ตอนที่ 16 ตำนาน และ ผู้ต้องสงสัยที่กลับมา
ตอนที่ 16 ตำนาน และ ผู้ต้องสงสัยที่กลับมา
ชุนและเหล่าศิษย์สำนักลงเขาเพื่อออกตามหาเจ้าสำนักที่หายตัวไป ผ่านไปสามวันสามคืนก็ยังไม่กลับมา แม้ชุนจะเคยบอกกับลินจิว่า ‘ห้ามอยู่ห่าง’ แต่พอเอาเข้าจริง ฝ่ายที่ทิ้งลินจิก็คือเขาเอง
ขณะที่บรรยากาศตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ ลินจิก็ไม่สะทกสะท้านกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาถือตะกร้าไม้สานออกไปช่วยศิษย์สำนักหนุ่มเก็บไข่ไก่ในเล้า
“นี่ ออกตามหากันขนาดนี้ยังไม่เจออีกเหรอ ไม่ใช่ว่าเจ้าสำนักถูกปีศาจกินไปแล้วนะ”
ลินจิหันถามศิษย์สำนัก พลางหยิบไข่ไก่ฟองสุดท้ายออกจากรังฟางของแม่ไก่
“โอ๊ย!”
ศิษย์สำนักเห็นลินจิถูกแม่ไก่จิกที่หลังมือ จึงรีบคว้ามือของลินจิมาสำรวจทันที
พอ
“อ้า! ท่านเทพเป็นอะไรไหมขอรับ”
“ไม่เป็นไรหรอก นิดเดียวเอง”
ลินจิกระพริบตาปริบ ๆ มองศิษย์สำนักที่โอเวอร์แอ็กติ้งเกินเหตุ พลางคิดว่า แค่โดนไก่จิกไม่ได้มือขาดสักหน่อย เพี้ยนไปแล้วหรือไงกัน จากนั้นก็ดึงมือกลับมา ถามขึ้นว่า…
“นี่! นายคิดว่า ‘ตำนานเทพเจ้าสร้างโลก’ เป็นเรื่องจริงรึเปล่า”
ในช่วงสามวันนี้ ลินจิได้ใช้เวลาศึกษาตำนาน ‘เทพเจ้าผู้สร้างโลก’ ในห้องตำราของสำนัก โชคดีที่ตัวหนังสือคือภาษาที่เขารู้จัก จึงไม่มีอุปสรรคในการทำความเข้าใจ
ลินจิจำเนื้อหาได้คร่าว ๆ ในนั้นกล่าวว่า…
เทพเจ้าได้สร้างสรรค์ ‘อินเนอร์เวิลด์’ ขึ้นมา พร้อมกับขีดเขียนดวงชะตาของทุกสรรพสิ่ง กระทั่งวันหนึ่งหมู่มารชี้ให้เทพเจ้าเห็นถึงความไม่สมบูรณ์ในสิ่งที่ตนสร้าง สิ่งมีชีวิตลุ่มหลงในอำนาจ แก่งแย่งชิงดี และทำสงครามกัน เมื่อโลกเต็มไปด้วยความเกลียดชังและสิ้นหวัง เทพเจ้าเห็นเช่นนั้นจึงถอดใจ แล้วทิ้งการสร้างโลกให้สมบูรณ์ตามประสงค์
แต่ด้วยความรักที่เทพเจ้ายังคงมีหลงเหลือต่อโลกเหมือนดั่งมารดาที่ไม่มีวันตัดขาดรักจากบุตร เทพเจ้าจึงสร้าง ‘ผลึกดวงดาว’ ขึ้นแปดชิ้น ซึ่งมีความเชื่อกันว่า ผู้ที่รวบรวมครบทั้งแปดชิ้น จะสามารถทำให้ความปรารถนาเป็นจริงได้ทุกประการ
เหตุที่เทพเจ้าทำเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครเข้าใจได้ แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเทพเจ้าคาดหวังให้ผู้มีความเหมาะสมสามารถรวบรวมผลึกดวงดาว ใช้ความปรารถนาของเขา สร้างสรรค์โลกให้งดงามมากกว่าที่เทพเจ้าสร้างไว้
“ท่านไม่เห็นหรือว่า รูปปั้นของท่านประดิษฐานในสำนักของเรา และยังมีอีกหลายแห่ง ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงทำไมรูปร่างหน้าตาของท่านถึงเหมือนกับรูปปั้นนัก จริงอยู่ถ้าไม่สังเกตอาจจะไม่ทราบ แต่ถ้าท่านยืนเทียบเคียงกันก็แทบจะไม่มีจุดไหนที่ต่างกันเลย”
ศิษย์สำนักตอบยิ้ม ๆ ส่วนลินจิก็พยักหน้าฟัง หรือเพราะเขาแต่งนิยายเรื่องนั้นไม่จบ สวรรค์เลยลงโทษขังเขาไว้ที่นี่
สมัยประถมห้า ตอนที่ลินจิเพิ่งเริ่มหัดแต่งนิยาย พวกผู้ใหญ่ต่างมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ บ้างบอกว่าอาชีพนักเขียนนั้น ‘ไส้แห้ง’ ให้เอาเวลาไปคิดทำอย่างอื่นดีกว่า ถึงลินจิจะไม่เห็นด้วย แต่เมื่อถูกพูดกรอกหูบ่อย ๆ สุดท้ายเขาก็ต้องพับนิยายเรื่องแรกไป
ขณะที่กำลังนึกถึงอดีต ศิษย์สำนักก็พูดต่อ
“เมื่อหลายวันก่อน พวกชาวบ้านต่างเล่ากันว่า พบแสงประหลาดหลากสีลอยกระจายเป็นสายอยู่บนฟ้า พอข้าได้พบกับท่านจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ต้องเป็นผลึกดวงดาวอย่างที่ตำนานกล่าวไว้แน่ ๆ”
ศิษย์สำนักกล่าวจบ ลินจิก็ถามต่อทันที
“แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ อาจจะเป็นดาวตก หรือไม่ก็เศษอุกกาบาตที่เผาไหม้กลางอากาศก็ได้นะ”
ศิษย์สำนักอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าเทพเจ้าในตำนานจะมีความคิดพิลึกพิลั่นเช่นนี้
“มันจะไม่ใช่ได้อย่างไร แสงประหลาดปรากฏบนท้องฟ้าพร้อมกับตอนที่เจ้าโผล่ออกมานั่นแหละ”
พอเสียงของชุนดังจากใกล้ ๆ ลินจิและศิษย์สำนักก็หันหน้าตามไปทันที
“โอ้! ท่านชุน กับ…เจ้าสำนัก!”
ศิษย์สำนักเอ่ยพร้อมเลื่อนแผงกั้นไม้ ก่อนเดินออกไป แล้วปิดขังลินจิไว้ในเล้าไก่อย่างไม่ใยดี
“…”
ลินจิกระพริบตามอง ชุน เจ้าสำนัก และศิษย์สำนักจากในเล้าไก่ ในมือก็ถือตะกร้าไม้สานที่ใส่ไข่ไก่ไว้หลายสิบฟอง ขณะที่กำลังสงสัยว่าเจ้าสำนักหายไปอยู่ที่ไหนมา ศิษย์สำนักก็หันหน้าแล้วสะดุ้ง
“อ้า! โทษทีท่านเทพ ข้าคิดว่าท่านออกมาแล้ว”
ลินจิพ่นลมหายใจเสียงดัง มองศิษย์สำนักเลื่อนแผงไม้อย่างเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนจะก้าวออกมา
ขณะนั้นเจ้าสำนักก็มองลินจิด้วยท่าทีแปลก ๆ ราวกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็มิปาน
“เอ๊ะ! นั่น… ท่านเทพเจ้าหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
ลินจิยังจำเรื่องสร้อยประคำที่เจ้าสำนักให้ได้ดี จึงกล่าวอย่างหงุดหงิด
“นี่จะฆ่ากันหรือไง เอาของอันตรายแบบนั้นมาให้ พอเกิดเหตุท่านก็หนีหางจุกตูด แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน”
ลินจิก้าวขาปึงปังตรงมายังเจ้าสำนัก ชุนเห็นท่าไม่ดีจึงเดินเข้าแทรก
“เจ้าใจเย็น ๆ ฟังเจ้าสำนักอธิบายก่อนเถอะ”
ลินจิเงยหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ ทำไมชุนถึงเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ตอนแรกใครกันที่บอกว่า… ‘เจ้าสำนักมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุรามิ’ แต่ตอนนี้กลับออกตัวปกป้อง หมายความว่าอย่างไรกัน โดนผีสิงไปแล้วหรือไง
“ท่านก็อีกคนหรือ…”
เจ้าสำนักเอ่ย ซึ่งลินจิก็ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร ตอนนี้ในหัวมีแต่เครื่องหมายคำถามปลิวว่อน
ศิษย์สำนักก็มองทั้งสามคนสลับไปมา แม้ตนอยากจะรู้เรื่องที่เจ้าสำนักหายตัวไป แต่พอเห็นบรรยากาศตรึงเครียดก็ไม่กล้าถาม จึงเอ่ยอย่างเกร็ง ๆ ว่า…
“เอ่อ… พวกท่านเดินทางมาเหนื่อย ๆ เข้าไปพักดื่มชาด้านในก่อนเถอะขอรับ”
ได้ยินแบบนั้นชุนและเจ้าสำนักก็หันไปมองศิษย์แล้วพยักหน้า ขณะเดียวกันลินจิก็จ้องเจ้าสำนักตาเขม็ง
พอเจ้าสำนักหันไปเห็นก็สะดุ้งตกใจ นี่เทพเจ้าหมาบ้าหรืออย่างไร ทำไมหน้าตาถึงดุร้ายเยี่ยงนี้ คิดได้แบบนั้นเขาก็เอามือป้องปากกระซิบถามชุน
“ข้าจะถูกสาปแช่งไหม”
ชุนส่ายหน้าให้กับคำถามอย่างเอือมระอา ก่อนจะก้าวขาโดยไม่ตอบอะไร
ลินจิเห็นแบบนั้นก็ไม่พอใจ จึงเดาะลิ้นดัง “จิ๊” ออกมา พลางยื่นตะกร้าใส่ไข่ไก่ให้ศิษย์สำนัก ก่อนเดินตามทั้งสองไป
…
ภายในห้องโถงใหญ่ ทั้งสามคนนั่งพื้นล้อมโต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยม โดยเว้นว่างไว้มุมหนึ่ง เนื่องจากเป็นช่วงเช้า จึงได้ยินเสียงนกร้องกับกลิ่นป่าเขาที่โชยมาพร้อมสายลม โดยรวมบรรยากาศดูผ่อนคลาย แม้เหล่าศิษย์สำนักจะเดินเข้าเดินออกกันอย่างพลุกพล่าน พลางเหล่ตามองเจ้าสำนักที่เพิ่งกลับมาด้วยสายตาอยากรู้ แต่ทุกคนก็ย่างเท้าอย่างสำรวม จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการสนทนา
ไม่นานศิษย์สำนักก็ยกเซตน้ำชามาเสิร์ฟ กาน้ำและแก้วมีสีน้ำตาลทำมาจากดินเผา ศิษย์สำนักหงายแก้วที่คว่ำอยู่วางบนโต๊ะ จากนั้นก็ค่อย ๆ รินให้ทีละคนอย่างตั้งใจ ตอนนั้นเองเจ้าสำนักก็เริ่มเปิดปาก…
“เมื่อวันก่อนเอวินส่งสารผ่านค้างคาวมายังสำนัก ในม้วนกระดาษเขียนว่า ‘สุสานเปี๊ยกโกะถูกบุกรุก’ เห็นเป็นเรื่องด่วนแบบนั้น อีกทั้งยังเป็นยามฟ้ามืด ข้าไม่อยากรบกวนเหล่าลูกศิษย์ จึงออกไปสำรวจโดยมิได้บอกกล่าว”
“อืม…”
ลินจินั่งกอดอก ฟังเจ้าสำนักเล่า ส่วนชุนก็หยิบแก้วดินเผาสีน้ำตาลขึ้นมาจากโต๊ะ ก่อนจะจิบชาอุ่น ๆ อย่างสบายใจ จากนั้นเจ้าสำนักก็เล่าต่อ
ได้ยินมาว่า… หลังจากเปี๊ยกโกะได้ใช้พลังทั้งหมดผนึกอุรามิไว้ใน ‘ตำราต้องห้าม’ ก่อนสิ้นชีพเขาก็ไหว้วานให้บุตรของตน ‘อากิ’ นำร่างไปฝังไว้ ณ บริเวณทางตอนเหนือของ ‘สำนักลัทธิเอ็นพี’ ซึ่งมีเนินเขาทอดตัวยาว เมื่อข้ามหุบเขาเข้าไปก็จะเจอรูปปั้นเสือขนาดใหญ่ แม้มองจากไกล ๆ ก็ยังเห็นชัด
ณ ที่แห่งนั้น เปี๊ยกโกะได้ผนึกอสูรคู่ใจ ‘เพกัส’ ไว้ในหินทรงสี่เหลี่ยมที่ตั้งเด่นตระหง่านบนผืนดิน ตามตำนานเล่าว่า มันคืออสูรรูปร่างเหมือนม้า สามารถลอยเหินเหยียบอากาศ ตรงเกือกมีประกายไฟติดอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่ได้ขี่ปีศาจตนนี้จะได้เป็นนายแห่งโลก
กระทั่งวันหนึ่งเพกัสเกิดพยศ แต่เนื่องจากร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายศึก เปี๊ยกโกะจึงรู้สึกผูกพันจนไม่กล้าสังหาร ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจผนึกร่างของเพกัสไว้ในหินทรงสี่เหลี่ยม และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เปี๊ยกโกะต้องการให้นำร่างของตนไปฝัง ณ บริเวณนั้น คงเพราะอยากอยู่ใกล้สัตว์อสูรคู่ใจของตน
“และด้วยเหตุนี้ ข้าเกรงว่าจะมีใครไปปลุกเจ้าเพกัสให้พื้นคืนชีพ จึงรีบไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี ไม่นึกเลยว่าจะเป็นอุบายที่อุรามิวางไว้”
“…หน็อย…!”
ลินจิขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ไม่คิดว่าเจ้าสำนักจะซื่อบื่อโดนอุรามิหลอกง่าย ๆ
“เอวินเป็นศิษย์ของท่านโมโมะ ไม่คิดว่าจะถูกอุรามิครอบงำ แถมยังแปลงกายเป็นข้ามาตบตาท่าน เพราะความสะเพร่าของข้าแท้ ๆ จึงทำให้ท่านเทพต้องวุ่นวาย ต้องขอโทษด้วยขอรับ”
ว่าแล้วเจ้าสำนักก็ค้อมศีรษะให้อย่างสำนึกผิด ลินจิไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ ถึงจะขี้หงุดหงิด โกรธง่าย แต่เขาก็หายเร็ว จึงยิ้มเจื่อนแล้วปลอบว่า…
“เรื่องมันผ่านมาแล้ว ช่างเถอะครับ”
ชุนฟังทั้งสองสนทนา พลางจิบชาดังอึก จากนั้นวางแก้วลง ก่อนจะหันไปทางเจ้าสำนัก
“ที่สุสานมาเป็นอย่างไรบ้าง”
เจ้าสำนักก้มมองแก้วชาแล้วถอนหายใจ ส่วนลินจิก็รอฟัง มองเจ้าสำนักตาปริบ ๆ
“ทุกอย่างที่สำคัญยังคงอยู่ ทั้งรูปปั้นเสือ และหินสี่เหลี่ยม แต่ดูเหมือนเขตอาคมป้องกันปีศาจบริเวณรอบสุสานจะอ่อนกำลังลง ตอนที่ข้าเข้าไป ก็เห็นพวกปีศาจชั้นต่ำเดินป้วนเปี้ยนกันอย่างหนาตา โชคดีที่พวกมันไม่ทำอันตราย ข้าจึงปล่อยเอาไว้”
ได้ยินแบบนั้นชุนก็ขมวดคิ้ว เขตอาคมบริเวณสุสานเปี๊ยกโกะมีอานุภาพที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่ปีศาจที่ว่าร้ายกาจก็ไม่สามารถย่างก้าวเข้าใกล้ได้ ชุนรู้สึกถึงความผิดปกติ อีกทั้งยังมองว่าเจ้าสำนักปล่อยปะละเลย จึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ท่านบ้าไปแล้วรึ ถ้าพวกมันรวมร่างกลายเป็นปีศาจร้ายขึ้นมา ปัญหาอาจจะบานปลายได้ ท่านไม่คิดถึงเรื่องนี้หรืออย่างไร”
“เอาน่า เอาน่า ก็มันเยอะเกินไปนี่ ยันต์ปราบปีศาจที่ข้าพกไปใช้ไม่พอหรอก ข้าไม่ได้มีพลังเหลือเฟือเหมือนท่านชุนนี่ขอรับ ฮะฮะ”
เจ้าสำนักยิ้มเจื่อนแล้วหัวเราะ สะบัดมือขึ้นลงจนเกิดลมพัดเบา ๆ ใส่หน้าชุน
“ไอ้อสูรคู่ใจของคนที่ชื่อเปี๊ยกโกะอะไรนั่น มันมีจริงเหรอ แต่ถ้าจริงก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อยขา”
ชุนซึ่งกำลังคิดเรื่องกำจัดปีศาจ ได้ยินลินจิพูดออกมาก็พลันตกตะลึง ถ้าตีความไม่ผิด ลินจิน่าจะต้องการสื่อว่า ‘อยากได้อสูรเพกัสมาขี่เล่น’ แม้จะไม่แน่ใจว่าตนเข้าใจถูกหรือผิด แต่พลังของอสูรเพกัสนั้นยากจะประเมิน ไม่ว่าใครหากขวักไขว่ที่จะเป็นหนึ่งในการสู้รบต้องรู้จักชื่อนี้ เพราะมีบันทึกไว้ในตำนานสงครามเทพอสูรที่ผู้ใช้เวทจำเป็นต้องอ่าน และยังใช้เป็นรูปวาดสลักไว้บนตำราควบคุมเวทไฟแทบทุกเล่ม น่าเสียดายที่ชุนเกิดไม่ทันยุคนั้น
ชุนหรี่ตาแล้วถอนหายใจ
“จะมีจริง หรือไม่มี เจ้าก็ไม่ควรยุ่ง”
ลินจิเดาะลิ้นดังจิ๊อย่างไม่พอใจ ใช้ฝ่ามือตบบนโต๊ะสามครั้งเบา ๆ
“พูดอะไรน่ะ! ตอนนี้ผมแปลงร่างได้เก่งกว่าเดิมแล้วนะ”
“แล้วยังไงล่ะ”
ชุนถามกลับอย่างเฉยชา ลินจิจึงทำหน้างอนทันที ส่วนเจ้าสำนักเห็นสีหน้าของชุนไม่ค่อยดี จึงยิ้มตาหยีพูดว่า…
“ใจเย็นสิท่านชุน แบบนั้นมันเสียมารยาทกับท่านเทพนะ”
“ใช่ม้า… ท่านเจ้าสำนัก”
ลินจิได้ทีขี่แพะไล่ ขยับเข้าไปนั่งข้าง ๆ เจ้าสำนักหนุ่มแล้วกอดแขนเพื่อหาพวก จากนั้นก็ทำหน้าประมาณว่า ‘ช่วยหน่อยนะ’
“…เอ่อ…”
เจ้าสำนักเหงื่อตก ยิ้มเจื่อน พยายามแงะแขนออก พลางคิดว่าไม่น่าเลย ส่วนชุนก็จ้องทั้งสองตาเขียวราวกับจะกินไส้
“มองอะไรท่านชุน ช่วยข้าหน่อยสิ”
พอเจ้าสำนักอ้อนวอนชุนด้วยใบหน้าเหยเก ลินจิก็ไม่พอใจ สะบัดหน้ามองพร้อมพ่นลมใส่ ก่อนจะปล่อยมือแล้วขยับนั่งที่เดิม
ช่างเถอะ ชายผู้นี้ช่างโง่เสียจริง ทำมาเป็นรังเกียจ บุคลิกอย่างตนเรียกว่าหนุ่มน้อยน่ารัก ยอมให้แนบเนื้อละเมียดละมุนก็บุญแค่ไหนแล้ว ลินจิจินตนาการเข้าข้างตนว่าเป็นหนุ่มน้อยผู้น่ารักสูงส่ง
เจ้าสำนักหลุดมาได้ก็ยกแขนเสื้อปาดเหงื่อ ก่อนเข้าเรื่อง
“นี่ท่านเทพ ท่านชุน อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ข้าไม่ได้เล่าเรื่องสุสานให้พวกท่านฟังเฉย ๆ หรอกนะ”
“…อะไร”
ตอนที่ชุนยกคิ้วเอ่ยถาม ลินจิก็โปรยตาไปยังเจ้าสำนัก ก่อนจะปรับท่านั่ง ยกหลังตรง พลางวิเคราะห์
เจ้าสำนักเป็นคนฉลาด ไม่ยอมเสียเปรียบใคร ภายนอกเป็นคนสบาย ๆ และด้วยบุคลิกเช่นนี้ จึงทำให้ผู้ที่อยู่รอบกายตายใจเอาง่าย ๆ หากใครไม่รู้คงคิดว่าไร้พิษสง สุดท้ายก็ถูกหลอกใช้ เหมือนเหล่าศิษย์สำนักที่ยอมก้มหัวทำงานให้ แต่ในเมื่อจะจับเสือ ต้องเงียบและนิ่งกว่าเสือ ลินจิจึงปิดปากเพื่อรอฟัง
จากนั้นเจ้าสำนักก็ทำคิ้วตกกล่าว่า…
“ลองคิดดูสิ ว่าถ้าเจ้าอุรามิเกิดปลดผลึกเพกัสได้ขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น”
“พวกมันก็ต้องสู้กันน่ะสิ”