออกไปยังส่วนสถานพยาบาลของสมาคมแล้วก็ยังไม่วายเอ่ยถึงฮอรัส อย่างกับว่ากำลังเห่อลูกชายคนใหม่แทนที่สาวเจ้า

ฝ่ายนักวิเคราะห์ได้ยินเช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ จึงจำใจเปลี่ยนสรรพนาม

“ฮอรัส... เขาช่วยจัดการพวกโกเลมหมดก็เลยไม่บาดเจ็บอะไรค่ะ ถ้าเขามาช้ากว่านี้นิดเดียวพวกเราคงตายกันหมด” เธอเอ่ยตอบกับชาวช่างชราผู้เป็นบิดา พลางเหลือตามองเจ้าของชื่อซึ่งตอนนี้กำลังยืนห่มผ้าม่านสีดำอมม่วงอยู่นิ่งๆ ที่อีกมุมหนึ่งของสมาคม ไม่พูดคุยหรือสบตาใครคล้ายกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง

กระทั่งเสียงข่อนแคะของเอเดลดังขึ้นจากเปลฉุกเฉิน ต่อบทสนทนานั้นด้วยสำเนียงทีเล่นมากกว่าจะคิดเช่นนั้นจริงๆ “หรือถ้ามาเร็วกว่านี้อีกนิด ฉันกับแม่ก็คงไม่เจ็บ...”

“เอเดล!!”

“หนูก็แค่พูดเล่นค่ะแม่” เอเดลที่ได้ยินเสียงตวาดดังมาจากเปลของผู้เป็นแม่ดังนั้นก็อธิบาย “หนูรู้ว่าถ้าหุ่... ถ้าฮอรัสไม่มาช่วยเราคงตายไปแล้ว.. หนูเชื่อแล้วก็ได้ว่าเขาไม่อันตราย”

เอเดลยอมรับสิ่งที่แม่พยายามจะบอกมานานในท้ายที่สุด แต่ขณะเดียวกันมันกำให้เธอเริ่มกลัวใจว่าสุดท้ายปลายทางมันอาจไม่ได้เปลี่ยนไป เพราะต่อให้ฮอรัสไม่เป็นอันตรายจริงๆ แต่อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ยังตกอยู่ในฐานะของสิ่งที่อาจเป็นภัยคุกคามภายใต้การเฝ้าระวังระดับหนึ่ง ซึ่งดูแลโดยองค์ราชินี มันไม่ใช่ภารกิจระดับที่จะต่อรองอะไรได้

“ผมไม่ได้ช้าไป...” แล้วตอนนั้นเองที่ฮอรัสเอ่ยขึ้นมาในที่สุดหลังจากยืนเงียบอยู่นานแล้ว

“หืม..ว่าไงนะ” นักวิเคราะห์ทวน

“คุณเอเดลกับคุณเอลีอาถูกโจมตีไม่ใช่เพราะผมมาช้าไป...พวกโกเลมต่างหากที่มาถึงเร็วไป”

“นะ นายไม่ต้องแก้ตัวก็ได้นะ คุณเอเดลก็บอกแล้วไงว่าแค่ล้อเล่นน่ะ” เมื่อได้ยินหุ่นสงครามพูดเหมือนกำลังพยายามแก้ต่างให้ตัวเองด้วยเหตุผลประหลาดๆ เช่นนั้น ไอน์ก็ถึงทำหน้าเหยเก ก่อนจะได้ฟังคำอธิบายของฮอรัส

“ผมคำนวณความเร็วกับระยะทางเอาไว้แล้วว่าพวกมันจะมาถึงที่นี่ช้ากว่า แต่พวกมันหายไปจากสัมผัสแล้วโผล่มาถึงก่อนเวลา... อาจจะมีคนเปิดประตูเชื่อมโลกให้พวกมัน”

สิ้นเสียงเรียบเฉยนั้น บรรยากาศในโถงสมาคมก็พลันเงียบงันลงไปชั่วขณะ ด้วยสิ่งที่เขาว่าออกมาไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้และไม่มีคนนึกถึง จนกระทั่งเมื่อครู่นี้

โดยเฉพาะเอเดลซึ่งได้เห็นว่าระหว่างที่พวกโกเลมจู่โจมเธอกับแม่นั้น พวกมันโผลขึ้นมาเฉยๆ

ตอนแรกเธอไม่เอะใจ คิดว่าคงเพราะมัวแต่ประมาทจึงไม่ทันรู้ตัวว่าพวกมันเข้าประชิดเมื่อไหร่ จนฮอรัสเอ่ยถึงประตูเชื่อมโลกขึ้นมานั่นเอง

ซึ่งมันก็คือรูปแบบเวทมนตร์ทรงพลังชนิดหนึ่งที่ใช้เคลื่อนย้ายตนเองและสิ่งของใกล้ๆ ให้ข้ามมิติไปยังพื้นที่เป้าหมายได้ในพริบตา เป็นเวทมนตร์ชั้นสูงที่มีประโยชน์และทรงพลังอย่างมาก แต่ก็ฝึกได้ยากยิ่ง รวมทั้งมีกฎหมายยุ่งยากมากมายในการใช้และฝึกมันจึงมีน้อยคนเท่านั้นที่ใช้ได้ ซึ่งหากคิดให้ดี ในเทรียลก็มีเพียงแค่พวกองครักษ์กับองค์ราชินีเท่านั้นที่ใช้มันได้

“เป็นไปไม่ได้หรอก ประตูเชื่อมโลกมันใช้ได้แค่กับตัวเองหรือไม่ก็สิ่งที่อยู่ใกล้ๆ” ไอน์ใช้มือแตะคางตัวเองเบาๆ ก่อนจะอธิบายข้อเท็จจริงที่นางรู้ในฐานะนักวิเคราะห์ ซึ่งแน่นอนว่าต้องศึกษารูปแบบและคุณสมบัติต่างๆ ของเวทมนต์แต่ละชนิดมาอย่างดีเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับนักผจญภัย รวมทั้งเพื่อใช้วิเคราะห์

แต่จากที่เธอรู้ ประตูเชื่อมโลกทุกแบบทั้งคาถาเวทมนตร์ไปจนถึงไอเทมใช้งาน พวกมันไม่สามารถเคลื่อนย้ายอะไรอย่างอสูรได้แน่

ทว่าแทนที่มันจะทำให้ฮอรัสเลิกคิดเรื่องนั้น มันกลับทำให้เขาเอียงคอแล้วมองกลับมายังเธอด้วยดวงตาสีนิลเรียบเฉย แต่ก็มองออกไม่ยากเลยว่าเขาไม่เชื่อสิ่งที่เธอพูด ทั้งที่มันคือข้อเท็จจริง แม้จะเป็นข้อเท็จจริงที่ตื้นเขินมากเหลือเกินเมื่อเทียบกับระดับความรู้ของโลกแห่งผู้ใช้มหาเวทที่แท้จริง

“ในสมรภูมิสุดท้าย ผู้สร้างใช้ประตูเชื่อมโลกเคลื่อนย้ายทหารหกพันคนกลับไปที่อารุ (Aaru) ได้เพียงแค่วาดมือ...” ฮอรัสกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีต เป็นการยกตัวอย่างขีดความสามารถของเวทมนตร์ที่เขาเคยประจักษ์เมื่อครั้งอาร์มุนและตัวเขาถูกตามล่า แม้จะสามารถฆ่าทหารทั้งหมดได้เพียงกระดิกนิ้วแต่มหามารดาแห่งปฐมเวทเพียงส่งทหารทุกคนกลับไปยังนครซึ่งปัจจุบันกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งของสภาเอกภาพ “ที่นี่มีผู้หญิงอีกคนที่มีพลังแบบผู้สร้าง”

เมื่อสิ้นเสียงเรียบของฮอรัสดังนั้นมันก็ทำให้ทุกคนในโถงถึงกับผงะไปในทันที

และโดยไม่มีใครเห็น ผู้หญิงคนที่ฮอรัสกล่าวถึงเองก็เผลอกระดกปลายคิ้วพร้อมกับยิ้มกว้างออกมาด้วยความใคร่รู้เพราะแม้แต่เธอเองก็ไม่คิดว่าอาร์มุนจะทำเช่นนั้นได้

“น่าสนใจ...” องค์ราชีนีเอ่ยเบาๆ กับตัวเองพอรู้ว่าวันนี้เธอเรียนรู้อะไรมากกว่าที่คิดเอาไว้มากมาย

ลำพังคำตอบที่รอจะได้เห็นมานานนั้นก็อาจมากพอแล้ว ไม่คิดว่าจะอยากรู้อะไรมากนี้จนกระทั่งไม่กี่อึดใจที่ผ่านมา มันปลุกให้ความโลภในปัญญาตื่นขึ้นมาจนควบคุมไม่ได้ เผลอวางแผนขั้นต่อไปขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวตามสัญชาตญาณเก่าแก่แห่งผู้ฉกชิงวิชา

แต่แล้วในชั่วขณะนั้นเอง ที่เสียงแตรยักษ์พลันดังสนั่นเป็นเสียงต่ำไล่จังหวะขึ้นไปให้ได้ยินทั่วกันทั้งหมู่บ้าน บ่งบอกการมาถึงของใครบางคน และเป็นใครบางคนที่ทำให้องค์ราชินีเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มกว้างกลายเป็นกัดฟัน ขมวดปมคิ้วแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

โดยเฉพาะตอนที่มิติลวงตาของนางเริ่มเกิดรอยร้าวไปทั่ว จวนเจียนจะแตกสลาย ความไม่พอใจก็ปนเปื้อน ถูกย้อมไปด้วยความประหวั่นพรั่นใจ เมื่อภาพของขบวนเสด็จขนาดใหญ่โตมหึมาปรากฏขึ้นพร้อมกับเงาของหนึ่งในชายผู้มีอำนาจกำหนดชะตาของโลกทั้งโลก และดูท่าเขาคงไม่ได้พอใจกับการได้เห็นมเหสีของตัวเองที่นี่เท่าไหร่นัก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด