ตอนที่แล้วซัพที่23: ท่านหมอในมาดท่านหมอ(?)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปซัพที่25: Microsoft Word has stopped working

ซัพที่24: อย่ามาอ่านนิยายกันสดๆ แบบนี้ซิ!


ซัพที่24: อย่ามาอ่านนิยายกันสดๆ แบบนี้ซิ!

“นี่อยู่ร์หาน เจ้าอย่าเศร้าไปเลยน่ะ เจ้าอยู่นี่ก็ดีแล้วจะได้ไม่ติดโรค” หลานหรงที่เพิ่งตามมาเอ่ยปลอบเจ้าตัวเล็กที่หน้าบุ้ย

“ก็ข้าอยากเข้าไปนี่” มันไม่ได้มีโอกาสง่ายๆ นะที่จะได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้นอกจากในซีรีส์!

“ท่านหมอเคยบอกข้าว่าเด็กตัวเล็กๆ น่ะติดโรคและป่วยง่าย เจ้าอยู่นี่ดูแลทุกคนทางนี้ดีกว่านะ” เธอขบขันกับท่าทางของจินหลง ก่อนจะเดินไปตักน้ำในบ่อมาต้มกับเกลือตามสูตรของเมิ่งชงหยวน

เจ้าตัวแสบมองพื้นดินตรงหน้าด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะหยิบกิ่งไม้ใกล้ๆ มาเขียนข้อความเล่น

[ แสงตะวันที่สาดส่องเข้ามายังดวงตาที่หลับสนิทผ่านหน้าต่างบานน้อย อู่ไท่จี่ยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง ไม่คิดจะตื่นขึ้นมา

“ไท่จี่! ไท่จี่ตื่นได้แล้ว” เสียงดังจากด้านล่าง ทำให้ชายหนุ่มยิ่งขดตัว เสียตึงตังดังมาจากด้านนอกห้อง บานประตูถูกกระแทกออก พร้อมผู้เป็นแม่ที่มีโทสะ ดวงตาคล้ายจะมีไฟแผดเผา

“ไท่จี่ รีบไปเรียนได้แล้ว!” หญิงวัยกลางคนเดินมากระฉากผ้าห่ม เผยให้เห็นร่างหนาของชายวัยยี่สิบปี

“ไม่เอาน่ะแม่.. หยุดสักวันจะเป็นอะไรไป” ไท่จี่ลุกขึ้นมานั่ง ผมเผ้าชี้ฟู ท่าทางงัวเงีย

“ถ้าจะหยุดก็ไปจ่ายค่าเทอมเอง ไม่ต้องมาเป็นภาระพ่อแม่! ไปเรียนเดี๋ยวนี้!”

 

ไท่จี่เดินทอดน่องไปตามท้องถนน เขาหาวหวอดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ นึกอยากจะไปงีบหลับที่ร้านอินเตอร์เน็ต ภาพของตึกสูงระฟ้าและรถยนต์ที่ขวักไขว่ไปมาช่างน่...]

“ตัวอักษรนั่นอ่านว่าอะไรน่ะ?” เสียงเด็กหญิงจากด้านหลังทำให้จินหลงสะดุ้งเฮือก เมื่อหันกลับไปก็พบเด็กหลายคนกำลังแอบอ่านนิยายที่เขาเขียนอยู่

“นี่พวกเจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร!” จินหลงหน้าแดงด้วยความเขินอาย ก่อนจะรีบลบนิยายที่เขียนบนพื้น

“โหว่ ลบทำไมอะ พวกข้ากำลังอ่านอยู่เลย” เด็กน้อยโวยวาย

“ข้าแค่เขียนเล่นเฉยๆ แล้วนี่พวกเจ้าไม่มีงานทำหรือไง ทำไมไม่ไปช่วยต้มสมุนไพรกัน” จินหลงดุแก้เขิน

“มีมันก็มีแหละ แต่ข้าเห็นที่เจ้าเขียนแล้วมันสนุกดี ข้าอยากอ่านต่อ” องค์ชายน้อยเผยท่าทีเลิ่กลั่ก

โว้ยยย ถ้าจะอ่านก็อ่านตอนที่เขาไม่อยู่ด้วยสิเห้ยยย

ไม่เคยได้ยินหรือไง หนังสือเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนตัวตนของผู้เขียน!

มาอ่านตอนเขียนอย่างนี้มันน่าอายออก!

“ไม่ๆๆๆ พวกเจ้ารีบไปต้มสมุนไพรไป๊ย์!!” เจ้าตัวแสบไล่ ทำให้ทุกคนร้องโหว่ออกมาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะยอมกลับไป ทิ้งให้เจ้าตัวแสบหน้าแดงอยู่คนเดีย

โอ้ยย นานๆ จะได้เขียนนิยายที ทำไมต้องอ่านกันสดๆ แบบเน้!

“เป็นอะไรของเจ้าน่ะ” เสียงทุ้มจากด้านหลัง ทำให้จินหลงหันไปมองก่อนจะพบอี้เทาที่เดินมา

“เป็นคนเก่งหล่อฉลาดและน่ารัก” อีกฝ่ายหรี่ตา ทำท่าจะเดินกลับ

“เดี๋ยวๆ ข้าพูดเล่นๆ เจ้ามีอะไรอะ ข้าคิดว่าเจ้าอยู่กับจื่อจงซะอีก” จินหลงถาม อี้เทาจึงเดินมานั่งข้างๆ

“ข้าถูกไล่ออกมาน่ะ เห็นว่าเกะกะเกิน ก็เลยกะว่าจะมาช่วยด้านนอก” เขาตอบตามจริง ทำเอาจินหลงต้องกลั้นขำ

ฮ่าๆๆ เห็นไหมว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่โดนไล่!

“ยากับเกลือพวกนั้น เจ้าไปได้มาจากไหน” อี้เทาไม่อ้อมค้อม ถามตรงเข้าประเด็น

“ในเมือง ข้าไปกว้านซื้อมา คิดว่าน่าจะพอ” เมื่ออีกฝ่ายถามตรงๆ จินหลงก็ไม่คิดปิดบัง

“เท่าไร?”

“หือ?” เจ้าตัวแสบหันไปมองหน้าอี้เทาที่มองตรงไปข้างหน้า

“ข้าถามว่าทั้งหมดนั่นเท่าไร ถึงจะใช้เวลานาน แต่ข้าจะหามาคืนเจ้า” จินหลงเผยยิ้ม

“ไม่ต้องหรอก อีกอย่างเงินนั่นนอกจากเงินส่วนตัวของข้าแล้ว ยังมีเงินกองกลางของพวกข้าอีก พวกข้าตกลงกันแล้วว่าอยากช่วยพวกเจ้าจากใจ ฉะนั้นรับไว้เถอะ” จินหลงปฏิเสธ อี้เทาหันมามองเขาอย่างไม่ชอบใจ

“พวกข้าไม่ชอบติดหนี้ใคร ไม่ว่ายังไงพวกข้าก็จะชดใช้ให้พวกเจ้า” พูดยากจริงวู้ว!

“ถ้าอย่างนั้น หลังจากที่ทุกคนหายป่วยแล้ว ให้พวกข้าอยู่ด้วยได้ไหมล่ะ?” อี้เทาเลิกคิ้ว จินหลงจึงอธิบายต่อ

“กลุ่มของพวกข้าเกิดปัญหา มีคนมากเกินกว่าถ้ำจะรับไหว จึงต้องย้ายออกมา บริเวณนี้มีทั้งแหล่งน้ำแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์ พวกข้าเลยอยากตั้งถิ่นฐาน” จินหลงอธิบาย

“กะอีแค่เรื่องแค่นั้นก็ย่อมได้อยู่แล้ว แต่นั่นมันก็ไม่ได้มากพอจะตอบแทนพวกเจ้า” อี้เทาโต้เถียง จินหลงเริ่มหงุดหงิด

แล้วจะเอายังไงวะ!!

“งั้นพวกเราก็มาเป็นครอบครัวเดียวกันก็จบ พี่น้องของพวกเจ้าก็คือพี่น้องของข้า พี่น้องของพวกข้าก็คือพี่น้องของเจ้า พวกเราก็จะได้เป็นตระกูลใหญ่กัน ไม่มีใครเป็นเด็กกำพร้า” จินหลงเสนอ ดวงตาของอี้เทาเป็นประกายเล็กน้อย

“เจ้าหมายความว่าจะให้พวกเราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกันงั้นหรือ?” จะย้อนประโยคทำไมวะ

“ใช่ เราก็ตั้งถิ่นฐานที่นี่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่ง ข้าก็จะคอยสอนวรยุทธ์กับสอนหนังสือให้พวกเจ้า อย่างเช่นกลุ่มข้า ใครที่มีอายุมากพอก็เริ่มออกไปทำงานในเมืองหรือคอยดูแลเด็กเล็กงี้” จินหลงชี้ไปที่หลานหรงที่กำลังตักน้ำเกลือใส่ชาม ให้คนเอาไปให้ท่านหมอด้านใน

“อย่างหลานหรง เมื่อสามปีที่แล้วข้าฝากนางกับอีกสามคนไว้กับท่านหมอ ตอนนี้พวกเขาก็ทำงานอยู่ในโรงหมอ คอยส่งเงินบางส่วนกลับเข้ามาในกลุ่มเพื่อดูแลน้องๆ แล้วก็อย่างจื่อจง จริงๆ จื่อจงจะเข้าไปทำงานในเมืองแล้ว แต่ข้ารั้งไว้ เพราะมีแค่เขาที่รวมคนได้ กลุ่มพวกข้ามีจื่อจงเป็นพี่ใหญ่ที่คอยดูทุกคน” จินหลงถอนหายใจ

จะว่าไปเขาก็ควรรีบหาคนมาแทนจื่อจงได้แล้ว ดูตอนนี้จื่อจงจะกระหายอยากเข้าไปเรียนแพทย์นัก

“กลุ่มพวกข้าส่วนมากยังไม่มีอายุนัก เพราะส่วนมากเด็กโตจะถูกส่งไปปล้นทรัพย์ ทำให้ถูกจับไม่ก็ถูกฆ่าไปมาก” อี้เทาอธิบาย

“แล้วบ้านเล็กๆ ที่พวกเจ้าอาศัย ใครเป็นคนสร้างงั้นหรือ?” จินหลงถาม เพราะจุดที่พวกอี้เทาอาศัย มีกระท่อมหลังเล็กๆ มากมาย

“ออ พวกข้าสร้างเองน่ะ ก่อนหน้านี้มีคนที่เป็นลูกช่างไม้ เรียนวิชามาจากพ่อบ้าง เลยสอนพวกข้าสร้าง”

“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะ หรือว่า....” เจ้าตัวแสบละคำพูดไว้ให้เข้าใจ อี้เทาส่ายหน้า

“ป่วยอยู่ข้างในนั่นแหละ หวังว่าหมอที่เจ้าพามาจะรักษาพวกเขาได้” อี้เทากำหมัด ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่านัก ไม่อาจปกป้องหรือช่วยพวกพ้องได้เพียงสักนิด

“ถ้าหมอเทวดาเมิ่งชงหยวนรักษาไม่ได้ ก็ไม่มีใครรักษาได้แล้วล่ะ” จินหลงเท้าคางหัวเราะ

“หมอเทวดางั้นหรือ?” อี้เทาหันขวับ จินหลงจึงพยักหน้า

“อือ ถึงจะดูเป็นหมอกำมะลอ แต่ก็เหมือนจะเป็นหมอจริง” เจ้าตัวแสบหันไปมองหน้าอี้เทา ก่อนจะตกใจกับหยาดน้ำใสที่ไหล่ลงมาจากดวงตาเขา

“เห้ย! เจ้าเป็นอะไร!” อี้เทายกมือจินหลงขึ้นมากุม

“ขอบคุณ.. ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ อยู่ร์หาน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะพาหมอที่เก่งกาจเพียงนั้นมารักษาโจรภูเขาแบบพวกข้า” อี้เทาปาดน้ำตา จินหลงรีบดึงมือออก ก่อนเลือดความเป็นสาววายของเด็กสาวน้อยใหญ่ที่อยู่รอบข้างจะเกิดขึ้น

“พอเถอะน่า ไม่เป็นไรจริงๆ ลูกผู้ชายน่ะเขาไม่ร้องไห้กันหรอก” จินหลงปฏิเสธและพยายามพูดให้อี้เทาลุกขึ้นสู้ แต่อี้เทายังคงร้องไห้ต่อไป

“ฮือ...อ.. เจ้ารู้ไหม เจ้ารู้ไหมว่าข้าทรมานมาแค่ไหน พี่น้องล้มป่วยล่มตายกันไปทีล่ะคนสองคน ฮึก..ก.. ตัวข้า ตัวข้ามิอาจทำอะไรได้เลย จะออกปล้นผู้คนก็ยากนัก พวกพ่อค้าเริ่มจ้างผู้คุ้มกัน ฮึก..ก.. ไหนจะเรื่องยาอีก พวกข้าไม่มีใครรู้เลยจริงๆ ว่าสมุนไพรตัวไหนรักษาอะไร ขอบคุณเจ้ามากอยู่ร์หาน พวกข้าขอบคุณพวกเจ้ามากจริงๆ ฮึก..อ..” อี้เทาใช้มือข้างนึงปิดหน้า น้ำตาและท่าทางของเขา ทำให้จินหลงรู้ได้ว่าเด็กชายคนนี้ต้องแบกทั้งภาระหน้าที่และความคาดหวังที่เกินตัว

“เอาเถอะน่า ถ้ามีข้าอยู่นี่ ก็ไม่ต้องมีอะไรที่เป็นกังวลแล้ว” จินหลงยืดอกภาคภูมิใจ อี้เทาปาดน้ำตาก่อนถามว่า

“ฮึก..ก แล้ว..แล้วทำไมกลุ่มของพวกเจ้าหัวหน้ากลุ่มจึงเป็นจื่อจงเล่า ข้าดูแล้ว..น่าจะเป็นเจ้ามากกว่า” อีกฝ่ายถาม จินหลงเกาศีรษะ

“เอาจริงๆ แล้วก็ข้านี่แหละ แต่เพราะข้าไม่ใช่เด็กกำพร้า ทั้งยังต้องไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับที่นี่ เลยให้จื่อจงช่วยดูแลแทน”เจ้าตัวแสบตอบ

“บ้านงั้นหรือ? หากเจ้าหาเงินได้มากขนาดนี้ บ้านคงเจ้าคงเป็น..ขุนนาง?” อี้เทาถาม

ไม่ค่อยใกล้เคียงเล๊ย

“ก็ทำนองนั้นแหละ เจ้าไม่ชอบขุนนางงั้นหรือ” จินหลงถาม

“อืม เจ้าก็รู้แล้วนี่ว่าพวกข้าเป็นเด็กกำพร้าจากสงคราม ขุนนางกับราชวงศ์สำหรับพวกเราก็ไม่ต่างจากฆาตรกรนัก ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข เสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทอง ไม่เคยสนใจประชาชนอย่างพวกข้าที่ต้องอดมื้อกินมื้อ ขนาดสงครามยังทอดทิ้งพวกข้าให้พินาท!” อี้เทาตวาดด้วยเสียงอันดัง ท่าทางและดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังทำเอาจินหลงหน้าซีด

“แต่สำหรับเจ้าข้าถือเป็นข้อยกเว้น เพราะเจ้าไม่เหมือนขุนนางพวกนั้น” อี้เทาตอบ

“แล้วถ้าข้าเป็นองค์ชายขึ้นมาล่ะ” จินหลงแกล้งเต๊ะท่า

“ฮ่าๆๆ เป็นไม่ได้หรอก” อี้เทาหัวเราะ จินหลงเนียนหัวเราะตาม แต่ในใจ..

แล้วถ้าอี้เทารู้ว่าเขาเป็นราชวงศ์ จะเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย!

 

เย็นวันนั้น ระหว่างที่กำลังกินข้าว จินหลงนั่งมองจื่อจงที่เกาะติดท่านหมออย่างกับปลิง

“คุณชายเหอ.. ท่านช่วยบอกข้าที นี่มันเรื่องอะไร” เมิ่งชงหยวนอาศัยจังหวะที่จื่อจงเดินไปหาน้องๆ รีบนั่งลงข้างจินหลงพร้อมกระซิบถาม

“ข้าจะไปรู้ไหมล่ะ ท่านไปใช้ยาเสน่ห์อะไรกับพี่ข้าล่ะ” จินหลงย้อนถาม ก่อนจะโกยข้าวคำสุดท้ายเข้าปากแล้วยืนขึ้น

“แล้วนี่ท่านจะไปไหน?!” เมิ่งชงหยวนแทบร้องเสียงหลง จินหลงก้มลงมองเขา

“กลับแน่สิ ไม่งั้นมีหวังเจียงสงจะกลายเป็นยักษ์เอาได้ ข้าขอฝากเจ้าทางนี้ด้วยแล้วกัน โชคดีนะ” พูดจบ เจ้าตัวแสบจึงรีบใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีไป โดยไม่ลืมตะโกนบอกทุกคน

อี้เทาที่เห็นว่าจินหลงไปแล้ว จึงวางจานอาหารลง ก่อนจะเดินไปหาจื่อจง

“จื่อจง ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าหน่อย” อี้เทาเอ่ย จื่อจงที่กำลังกรอกน้ำใส่กระบอกไม้จึงหันมา

“มีอะไรงั้นหรือ?” อีกฝ่ายถาม

“ไปคุยที่อื่นดีกว่า ที่นี่ค่อนข้างวุ่นวาย” อี้เทาหันไปมองพี่ๆ น้องๆ ที่กำลังวิ่งเล่นเฮฮากันอยู่ข้างทะเลสาบ

“ได้ เจ้านำทางไปเลย”

 

เมื่อมาถึงจุดที่เงียบสงบ อี้เทาจึงเริ่มเปิดประเด็น

“ข้าได้ยินจากอยู่ร์หานแล้ว ว่าเจ้าเป็นคนดูแลกลุ่มตอนนี้ แต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้หรือยังที่อยู่ร์หานบอกว่าอยากจะรวมกลุ่มของพวกเราเข้าด้วยกัน” จื่อจงเลิกคิ้ว เรื่องนี้เขาไม่เคยได้ยินอยู่ร์หานพูดมาก่อน

“ข้าเองก็ไม่รู้สินะ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเรื่องนี้ แต่ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ถ้าอยู่ร์หานว่าเช่นไรข้าก็ว่าเช่นนั้น” จื่อจงให้สิทธิจินหลงเต็มที่ สำหรับเขาจินหลงก็คือหัวหน้ากลุ่มตัวจริง ตัวเขาเป็นเพียงคนที่ดูแลชั่วคราว

“เจ้าพอเล่าเรื่องเขาให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม ทำไมเด็กตัวแค่นั้นถึงได้มีความสามารถมากนัก ทั้งพวกเจ้ายังฟังเขาอีก” จื่อจงนิ่งคิด ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากคำถามนี้

อยากจะรู้เรื่องอยู่ร์หานไปทำไมกันนะ? แต่มันก็ไม่ได้เสียหาย หากอยู่ร์หานคิดจะรวมกลุ่ม ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องเล่าให้พวกเขาฟังสักวัน

“พวกข้าน่ะเป็นเด็กกำพร้าที่อพยพเข้ามาในแคว้นเจิ้ง แต่เพราะพวกเรายังเด็กจึงไม่สามารถทำงานได้ ก็คอยปล้นอาหารผู้คน ไม่ก็คุ้ยขยะเอา หรือไม่ก็หาผลไม้จากนอกประตูเมืองกิน แต่พวกข้าไม่ค่อยมีใครมีความรู้เรื่องพวกนี้ว่าสมุนไพรตัวไหนผลไม้ชนิดไหนกินได้ หลายคนก็ตายเพราะกินของมีพิษเข้าไป” จื่อจงเกริ่นเรื่อง

“วันนั้นเป็นวันที่พวกข้าหิวโหยมาก ไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน น้องๆ ในกลุ่มก็ต่างร้องไห้เพราะความหิว พวกข้าเลยพากันออกเดินตามเมือง เห็นเด็กชายใส่เสื้อผ้าเนื้อดี ถือเงินมามาก ทั้งยังซื้ออาหารเป็นกระสอบ จึงคิดดักปล้น แต่กลับถูกจัดการได้อย่างง่ายๆ เด็กชายผู้นั้นคืออยู่ร์หาน” อี้เทาตั้งใจฟัง หวังเก็บข้อมูลให้มาก

“อยู่ร์หานมอบอาหารทั้งหมดให้พวกเรา ทั้งยังให้พวกข้าไปเรียกคนมากินด้วยกันอีก แค่นั้นพวกข้าก็ซึ้งใจในพระคุณของเขามากแล้ว แต่อยู่ร์หานไม่ต้องการให้พวกข้ามีชีวิตอยู่เช่นนี้ เขาพาพวกข้าออกมาตั้งรกรากที่นอกประตูเมือง หาถ้ำให้อยู่ สอนให้พวกข้าล่าสัตว์ สอนพวกข้าให้อ่านหนังสือ และสอนให้พวกข้ารู้จักใช้ชีวิต ทั้งอยู่ร์หานยังไม่เคยถือตนหรือข่มพวกข้าสักครั้ง ถึงแม้เขาจะปฏิเสธไม่ให้พวกข้าตอบแทนบุญคุณหรือยกยอ เขาบอกเพียงต้องการให้พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกข้าจึงต้องทำตามที่เขาว่า แม้ในใจพวกข้าจะยังรู้สึกติดค้างบุญคุณเขาอยู่มากก็ตาม” จื่อจงยิ้มจางๆ อี้เทาสังเกตท่าทางของจื่อจงตลอดการเล่าเรื่อง ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา

“เช่นนั้นข้ามีเรื่องหนึ่งจะเสนอเจ้า” อี้เทากระดิกนิ้ว ให้จื่อจงยื่นหูเข้ามา

เมื่อจื่อจงได้ฟังสิ่งที่อี้เทาพูด ดวงตาของเขาจึงเบิกโผล่ง และหันกลับมามองหน้าอี้เทาอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินนัก

“เจ้าว่าไง?” อี้เทากระตุกยิ้ม

“เยี่ยม! เยี่ยมมาก! อยู่ร์หานปฏิเสธไม่ได้แน่!”

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด