ตอนที่แล้วตอนที่ 16 พิธีชำระวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 18 ความหมายที่ยังต้องมีชีวิต

ตอนที่ 17 เบาะแสที่รวมเป็นหนึ่ง


ตอนที่ 17

เบาะแสที่รวมเป็นหนึ่ง

ห้องประชุมใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ของกองปราบวิญญาณเต็มไปด้วยความตึงเครียด จากการรายงานของหัวหน้าหน่วย K-2 ผู้อยู่ในสถานการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ เหตุการณ์เมื่อคืนนี้ที่ ‘คน’ สามารถปล่อยคลื่นวิญญาณสีดำดูดพลังชีวิตผู้คนเหมือนดิคเคนส์ได้นั้น เป็นสถานการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นมาก่อนเลย

และข้อมูลจากตัวแทนของหน่วยข่าวกรอง ที่ได้ข้อมูลตัวตนจากยูทากะสังกัดหน่วย K-1 ทำให้สามารถตรวจสอบประวัติความเป็นมาของหญิงสาวคนนี้ได้ว่า เฟย์นะ เป็นลูกบุญธรรมของนักปราบปรามคนหนึ่ง เขาและภรรยาที่ไม่มีลูกรับเด็กหญิงปริศนาที่บันทึกไว้ว่าถูกทิ้งไว้ที่หน้าบ้านโดยไม่ทราบพ่อแม่ที่แท้จริงมาอุปถัมภ์ดูแลต่อ ภรรยาของเขาเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ปัจจุบันก็อาศัยอยู่กับบุตรสาวบุญธรรมซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่สถาบันกองปราบปรามแห่งชาติชั้นปีที่สอง

เฟย์นะ เป็นเพื่อนร่วมชั้นปีกับยูคิฮารุ เคนเซย์ และเป็นรุ่นน้องของยูทากะผู้ให้ข้อมูล ตลอดระยะเวลาที่เห็นกันในสถาบันกองปราบ เฟย์นะไม่เคยแสดงพลังหรือแม้แต่วี่แววที่จะมีกลิ่นอายคลื่นพลังวิญญาณสีดำแบบนี้เลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เดียวกันชื่อ ทิม ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มของเฟย์นะ เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สองของสถาบันกองปราบเช่นกัน และหญิงสาวพนักงานออฟฟิศอีกหนึ่งคนซึ่งแม้จะทราบชื่อแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถหาความเชื่อมโยงกันได้

เหตุการณ์ที่มีคนปกติเสียชีวิตด้วยทำให้กองปราบวิญญาณต้องทำงานร่วมกับกองปราบปรามฝ่ายคนปกติ โดยคนวงในจะเรียกฝ่ายไล่ล่าวิญญาณว่ากองปราบวิญญาณ เรียกฝ่ายคนธรรมดาว่ากองปราบปราม ซึ่งผู้บัญชาการสูงสุดของกองปราบปรามแห่งชาติฝ่ายมนุษย์ทั่วไปนี้ก็คือ ยูคิฮารุ เคนอิจิ บิดาของยูคิฮารุ เคนเซย์นั่นเอง

“จากเหตุการณ์เมื่อคืน มีคนธรรมดาในละแวกนั้นได้รับผลกระทบและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลไป 72 ราย ทางกองปราบปรามฯ ประกาศต่อสื่อสาธารณะว่าเป็นคดีของผู้ก่อการร้ายที่วางระเบิดแก๊สพิษไว้”

ข้อมูลจากยูคิฮารุคนพ่อถูกแบ่งปันแบ่งปันต่อในที่ประชุม เป็นการคลี่คลายสถานการณ์เบื้องต้นเพื่อไม่ให้ผู้คนทั่วไปรับรู้ถึงการมีอยู่ของกองปราบวิญญาณ

“แล้วตอนนี้ผู้ต้องสงสัยอยู่ที่ไหนครับท่าน ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกองปราบปรามตามที่นำเสนอในข่าวไป”

หัวหน้าหน่วย K-1 เป็นผู้ถามคำถามนี้ขึ้น แม้ว่าเฟย์นะจะต้องอยู่ในความดูแลของกองปราบปรามตามความเหมาะสมไปก่อน แต่ทางกองปราบวิญญาณก็ต้องการตัวหญิงสาวคนนั้นเพื่อหาข้อมูลมากพอกัน

“คุณเฟย์นะกำลังพักฟื้นตัวอยู่ในตระกูลยูคิฮารุ ลูกชายของผมทำพิธีชำระวิญญาณให้เธอแบบฉุกละหุก แม้ทุกอย่างจะผ่านพ้นมาด้วยดีอย่างหวุดหวิดจนควบคุมสถานการณ์ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงชนิดขั้วตรงข้ามของพลังวิญญาณแบบกะทันหัน ทำให้คุณเฟย์นะต้องซึมซับสายพลังวิญญาณของตระกูลยูคิฮารุให้ได้มากที่สุดเพื่อการฟื้นตัวอย่างปลอดภัย เมื่อลูกชายของผมทำพิธีนั้นให้เธอแล้วเธอก็ถือเป็นคนภายในตระกูลของเรา เราต้องดูแลเธอให้ดีที่สุด และแน่นอนว่าหากเธอมีความผิดจริง เราก็จะต้องลงโทษเธอตามกฎหมายบ้านเมืองและกฎของโลกวิญญาณเช่นกัน”

เคนอิจิตอบกลับ แม้ทางกองปราบวิญญาณจะต้องการตัวผู้ต้องสงสัยมาดูแลเองมากเท่าใด แต่ด้วยเหตุผลทุกช่องทางการปล่อยให้เฟย์นะอยู่ในความดูแลของตระกูลยูคิฮารุ น่าจะเป็นหนทางที่จะทำให้หญิงสาวฟื้นตัวเร็วที่สุดจริงๆ

“ถ้าเช่นนั้นแล้วหากคุณเฟย์นะฟื้นเมื่อไร ทางเราก็คงต้องขออนุญาตเข้าไปสอบปากคำตามกฎนะครับ”

ผู้บัญชาการกองปราบวิญญาณบอกกล่าวต่อผู้นำอีกฝ่ายไว้ล่วงหน้า และได้รับการตอบตกลงตามกฎไป

แม้จะมีข้อสันนิษฐานต่างๆ นานาว่าแท้จริงแล้วหญิงสาวที่ชื่อเฟย์นะเป็นใครมาจากไหนกันแน่ และการมีพลังวิญญาณสีดำแบบนี้ เธอจะมีความเชื่อมโยงกับคนร้ายผมสีทองซึ่งมีความสามารถในการปล่อยดิคเคนส์ประดิษฐ์หรือไม่ แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อต้องรอให้เฟย์นะฟื้นขึ้นมาก่อนถึงจะตรวจสอบข้อมูลขั้นต่อไปได้ การประชุมก็ทำท่าจะสิ้นสุดลง

ฟุบ... ในตอนนั้นเองที่อยู่ๆ ร่างของคนสองคนก็ปรากฏขึ้น

เฮคเตอร์พาโซอีหายตัวเข้ามาภายในห้องประชุม และทุกสายตาก็จ้องมองไปยังหญิงสาวตัวเล็กในทันที

ฟอแกนด์หันไปมองลูกน้องในหน่วยอย่างมีคำถามในทันทีว่ามาที่นี่ทำไม เพราะทั้งสองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อคืนนี้เลย

“เอ่อ...ดูเหมือนว่าโซอีมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่จะบอกกับทุกคนนะครับ” เฮคเตอร์กล่าวขึ้นท่ามกลางสายตาสงสัยของผู้คนนับสิบทั่วห้อง

“คุณผู้หญิงคนนี้คือคุณโซอี ชามิลเลียร์ ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์เมื่อสิบเก้าปีก่อน เธออาจจะดูเหมือนเด็กแต่ที่จริงอายุยี่สิบหกแล้วครับ ตอนนี้เธออยู่ในความดูแลของเรา จนกว่าคดีไล่ล่านักสะกดวิญญาณทั่วโลกจะคลี่คลาย” ผู้บัญชาการกองปราบวิญญาณเอ่ยแนะนำตัวหญิงสาวขึ้น แม้หลายคนในนี้จะรู้จักโซอีอยู่แล้วก็ตาม

“ต้องขออภัยที่มาขัดจังหวะการประชุมนะคะ แต่ฉันมีเรื่องสำคัญที่จะแจ้งให้ทุกคนในกองปราบวิญญาณได้ทราบ เผื่อว่ามันจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ค่ะ”

โซอีเอ่ยขึ้นต่อหน้าบุรุษทุกเพศทุกวัยในห้องอย่างไม่กลัวเกรง แล้วก็เป็นชาเกลที่ลุกขึ้นเพื่อให้หญิงสาวตัวเล็กได้มานั่งแทนที่ตัวเอง ก่อนที่เขาจะไปยืนรวมอยู่ข้างหลังเก้าอี้ตัวนั้นกับเฮคเตอร์

“เชิญว่ามาเลยครับ” ผู้บัญชาการสูงสุดของกองปราบวิญญาณเป็นผู้เชิญให้โซอีเริ่มต้น

“ทุกท่านคงพอทราบแล้วว่า ฉันกลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะถูกรับตัวมาดูแลชั่วคราว จนกว่าคดีไล่ล่านักสะกดวิญญาณจะคลี่คลาย แล้วฉันจำเหตุการณ์เมื่อสิบเก้าปีก่อนไม่ได้เลย”

แม้น้ำเสียงจะแหลมเล็กเป็นเด็กเจ็ดขวบ แต่ลักษณะการใช้คำพูดและความชัดถ้อยชัดคำบ่งบอกให้กับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับโซอีได้เป็นอย่างดีว่า เธอไม่ใช่เด็กเจ็ดขวบแบบที่ตาเห็นอย่างแท้จริง

“แต่จากการไปสำรวจที่คฤหาสน์ชามันด์แล้วทำให้เกิดเหตุปะทะกันวุ่นวายก่อนหน้านี้ มันทำให้ฉันพอจะนึกอะไรบางอย่างออกแล้วค่ะ”

ประโยคนี้สร้างเสียงฮือฮาและความตื่นเต้นให้กับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเฮคเตอร์ที่คาดไม่ถึงว่าอยู่ๆ โซอีจะพูดมันออกมาด้วยตัวเองแบบนี้

“สิบเก้าปีก่อนฉันอาศัยอยู่ที่ตระกูลชามันด์ วันที่เกิดเหตุวันนั้นฉันไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง รู้ตัวอีกทีรอบตัวฉันก็เต็มไปด้วยศพมากมายของทุกคน ฉันถือมีดอยู่ในมือ ฉันคงจะเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดนั้นค่ะ แต่ว่า...”

ในขณะที่ทุกคนกำลังอ้าปากค้างกับคำสารภาพแสนเรียบง่าย ประโยคหลังจากคำว่าแต่ของหญิงสาวตัวเล็กก็เสริมสมมุติฐานของใครหลายคนให้กลายเป็นความจริงขึ้นมา

“ฉันถูกสิงค่ะ เฮคเตอร์เคยบอกแบบนั้น พวกคุณคงเรียกกรณีของฉันว่าแบบนั้นใช่มั้ยคะ”

“ตามความน่าจะเป็นก็คงเป็นแบบนั้น การถูกสิงสู่จากพลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่ามากๆ จะรีดเร้นพลังชีวิตของผู้ถูกสิงให้มีศักยภาพที่จะทำสิ่งต่างๆ เกินตัวและเกินวัยได้มากมาย”

ฟอแกนด์ตอกย้ำคำพูดของโซอี ในที่สุดสิ่งที่เขาสงสัยมาทั้งหมดก็เป็นจริง แต่เพราะในอดีตคดีนี้เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของผู้คนมากมายจริงๆ และโซอีก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะให้ปากคำอะไรได้ มิหนำซ้ำการจะโยนความผิดให้เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบ โดยการอ้างเรื่องถูกวิญญาณร้ายสิงก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะเป็นที่เปิดเผยหรือยอมรับในต่อสาธารณะชน ทั้งกองปราบวิญญาณและกองปราบปรามทั่วไปจึงไม่สามารถทำอะไรต่อได้ จนต้องปล่อยตัวโซอีซึ่งอยู่ในฐานะเหยื่อผู้เสียหายไป

“ค่ะ แล้วหากเหตุการณ์ที่คฤหาสน์ชามันด์เชื่อมโยงกับการหายไปของต้นไวท์แอชจริงๆ ฉันก็เชื่อว่าวิญญาณที่สิงฉัน คือวิญญาณของต้นไม้โบราณนั่นที่ถูกคลายสะกดออกมา ภาพของเขาติดอยู่ในหัวฉันแวบหนึ่งก่อนจะหมดสติไป มันอาจจะเป็นตอนที่เขาออกจากการสิงร่างของฉันไป ฉันเห็นแค่ด้านหลังแต่จำได้ว่าเป็นผู้ชายผมสีทองแน่นอน”

“หมายถึงว่าเจ้านั่นน่าจะเป็นคนเดียวกับคนร้ายผมสีทอง ที่ก่อเรื่องวุ่นวายในตอนนี้และพยายามมาเอาตัวคุณไปงั้นเหรอครับ” ชาเกลที่ยืนอยู่ด้านหลังถามขึ้นมา

“ฉันไม่ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นนะคะ เพราะสิบเก้าปีก่อนฉันไม่เห็นหน้าของเขาชัดๆ ก็เลยอาจจะยืนยันไม่ได้ขนาดนั้น แต่ภาพผู้ชายผมสีทองที่เห็นจากด้านหลัง มันเป็นภาพติดตาสุดท้ายของฉันก่อนที่ทุกอย่างจะมืดมนไปหมด และเพราะถูกสิง ถูกรีดพลังงานชีวิตแบบนั้นตามที่คุณฟอแกนด์บอกไว้เมื่อกี้ มันคงทำให้เกิดอะไรบางอย่างขึ้นกับร่างกายของฉันด้วย ฉันถึงได้มีสภาพอย่างเท่าที่เห็นแบบนี้ แล้วความทรงจำทุกอย่างก็หายไปหมดจนกระทั่งได้ลองไปที่นั่นใหม่อีกครั้ง สิ่งที่ฉันเริ่มจำได้มันอาจจะยังไม่ชัดเจนกระจ่างทุกเรื่องขนาดนั้น แต่ภาพติดตาของผู้ชายผมสีทองนั้นก็กลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ฉันมั่นใจว่านั่นน่าจะเป็นวิญญาณที่สิงฉันแน่นอนค่ะ เพราะว่า...”

โซอีสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกใหญ่ เม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมา

“เพราะดูเหมือนว่าในตอนนั้น รอบๆ บริเวณนั้น เหมือนจะไม่มีคนเป็นๆ ที่ยังมีชีวิตเดินไปเดินมาอีกแล้ว”

ห้องเงียบขึ้นมาชั่วอึดใจ ท่าทางของโซอีที่พูดไปพร้อมกับกุมมือตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะประชุมไว้แน่นจนสั่น ทำเอาไม่มีใครกล้าซักไซ้ต่อเลยทีเดียว เฮคเตอร์ที่แกะผ้าปิดตาออกเดินมาจับศีรษะของหญิงสาวตัวเล็กไว้ แล้วก้มลงบอกกับโซอีที่ข้างหู

“ถ้าไม่ไหวแล้วก็พอก่อน อย่าฝืนอีกเลย”

“ฉันไม่เป็นไร ถ้ามัวแต่หนีแล้วเก็บงำไว้ทุกคนก็ตามหาคนร้ายไม่ได้สักที ถ้ามันพอเป็นประโยชน์กับคดี ฉันก็จะพยายามรื้อฟื้นมันให้ได้มากที่สุด” โซอีตอบกลับ แม้จะเป็นเสียงของเด็กที่ยังดูสั่นๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกแน่วแน่จนน่านับถือ

“คุณโซอี คุณคงจำผมไม่ได้ แต่สิบเก้าปีก่อนผมเป็นแพทย์วิญญาณที่คอยดูอาการของคุณหลังเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น” อยู่ๆ ชายวัยราวห้าสิบเศษผู้เป็นหัวหน้าแผนกแพทย์วิญญาณก็เอ่ยขึ้นมา

โซอีหันไปมองเขาด้วยความพยายามรื้อค้นความทรงจำ แต่ดูเหมือนมันจะยังว่างเปล่าเหมือนเดิม

“ขอโทษนะคะ ฉันจำคุณหมอไม่ได้เลย”

“ไม่เป็นไรๆ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร ต่อให้ไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้น คนเราก็ใช่ว่าจะจำเรื่องในวัยเด็กขนาดนั้นได้ทุกอย่างกันทุกคนหรอก แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่น่าจะจำกันได้มากกว่า ผมแค่สงสัยว่าถ้าหากคุณโซอีได้กลับไปสำรวจสถานที่ในอดีตอีกครั้ง คิดว่าจะนึกรายละเอียดอย่างอื่นออกมากไปกว่านี้หรือเปล่า”

“เท่านี้ผมก็คิดว่าเราน่าจะได้ข้อมูลมากเพียงพอแล้วนะครับ โปรดคำนึงถึงการใช้ชีวิตต่อจากนี้ไปของเธอด้วย”

เฮคเตอร์แย้งขึ้นทันที ทุกคนในนี้ยังไม่รู้เหมือนที่เขารู้ เขาพอเข้าใจว่าทุกอย่างมันคือการสืบสวน แต่ได้คืบแล้วจะเอาศอกทันทีแบบนี้มันก็มากเกินไป

“เรานึกถึงเรื่องนั้นอยู่แล้วคุณเฮคเตอร์ ถึงต้องถามก่อนนี่ไง สิบเก้าปีก่อนเธอถูกตัดสินว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไปแล้วก็จริง แต่การที่นึกย้อนหาข้อมูลอะไรได้เพิ่มก็จะเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ของเธอด้วย”

“เธอถูกสิงนะครับ!” เฮคเตอร์เผลอขึ้นเสียงอย่างลืมตัว จนเมื่อถูกชาเกลมาแตะไหล่ชายหนุ่มจึงได้สติรู้ตัวและเบาโทนเสียงของตัวเองเอง

“โซอีเองก็เป็นผู้เสียหาย ชีวิตเธอต้องลำบากแค่ไหนที่ร่างกายกลายมาเป็นแบบนี้ ถ้าโซอีทำเองจริงๆ เธอจะเอาเรื่องนี้มาบอกทุกคนให้ตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัยทำไม ไม่มีอะไรที่ต้องยืนยันความบริสุทธิ์ของเธอทั้งนั้น เราแค่ต้องตามล่าวิญญาณนั่นที่ทำให้เรื่องทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้”

“เฮคเตอร์ เราเข้าใจเรื่องที่นายพูด แต่บางอย่างก็แค่ต้องพูดไปตามกระบวนการกฎหมายเท่านั้น” ฟอแกนด์ตัดเตือนลูกน้อง จนท้ายเฮคเตอร์ก็ถอนใจเฮือกใหญ่และกล่าวขอโทษที่เสียมารยาท

โซอีจ้องมองเฮคเตอร์ รู้สึกขอบคุณขึ้นมาที่เขาพยายามเถียงเพื่อเธอแบบนั้น แต่ก็นั่นแหละ...เธอรู้ซึ้งอย่างดีแล้วว่าสุดท้ายนั่นก็แค่ความสงสารเท่านั้น

“ที่จริงฉันเองก็อยากจะไปสำรวจอีกที่ค่ะ อยากลองไปดูจุดที่ต้นไวท์แอชหายไปทั้งต้นสักรอบเผื่อว่าอาจจะนึกอะไรที่เชื่อมโยงกันออก ภาพในหัวตอนนี้มันมีแค่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตัวคฤหาสน์เท่านั้น มันจะต้องมีสาเหตุอะไรสักอย่างที่ทำให้ฉันถูกเข้าสิงค่ะ แต่ฉันคงรอให้ตาของเฮคเตอร์หายดีก่อน เพราะฉันไม่ไว้ใจให้ใครพาไปนอกจากเขาค่ะ”

ชายหนุ่มผู้ถูกพูดถึงได้แต่จ้องมองเบื้องหลังศีรษะเล็กๆ ของเด็กเจ็ดขวบที่เขาจับไว้ ก่อนมาที่ห้องประชุมแห่งนี้เขานึกว่าตัวเองถูกโกรธอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่ดูแล้วจะโกรธไม่โกรธยังไงเขาก็กลายเป็นคนสำคัญของเธอไปแล้ว เมื่อนึกได้แบบนั้นเฮคเตอร์ก็โล่งอกขึ้นมาพิกล

เอ็ดเวิร์ดหันมองสีหน้าของทุกคนโดยรอบ หลังจากนิ่งฟังมานานรองหัวหน้าหน่วยเคซีโร่ก็สรุปออกมาในที่สุด

“หากข้อมูลทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณโซอีบอก ต้นไวท์แอชหายไปด้วยสาเหตุบางอย่าง เข้าสิงร่างกายของเธอก่อคดีฆาตกรรมตระกูลชามันด์ และวิญญาณนั้นก็มีผมเป็นสีทอง ข้อมูลนี้น่าจะพอเชื่อมโยงกับคนร้ายที่พยายามไล่ล่านักสะกดวิญญาณทั่วโลกเมื่อเร็วๆ นี้ได้ เพราะจุดประสงค์คือการกวาดล้างนักสะกดวิญญาณเช่นเดียวกัน”

ท่านรองผู้เป็นมันสมองของหน่วยเคซีโร่หยุดพักหายใจ เว้นระยะให้ผู้ร่วมประชุมคิดตามได้แล้วก็เริ่มพูดต่อ

“และคนร้ายซึ่งมีลักษณะผมสีทองที่เฮคเตอร์กับชาเกลเคยเจอมาก็มีพลังในการสร้างดิคเคนส์ประดิษฐ์ สีผมเป็นเรื่องที่เปลี่ยนไปได้ก็จริง แต่ถ้าหากเชื่อมโยงกับคุณเฟย์นะที่ดูเหมือนจะมีผมสีบลอนด์ทอง และเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถใกล้เคียงกับดิคเคนส์แล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าทั้งสองน่าจะเชื่อมโยงกันด้วยพลังวิญญาณ หรือทางสายเลือดอะไรสักอย่างก็อาจเป็นได้”

และที่สำคัญ...เสียงของเอ็ดเวิร์ดดังขึ้นในหัวสมาชิกทุกคนของหน่วยเคซีโร่ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมออกมา

‘...พลังล่องหนของเจ้าคนร้ายผมทองซึ่งเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณนอกระบบนั่น อาจจะเชื่อมโยงกับพลังของเจ้าหญิงเฌอรีนได้อีก หากเจ้านั่นอาศัยการสิงร่างมนุษย์เพื่อทำสิ่งต่างๆ ก็เป็นไปได้ว่าร่างมนุษย์คนปัจจุบันของเจ้าไวท์แอชนั่น คือหนึ่งในคนที่ได้รับพลังจากเจ้าหญิงเฌอรีนไป หากตามหาสองสัปดาห์ที่หายไปนั้นกลับมาได้ ก็อาจจะพอรู้แล้วว่าร่างปัจจุบันของไอ้วิญญาณนั่นเป็นใครกันแน่…’

ท่ามกลางวงประชุมที่เงียบลงไป ท้ายที่สุด ฟอแกนด์ก็กล่าวทิ้งท้ายการประชุมถึงลูกน้องคนสำคัญ ที่ช่วยไม่ให้เขาต้องทำลายหนึ่งชีวิตของผู้ที่อาจจะไม่มีความผิดอะไรลงไป

“เอาล่ะครับ ตอนนี้คงต้องรอให้เคนเซย์กับเฟย์นะฟื้นซะก่อน ถึงจะน่าเสียดายที่พลังในตัวของเฟย์นะน่าจะถูกล้างให้เป็นสายพลังวิญญาณของตระกูลยูคิฮารุไปหมด จนเราไม่น่าจะสามารถทำการวิจัยที่มาพลังวิญญาณรูปแบบเก่าของเธอได้แล้ว แต่เราก็น่าจะพอสอบถามเรื่องราวที่มาที่ไปก่อนจะเกิดเหตุการณ์ได้บ้าง และคงต้องขอบคุณเคนเซย์ด้วยจริงๆ ที่ยอมทำพิธีนั่นเพื่อช่วยทุกคนไว้ หนนี้เราเป็นหนี้พลังของตระกูลยูคิฮารุจริงๆ”

 

เมื่อเคนเซย์ลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงในห้องนอนที่บ้านของตัวเอง เสียงผู้หญิงเสียงแรกที่ได้ยินก็เป็นเสียงของผู้ที่ให้กำเนิดเขามา หลังจากสอบถามพูดคุยถึงอาการกันเบื้องต้นซึ่งเคนเซย์ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว ยูคิฮารุ เคนอิจิ ก็เข้ามาในห้องไม่นานหลังจากนั้นเมื่อได้รับการติดต่อจากภรรยา

และสิ่งแรกที่บิดากระทำต่อถูกชายคือการตบหน้าเคนเซย์จนหน้าหันในทันที

“รู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองทำอะไรลงไป” เสียงเรียบนิ่งของผู้เป็นบิดาแฝงไปด้วยความโกรธอย่างชัดเจน

“รู้สิ... รู้ดีต่างหากว่ากำลังทำอะไร ผมถึงได้ทำแบบนั้น”

เคนเซย์ตอบและจ้องพ่อของตัวเองกลับอย่างไม่ลดละ จนท้ายก็เป็นบิดาที่ถอนใจและยอมล่าถอยไป...

“ได้ข่าวว่าเด็กหนุ่มที่ตายในเหตุการณ์นั้นเป็นแฟนของคนที่ลูกช่วยไว้ ภาวนาให้ตัวเองเถอะ อย่าลืมความรับผิดชอบต่อตระกูลด้วย...”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด