ทีมบาสหัวใจนักสู้ ตอนที่ 35
ตอนที่ 35
หลังจากส่งมะระและเซียวฉงอวี๋ถึงหน้าประตูโรงเรียน โบกมืออำลาแล้ว หลี่หมิงเจิ้ง เย่อวี้เฉิงและอู๋ติ้งหวาจึงกลับไปพักดื่มชาที่ห้องผู้อำนวยการ
พอนั่งลง หลี่หมิงเจิ้งเผยให้เห็นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ “ไม่ใช่ว่าฉันอยากพูดนะ แต่...”
เย่อวี้เฉิงกับอู๋ติ้งหวายื่นมือออกมาพร้อมๆ กัน พูดอย่างรู้ทันว่า “พอแล้ว ฉันไม่อยากฟัง!”
หลี่หมิงเจิ้งไม่ได้ใส่ใจเสียงคัดค้านของเย่อวี้เฉิงกับอู๋ติงหวา จึงพูดต่อ “เหมือนที่ฉันคิดไว้ยังไงอย่างงั้น ในสมัยนั้นบรรณาธิการของ‘บาลเกตบอลโมเม้น’ ได้ดูฉันแข่งกับฉี่หนาน และความสามารถที่ยอดเยี่ยมของฉันก็ตราตรึงในใจเขา จากนั้นเขาก็กลายเป็นแฟนบอลของฉัน ถึงแม้ว่าจะผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว หัวใจที่รักในไอดอลของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป พอเห็นว่าผู้ช่วยโค้ชของกวงเป่ยชื่อหลี่หมิงเจิ้ง จึงอ้างว่าจะมาขอสัมภาษณ์เพื่อจะได้มาเจอฉัน” หลี่หมิงเจิ้งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
เย่อวี้เฉิงเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าตัวเองแล้วส่ายหน้า “พระเจ้า ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว นิสัยหลงตัวเองของแกยังไม่เปลี่ยนเลยสักนิด!”
อู๋ติ้งหวาใช้นิ้วชี้ อุดรูหูไว้ จนไม่ได้ยินเสียงอะไร
“นี่ไม่ใช่หลงตัวเองนะ มันเป็นเรื่องจริง เมื่อตะกี้แกไม่เห็นบรรณาธิการที่ชื่อมะระ ตอนส่งบอลกับปากกามาให้ฉันเซ็นนะ สายตาแห่งความศรัทธานี่เป็นประกายเชียว เขาตื่นเต้นจนมือสั่นไปหมด...”
ครั้งนี้เย่อวี้เฉิงฉลาดขึ้น เขาอุดหูตามอู๋ติ้งหวา รอหลี่หมิงเจิ้งพูดจบจึงเอาออก
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่ากวงเป่ยจะได้สัมภาษณ์เร็วขนาดนี้ ไม่รู้ว่าบทสัมภาษณ์จะได้ลงในนิตยสารเมื่อไหร่” สายตาอู๋ติ้งหวาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
หลี่หมิงเจิ้งจิบชาแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ถึงแม้ว่าบรรณาธิการคนนั้นจะเป็นแฟนบอลฉัน แต่ฉันคิดว่าบทความของกวงเป่ยจะไม่ลงในเร็ววันนี้หรอก”
อู๋ติ้งหวาสงสัย “ทำไม?”
หลี่หมิงเจิ้งอธิบาย “ถ้านิตยสารบาสเกตบอลเอ็นบีเอเล่มหนึ่ง เขียนเนื้อหาของเอ็นบีเอ จี ลีกกับผู้เล่นต่างประเทศ แกอยากจะอ่านไหม?”
อู๋ติ้งหวาส่ายหน้า “ไม่มีทาง”
“งั้นก็ถูกแล้วล่ะ วันนี้นิตยสารบาสเกตบอลไม่รายงานเนื้อหาของทีมเอ แต่กลับส่งรายงานทีมที่เพิ่มเข้าสมัครลีกซี ลีกที่ต่ำที่สุดของไต้หวัน และยังไม่เคยลงแข่งขันเลยสักครั้ง แกคิดว่าคนอ่านเขาจะคิดยังไง?”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วทำไมต้องมาสัมภาษณ์พวกเราด้วยล่ะ?” หลี่หมิงเจิ้งพูดไปแบบนี้ อู๋ติ้งหวายิ่งงงไปกันใหญ่
เย่อวี้เฉิงถอนใจ “ติ้งหวา หัวสมองแกอย่าเอาแต่คิดเรื่องบาสเกตบอลเรื่องเดียวเหมือนเมื่อก่อนได้ไหม พวกเขามาสัมภาษณ์ ก็แสดงว่ากวงเป่ยมีค่ามากพอที่จะรายงานแน่นอน นับจากหนึ่งถึงร้อย ถ้าเดือนหน้าเขียนกวงเป่ยลงในคอลัมป์นิตยสาร มูลค่าของกวงเป่ยสูงสุดก็ได้แค่สิบ แต่ถ้ากวงเป่ยได้แชมป์ลีกซีสำเร็จ เข้าสู่ลีกบี และได้แชมป์ของลีกบี เข้าสู่ลีกเอ และถ้าได้แข่งกับฉี่หนาน...”
“ในเวลาเดียวกันไม่ว่าจะหัวข้อพูดคุยหรือมูลค่าทั้งกวงเป่ยกับนิตยสาร‘บาลเกตบอลโมเม้น’ ก็จะสูงเป็นประวัติการณ์ทั้งนั้น” หลี่หมิงเจิ้งพูดต่อจากที่เย่อวี้เฉิงยังพูดไม่จบ
เย่อวี้เฉิงพยักหน้า “ใช่ ถูกต้อง”
หลี่หมิงเจิ้งยกมือขึ้นห้ามเย่อวี้เฉิงที่จะรินชาให้เขา “ไม่ดื่มละ ได้เวลาต้องกลับแล้ว ชุดกีฬาจะทำเสร็จก่อนวันเสาร์นี้ไหม?”
เย่อวี้เฉิงจิบชา “คนที่รับผิดชอบชุดกีฬาคือผู้ช่วยโค้ช ถึงแม้ว่าปกติเขาจะเป็นคนที่ดูขี้เกียจหน่อย แต่ทำงานจริงๆ งานก็ออกมาได้ไม่เลวนะ วันนี้ฉันจะหาเวลาเตือนเขาให้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ การแข่งขันลีกซีจะเริ่มแข่งก็อีกตั้งสองอาทิตย์โน้น แกรีบเอาชุดกีฬาไปนี่มีแผนการอะไรหรือเปล่า?”
“วันเสาร์ อาทิตย์ ฉันจะพาทีมไปแข่งขันที่สวนสาธารณะ” หลี่หมิงเจิ้งลุกขึ้นยืน “กลับก่อนละ”
อู๋ติ้งหวายังไม่ทันได้ถามว่าจะแข่งกับใคร หลี่หมิงเจิ้งก็เดินออกห้องไปซะแล้ว
ในเวลานั้นเสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะก็ดังขึ้น เย่อวี้เฉิงรับสาย “สวัสดีครับ ครับ สวัสดีครับท่านประธานหยาง วันนี้ท่านประธานว่างเหรอครับ? ได้ งั้นเดี๋ยวผมจะติดต่อกับผู้ปกครองคนนั้นให้ ได้เวลานัดที่แน่นอนแล้วจะแจ้งทางท่านประธานหยางทันทีครับ ได้ รบกวนท่านประธานหยางด้วยนะครับ”
“แกนัดกับรุ่นพี่เหรอ?” อู๋ติ้งหวาขมวดคิ้ว หลังจากที่เจอหยางเสียงอิงครั้งก่อน เขากับเย่อวี้เฉิงจะเรียกหยางเสียงอิงว่ารุ่นพี่
“ใช่ แกก็ต้องไปด้วย” เย่อวี้เฉิงพูดไป พลางกดเบอร์โทรออก “ฮัลโหล ไม่ทราบว่าใช่คุณหวางไหมครับ?”
“พี่มะระ ตอนนี้พี่รู้สึกยังไง?” ขณะขับรถกลับสำนักงาน เซียวฉงอวี๋คิดถึงตอนที่มะระถือบอลกับปากกาไปให้หลี่หมิงเจิ้งเซ็น สีหน้าที่รู้สึกศรัทธาและตื่นเต้น ช่างแตกต่างกับเวลาปกติที่อยู่สำนักงาน จนทุกคนเห็นว่าเขาเป็นคนที่เข้าหายากที่สุด พี่มะระที่ทำหน้าบึ้งทั้งวันแต่แท้จริงแล้วเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสองขั้ว
“อยากนอน” มะระที่นั่งอยู่ข้างคนขับปรับเบาะลง แถมยังหยิบผ้าปิดตาขึ้นปิดตาทำเหมือนว่าจะหลับ บอกเป็นนัยให้รู้ว่าอย่ารบกวนฉัน
“น่าเสียดายที่ยี่สิบกว่าปีที่แล้วคนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจบาสเกตบอลระดับมัธยมปลายกันเท่าไหร่ ดังนั้นนอกจากรอบชิงชนะเลิศแล้ว จึงไม่มีวีดีโอหรือรูปภาพเก็บไว้เลย ไม่งั้นผมก็อยากดูการเล่นบอลของหลี่หมิงเจิ้งในสมัยนั้นเหมือนกัน” เซียวฉงอวี๋เบาเสียงวิทยุลง ให้มะระพักผ่อนได้สบายขึ้น
มะระไม่พูดอะไร ขณะที่เซียวฉงอวี๋คิดว่ามะระหลับไปแล้ว มะระจึงเอ่ยขึ้น “ตอนที่ดูการแข่งขัน ฉันคิดว่ากีฬาบาสเกตบอลของไต้หวันมีสัตว์ประหลาดโผล่ออกมา ความรู้สึกตอนนั้นนายไม่มีทางจิตนาการได้หรอก ดังนั้นตอนที่ฉันเห็นเขา และรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเขายังทำงานอยู่กับบาสเกตบอล ฉันรู้สึกตื้นตันใจมาก
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันปฏิเสธคนที่บอกว่าหลี่หมิงเจิ้งสูญหายไปจากโลกของบาสเกตบอลแล้ว แต่ถึงแม้ว่าฉันจะเข้ามาทำงานที่สำนักงานนิตยสาร นอกจากข่าวที่มีมาเป็นระยะๆ แล้ว หลี่หมิงเจิ้งเหมือนกับความฝันอันสวยงามของฉัน ที่พอตื่นมาแล้ว มันกลับหายไป”
แม้ว่าบนหน้ายังปิดผ้าปิดตาอยู่ มะระก็ยังจุดบุหรี่ได้อย่างชำนาญ ดูดเข้าไปจากนั้นก็พ่นควันออกมา “โชคดี โชคดีจริงๆ เขากลับมาแล้ว แต่ความฝันอันสวยงามนี้ยังไม่จบ”
“พี่มะระ พี่หมายถึงหลี่กวงเย่าใช่ไหม?” ไม่บ่อยนักที่จะได้ยินมะระพูดความรู้สึกในใจออกมา จู่ๆ เซียวฉงอวี๋ก็รู้สึกเหมือนพี่มะระที่อยู่ข้างเขาหาของที่หายไปนานจนเจอ เขากลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
มะระเงียบไป เพราะปิดผ้าปิดตาอยู่ ดังนั้นเซียวฉงอวี๋จึงไม่เห็นสีหน้าของมะระ
ผ่านไปสักพัก มะระจึงเอาบุหรี่ยัดใส่ในขวดที่ยังเหลือน้ำอยู่ก้นขวดแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ไอ้น้อง ในเมื่อฉันรับในส่วนของบาสเกตบอลมัธยมปลายแล้ว นายเตรียมใจไว้เลย หลังจากนี้จะยุ่งมาก!”
เซียวฉงอวี๋ตอบด้วยเสียงดังฟังชัด “ครับ พี่มะระ!”
ในห้องม.4/5 หลี่กวงเย่าหยิบแฮมเบอเกอร์กับนมขึ้นมากิน บนโต๊ะเขายังมีอาหารเช้าที่สามารถกินได้ถึงสามคนวางอยู่
“ไมค์ ถ้านายอยากกินมาหยิบได้นะ” หลี่กวงเย่าพูดกับไมค์อย่างใจดี
“ฉันเพิ่งกินอิ่ม ขอบใจ” ไมค์มองอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะหลี่กวงเย่า และยังทั้งมือและปากที่ไม่หยุดนั้น จึงถามขึ้น “ท้องนายเป็นหลุ่มดำใช่ไหมเนี่ย?”
หลี่กวงเย่าหัวเราะจนเกือบจะพ่นอาหารที่อยู่ในปากออกมา “ไม่ใช่ แต่ไม่ควรจะกินทิ้งกินขว้าง อีกอย่างนี้เป็นน้ำใจของคนอื่นเขาด้วย ดังนั้นต้องกินให้หมด”
“จดหมายรักพวกนั้น นายไม่ดูเหรอ?” ไมค์มองดูจดหมายรักที่ถูกหลี่กวงเย่ายัดใส่ในลิ้นชัก จึงเอ่ยถามอย่างเขินๆ
ไมค์ไม่เคยได้จดหมายรักมาก่อน ดังนั้นตอนที่เขากับหลี่กวงเย่าซ้อมบอลเสร็จแล้วเดินกลับห้องเรียน มีจดหมายรักหลายฉบับและอาหารเช้าอีกหลายถุงวางอยู่บนโต๊ะหลี่กวงเย่า เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าหลี่กวงเย่าซะอีก
“เดี๋ยวค่อยดู ยังไงมันก็เขียนคล้ายๆ กันอยู่แล้ว ไม่รีบ” หลี่กวงเย่าตั้งใจกินอาหารเช้าต่อ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องจดหมายรักเลยสักนิด
“แต่นั้นคือความตั้งใจของพวกเขานะ”
“งั้นนายก็ช่วยฉันดูละกัน” หลี่กวงเย่าล้วงลิ้นชัก หยิบจดหมายทั้งหมดออกมา และส่งให้ไมค์
ไมค์รีบโบกมือปฏิเสธอย่างตื่นเต้น “ไม่ต้องหรอก เขาเขียนให้นาย ไม่ใช่ฉัน”
หลี่กวงเย่าหัวเราะและยัดจดหมายใส่ในลิ้นชัก จากนั้นเหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ จึงหยิบถุงอาหารเช้าถุงหนึ่ง เดินไปที่ด้านข้างหวังจงจวิน แล้ววางถุงอาหารเช้าบนโต๊ะเขา
หวังจงจวินขมวดคิ้ว “อะไร?”
หลี่กวงเย่าตบท้องแล้วพูด “ฉันคนเดียวกินอาหารเช้าตั้งเยอะแยะไม่หมดหรอก ช่วยฉันกินหน่อย”
หวังจงจวินส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันไม่เอา”
หลี่กวงเย่าไม่ได้มีเจตนาจะเอาอาหารเช้ากลับไป “มือชู้ตผอมหน่อยความคล่องตัวจะค่อนข้างสูง แต่นายผอมเกินไป”
หวังจงจวินถอนหายใจ “นายเคยบอก ว่านายจะไม่พูดเกี่ยวกับ...”
หลี่กวงเย่าตัดบทซะก่อน “ตอนนี้ฉันไม่ได้พูดเกี่ยวกับทีมบาสเกตบอลสักหน่อย ฉันแค่คุยกับนายเรื่องบาสเกตบอลเฉยๆ” หลี่กวงเย่ายิ้ม “ค่อยๆ กินนะ ฉันต้องกลับไปจัดการกับอาหารเช้าที่เหลือต่อ”
หลี่กวงเย่ากลับมาที่นั่งของตนเอง จากนั้นก็กินอาหารเช้าต่อ และไมค์ก็ลากเก้าอี้เข้ามาข้างๆ หลี่กวงเย่า พูดเสียงเบาว่า “นายเป็นเพื่อนกับเขาเหรอ?”
หลี่กวงเย่ายักไหล่ “ไม่มั่นใจนะ ทำไมเหรอ?”
ก่อนไมค์จะพูด เขาเหลือบมองหวังจงจวิน มองดูว่าหวังจงจวินไม่ได้มองเขา จึงใช้มือป้องหูหลี่กวงเย่า กระซิบไปว่า “เพราะฉันเห็นว่า นอกจากนายแล้ว ในห้องเรียนไม่มีใครเข้าไปทักหวังจงจวินก่อนเลย เขามักจะอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะคนเดียว และก็ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะทำอะไร คนอื่นคุยกันเขาก็ไม่คิดจะเข้าไปคุยด้วย”
หลี่กวงเย่ายักไหล่ขึ้นอีกครั้ง “เขาไม่ค่อยเหมือนคนอื่นจริงๆ แต่เขาก็น่าสนใจมากนะ”
ไมค์ทำหน้างงงวย เพราะเขามองไม่ออกว่าหวังจงจวินน่าสนใจตรงไหน “จริงเหรอ?”
หลี่กวงเย่ามองปฏิกิริยาของไมค์แล้วหัวเราะ เวลานั้นห้องที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุย จู่ๆ ก็เงียบลงทันที เพราะมีนักเรียนหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา
นักเรียนหญิงที่สวย สวยมากๆ คนหนึ่ง
นักเรียนหญิงคนนั้นเดินตรงมาหาหลี่กวงเย่า สายตาของทุกคนในห้องม.4/5มองตามร่างเธอไป
ไมค์เห็นนักเรียนหญิงที่เดินเข้ามาในห้องเรียน จึงบอกหลี่กวงเย่าไปว่า “เซี่ยน่าห้องม.4/7 เป็นลูกครึ่งคนเดียวในโรงเรียน ถึงแม้จะอยู่แค่ม.4 แต่ก็ถูกทุกคนยกให้เธอเป็นดาวโรงเรียน” หลี่กวงเย่าพยักหน้าให้รู้ว่าเข้าใจแล้ว
ในวินาทีต่อมาเซี่ยน่าก็เดินมาถึงด้านหน้าหลี่กวงเย่า ยื่นมือไปข้างหน้า หลี่กวงเย่าเคี้ยวแฮมเบอร์เกอร์ พูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ “มีอะไรหรือเปล่า?”
“จดหมายของเสี่ยวจวิน นายดูหรือยัง?” เซี่ยน่าถาม
“ถ้าเธอหมายถึงจดหมายพวกนี้ ยัง” หลี่กวงเย่าหยิบจดหมายในลิ้นชักออกมาวางบนโต๊ะ
เซี่ยน่าขมวดคิ้ว “นายมีเวลากินข้าวเช้า แต่ไม่มีเวลาดูจดหมายพวกนี้เหรอ?”
“ฉันเพิ่งซ้อมบอลเสร็จ หิวมาก ก็เลยต้องกินข้าวเช้าก่อนสิ เดี๋ยวค่อยดู”หลี่กวงเย่ายัดจดหมายลงไปในลิ้นชักอีกครั้ง
ดูจากการกระทำของหลี่กวงเย่าแล้ว เซี่ยน่าพูดประโยคที่ทุกคนฟังไม่เข้าใจ “Arschloch!” พูดเสร็จหมุนตัวจะเดินออกไป แต่คำพูดที่ตอบกลับไปทำให้เธอต้องชะงักเท้า
“Ich weiß, was du sagst”
เซี่ยน่าหันกลับมามองอย่างตกใจ หลี่กวงเย่าพอใจกับสีหน้าที่ตกใจของเซี่ยน่า “เธอคงเป็นลูกครึ่งไต้หวัน เยอรมันใช่ไหม ตอนเด็กฉันเคยอยู่เยอรมันพักหนึ่ง เลยเข้าใจภาษาเยอรมันอยู่บ้าง”
เซี่ยน่าอุทาน อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด จากนั้นก็เดินออกไปด้วยท่าทางโกรธ
หลังจากที่เซี่ยน่าออกจากห้องเรียนไปแล้ว ไมค์ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “เมื่อตะกี้นายพูดอะไรกับเธอเหรอ?”
“เธอด่าฉันว่า สารเลว ฉันเลยตอบกลับไปว่าฉันฟังรู้เรื่อง” หลี่กวงเย่าตอบแบบยิ้มๆ จัดการกับแฮมเบอเกอร์อันสุดท้ายเสร็จ หลี่กวงเย่าหยิบจดหมายจากลิ้นชักออกมา เลือกชื่อเสี่ยวจวิน จดหมายพับเป็นรูปหัวใจสีชมพู เปิดออกแล้วอ่านจบอย่างรวดเร็ว
“อืม เขียนก็ธรรมดานี่ ไมค์ นายมีกระดาษเปล่าไหม ฉันขอสองแผ่น”
“ต้องตอบจดหมายตั้งหลายฉบับ สองแผ่นพอเหรอ?” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ไมค์ก็ยังฉีกสมุดบันทึกให้หลี่กวงเย่าแค่สองแผ่นอยู่ดี
“พอๆ”หลี่กวงเย่าหยิบปากกา “เลิกเรียนคาบต่อไป ส่งไปที่ห้องม.4/7 ให้ฉันหน่อย”
หลังจากฝึกซ้อมช่วงเช้าเสร็จ หลี่หมิงเจิ้งกลับถึงบ้าน อาบน้ำให้สบายตัวแล้วจึงมานั่งกินข้าวเช้าที่ภรรยายกมาให้ที่โต๊ะอาหาร
“วันนี้สำนักงานนิตยสารมาสัมภาษณ์แล้วเป็นยังไงบ้างคะ?” หลินเหม่ยอวี้มองดูหลี่หมิงเจิ้งกินโจ๊กหมูสับไข่เยี่ยวม้าที่ทำให้หมดอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเผยท่าทีที่พออกพอใจอีกด้วย จึงรู้สึกอิ่มเอมใจ หล่อนรินกาแฟร้อนให้หลี่หมิงเจิ้งแก้วหนึ่ง แล้วจึงไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับหลี่หมิงเจิ้ง
“ไม่เลว บรรณาธิการที่มาสัมภาษณ์เป็นคนมีฝีมือ และบรรณาธิการคนนั้นยังเป็นแฟนบอลของผมด้วยนะ สัมภาษณ์เสร็จเอาบอลมาให้ผมเซ็นด้วยแหละ” หลี่หมิงเจิ้งเล่าเนื้อหาและสิ่งที่เกิดขึ้นขณะที่สัมภาษณ์เมื่อเช้าวันนี้อย่างภาคภูมิใจ หลินเหม่ยอวี้ฟังอย่างสนุก
หลี่หมิงเจิ้งดื่มกาแฟ พยักหน้าอย่างพอใจ “หลังจากได้ดื่มกาแฟที่ที่รักชงให้แล้ว กาแฟร้านอื่นนี่เทียบไม่ได้เลย”
“หลี่หมิงเจิ้ง คุณไปทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีมาหรือเปล่า ทำไมถึงพูดหวานแบบนี้” ถึงแม้ว่าหลินเหม่ยอวี้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“จะเป็นไปได้ไง กาแฟแก้วนี้อร่อยอย่างที่บอกจริงๆ”
หลินเหม่ยอวี้ดีใจจึงเดินไปที่ด้านหลังหลี่หมิงเจิ้ง นวดไหล่ให้เขา “เหนื่อยไหมคะ ขึ้นไปนอนพักก่อนไหม?”
หลี่หมิงเจิ้งดึงมือของหลินเหม่ยอวี้มาที่หน้าอกตนเอง แล้วจับมือไว้แน่น “ไม่ละ ผมไม่เหนื่อย ที่รัก เสาร์อาทิตย์นี้ผมจะพาทีมบาสเกตบอลไปแข่งกระชับมิตรกับเพื่อนๆ ที่สวนสาธารณะนะ คงพาคุณออกไปข้างนอกไม่ได้แล้วล่ะ”
หลินเหม่ยอวี้ซบที่ไหล่ของหลี่หมิงเจิ้ง ถอนหายใจ “ไปเถอะ ฉันชินแล้วล่ะ สองพ่อลูกนี่เหมือนกันจริงๆ พอได้จับบาสเกตบอลแล้ว อะไรก็ไม่สนใจทั้งนั้น เหมือนบาสเกตบอลเป็นภรรยาของคุณอย่างงั้นแหละ”
ได้กลิ่นของความหึงหวง หลี่หมิงเจิ้งรีบอธิบาย “ที่รัก...”
หลินเหม่ยอวี้เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของหลี่หมิงเจิ้ง จึงหัวเราะออกมา “ฉันล้อคุณเล่น ถ้าไม่ใช่บาสเกตบอล ตอนนั้นฉันกับคุณคงไม่ได้เจอกันที่อเมริกาหรอก”
“ถูก บาสเกตบอลไม่ใช่ภรรยาอีกคนของผม มันเป็นเชือกที่ผูกให้เราอยู่ด้วยกัน” พูดจบ หลี่หมิงเจิ้งก็จูบที่มือของหลินเหม่ยอวี้เบาๆ
……………………………………………………………………