บทที่ 16 : โทสะ
บทที่ 16 : โทสะ
ดวงตาสีนิลของหุ่นสงครามใช้เวลาชั่วขณะสำรวจร่างของชายชราตัวสูงตรงหน้าจากหัวจรดเท้า จับสัมผัสตีความการกระทำและคำพูดของอีกฝ่ายว่ามีเจตนาอะไรกันแน่ เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อรวมทั้งภาษากายนั้นไม่แสดงออกอะไรชัดเจนนัก ทำให้เขาต้องชะงักเอียงคอด้วยความไม่แน่ใจ
กระนั้นการที่อีกฝ่ายสามารถใช้มีดเล่มยาวฝานร่างโกเลมเป็นชิ้นๆ อย่างสวยงามคือความสามารถซึ่งจัดว่าเป็นของยอดฝีมือ แม้แต่ในความทรงจำของเขาก็ยังมีทหารขุนศึกเพียงน้อยคนที่เก่งกาจระดับนี้
“...ผมไม่กิน” ฮอรัสเอ่ยเสียงค่อยผ่านคริสตัลในลำคอที่บัดนี้เปลือยเปล่าเห็นชัด ทำเอาคู่สนทนาถึงคิ้วกระตุกที่ถูกปฏิเสธอย่างหยาบคาย
แต่ถึงอย่างไรพ่อครัวซึ่งมีตำรับแอมโบรเซียเป็นของตนเองผู้นี้ก็ไม่ได้โกรธอะไรนัก ด้วยสิ่งที่เขาพูดไปตอนแรกนั้นยังไงก็เป็นแค่การกล่าวลอยๆ ไปอย่างนั้น
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นโครงร่างของฮอรัสชัดๆ ใกล้ๆ ยิ่งมั่นใจว่าอาหารของเขา ให้เลิศรสยังไง ก็คงไม่ต่างอะไรกับเศษดินสำหรับหุ่นสงครามที่ไม่มีแม้แต่กระเพาะอาหาร ส่วนปากก็มีไว้แค่ประดับใบหน้า ซึ่งตอนนี้ก็เสียหายยับเยินลึกเห็นแต่กะโหลก ไม่ต้องพูดถึงลิ้นที่เขายังไม่แน่ใจเลยว่ามันหายไปหรือไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
ทว่าสิ่งที่ทำให้พ่อครัวอย่างเขาต้องขมวดคิ้วถอนหายใจ คือกริยาหลังคำตอบนั้นต่างหาก เพราะเมื่อฮอรัสพูดจบก็พลันกระโจนออกไปตามล่าพวกโกเลมที่เหลือต่อในทันที
ความเร็วตอนกระโจนออกไปนั้นสร้างคลื่นกระแทกในอากาศจนชิ้นส่วนโกเลมที่เขาอุตส่าห์เรียงเต๋าเอาไว้อย่างสวยงามกระเด็นกระดอนไปหมด แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาใบหน้าของเขาก็กลับมานิ่งเฉยไม่สนโลกตามปกติ
‘ชิ้นนี้เอาไปทำเตาน่าจะดี’ พ่อครัวคิดในใจ ขณะที่เดินไปหยิบชิ้นส่วนหินจากโกเลมขึ้นมาเรียงกันอีกครั้งเหมือนไม่ได้ใส่ใจเลยว่าด้านหลังของเขายังมีโกเลมอีกหลายตนหลุดไปได้ และแม้ฮอรัสก็อาจตามไม่หมด
ด้วยว่า หากจะมีเผ่าพันธุ์ไหนบนโลกนี้ที่เชี่ยวชาญเรื่องหินแร่ที่สุด ยังไงก็คงไม่พ้นชาวช่าง ที่รู้จักสลักหินทำอิฐเป็นก่อนจะหัดเดินเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวช่างหัวบัวราณบางคนที่ดูจะชื่นชอบการแกะสลักรูปสัตว์ตัวเล็กๆ จากหินกะรุนดำเป็นงานอดิเรก
เป็นอันรู้กันดีว่ามันแข็งแกร่งทัดเทียมมณีและยังสลักเป็นรูปได้ยากเสียยิ่งกว่าหินใดๆ บนโลก ลำพังโกเล็มหินคงจะไม่ต่างอะไรกับไม้ซ้อมมือ
ฮอรัสที่ทะยานตัวออกไป มุ่งหน้าเข้าใส่โกเลมตนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้สุด ขณะเดียวกันก็ใช้สัมผัสดวงตาจับทิศทางการเคลื่อนที่ของโกเล็มตนอื่นๆ ไปด้วยพร้อมกัน เพื่อใช้มันประมวลหาเส้นทางที่เขาจะสามารถเรียงลำดับการทำลายจากโกเลมตนหนึ่งไปถึงอีกตนหนึ่งให้ไว้ที่สุดจนครบ
แต่ไม่ว่าจะประเมินอย่างไรก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถทำเช่นนั้นได้ ทั้งที่ความเร็วของเขามากกว่าพวกมันหลายเท่า ราวกับรู้ว่าจะต้องถูกตามล่าจึงเคลื่อนไหวหลอกล่อได้อย่างมีระบบ ไม่ใช่อะไรที่โกเลมแบบที่ฮอรัสคุ้นเคยควรจะมี ถ้าไม่เพราะพันปีที่ผ่านมาพวกมันพัฒนาวิวัฒขึ้นจนมีสติปัญญา ก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่ชักเชิดสั่งการพวกมันอยู่เบื้องหลัง
เขาง้างกำปั้นขึ้นระหว่างเคลื่อนที่แล้วโฉบเข้าไปอัดใส่กลางอกของโกเลมตนใกล้ๆ อย่างแรงจนทะลุ คว้าเอาแกนกลางของมันมากำเอาไว้ โดยไม่ให้เสียเวลาแล้วมุ่งหน้าไปยังโกเลมตนต่อไปในทันที
แต่แล้วตอนนั้นเองที่ดวงตามณีของฮอรัส จับสัมผัสการเปลี่ยนเส้นทางเคลื่อนที่ของโกเลมอีกตัวได้ จากเคยมุ่งหน้าเข้าถึงใจกลางหมู่บ้าน บัดนี้มันพุ่งตรงไปยังฝูงชนซึ่งยังรวมตัวกันอยู่อีกฟากหนึ่ง
โดยไม่มีใครทันรู้เลยว่าโกเล็มยักษ์ทั้งหกที่สลายไปจากฝีมือองค์ราชินีนั้น ตอนนี้ไม่ได้หายไปไหน แต่กำลังจะเข้าไปสังหารหมู่พวกเขาแล้ว และนักผจญภัยของเทรียลที่คุ้มกันอยู่แถวนั้นก็คงช่วยพวกเขาไม่ได้ เพราะโกเลมถึงจะตัวเล็กลงแต่ก็ยังเป็นอสูรที่เกินกำลังของนักผจญภัยระดับหินอยู่ดี
ทว่าหากฮอรัสตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางไปช่วยชาวบ้านก่อน โกเลมที่เหลือจำนวนมากถึงห้าตนจะเข้าถึงใจกลางหมู่บ้านและสมาคม ทุกคนที่นั่นรวมทั้งเอลีอาจะตกอยู่ในความเสี่ยงที่รับได้ยาก แต่หากเขาเลือกคงลำดับการทำลายเดิมเอาไว้ชาวบ้านตรงนั้นทั้งหมดอาจถูกสังหาร อีกทั้งลำดับที่เขาจัดเรียงเส้นทางเอาไว้ตอนแรกอย่างไรก็ยังล่าช้า เขาไม่สามารถปกป้องทุกคนในหมู่บ้านเอาไว้ได้ด้วยตัวคนเดียว จะต้องมีคนที่สูญเสียและนั่นเองคือสิ่งที่สมองของเขากำลังประเมินเพื่อเลิกว่าจะปกป้องชีวิตใคร
ชาวบ้านจำนวนมากซึ่งอาจเป็นใจความสำคัญของภารกิจนี้ หรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมซึ่งหนึ่งในนั้นคือเอลีอา
ในห้วงขณะความคิดของหุ่นสงครามที่ดำเนินไปในชั่วพริบตาเดียวกันกับที่ชาวบ้านยังมัวเป็นห่วงองค์ราชินีผู้ร่วงหล่นจากฟ้ากลัวว่าจะเป็นอันตรายนั้นเอง
ฉับพลันค้อนโลหะรูปทรงเหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่นัก สลักเสลาเป็นลวดลายวิจิตร มีลวดถักเส้นยาวผูกปลายด้ามเอาไว้ พลันพุ่งออกไปดักทางโกเลมซึ่งมุ่งเป้าสังหารชาวบ้านอย่างรวดเร็ว แต่เหมือนไม่แม่นยำ เพราะค้อนนั้นแทนที่จะถูกร่างของโกเลมตรงๆ แต่มันกลับเฉี่ยวไปไม่กี่คืบกระทบลงบนพื้นอิฐจนแตกกระจาย
ทว่านั่นเองคือสิ่งที่เจ้าของของมันต้องการแล้ว เมื่อชาวช่างชรานามกูลน์ดึงลวดที่ถักเองกับมือเส้นนั้นจนตึงดักหน้าโกเลม เกี่ยวแข้งขาของมันเอาไว้จนล้มลงก่อนจะขยับหมุนลวดแล้วกระชากอย่างแรง ฉุดลากร่างของโกเลมที่ว่าให้เข้ามาหาตัว
พร้อมกันมันก็เรียกสายตาของชาวบ้านให้รู้ตัวเสียทีว่ายังไม่ถึงเวลาชะล่าใจ เพราะสมรภูมินี้ยังไม่จบ
เมื่อเป้าหมายถูกลากมาใกล้ในระยะพอเหมาะให้เห็นชัดๆ ชายชราร่างเล็กก็สะบัดปัดเคราไปไว้ด้านหลังแสดงสีหน้าบึ้งตึงเหมือนไม่พอใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
“ตัวแค่นี้เองเรอะ!!!” เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดท่ามกลางสายตาของชาวบ้าน ทั้งที่โกเลมตรงหน้านั้นก็สูงกว่าสามเมตรเข้าไปแล้ว
ด้วยแรกสุดนั้นตั้งใจไว้ว่าจะได้ประมือกับโกเลมยักษ์ หมายมั่นสลักเสลาภูเขาให้เป็นงานศิลป์ แต่กลายเป็นได้ก้อนหินมาแทน ถึงแม้ว่าความจริงเขาอาจจะไม่สามารถต่อกรกับอสูรยักษ์ระดับนั้นได้เลยก็ตาม
ฮอรัสหยุดกึกไปชั่วขณะหลังจากที่เสียงคำรามลั่นจากชายร่างเล็กสิ้นสุดลง พร้อมกับภาพของโกเลมซึ่งถูกทุบลงบนอกด้วยค้อนโลหะจนแกนกลางของมันแตกสลายดับดิ้นลงไปกลายเพียงก้อนหิน เพราะนั่นหมายความว่าปัจจัยเลือกนั้นเปลี่ยนไปแล้ว
และดูเหมือนว่ากูลน์เองก็รู้ดีว่าหุ่นสงครามนั้นกำลังพยายามแบกโลกทั้งใบเอาไว้บนไหล่ตัวเองโดยไม่จำเป็น เขาถึงได้หันกลับไปยังฮอรัสแล้วเลิกคิ้วถลึงตาใส่ ราวกับจะบอกว่า ‘ยืนบื่อทำอะไรอยู่!’ เพราะเขาช่วยจัดการตรงส่วนนี้ให้แล้ว
ไม่ได้มีแต่ฮอรัสเพียงคนเดียวที่ตั้งใจจะปกป้องหมู่บ้านนี้เอาไว้ นี่ไม่ใช่คำสั่งภารกิจของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือเป้าหมายร่วมกัน
เขาไม่รู้ว่าหุ่นสงครามตนนี้เคยถูกใช้งานมาแบบไหน แต่ในฐานะช่างทำอาวุธและช่างศิลป์ สิ่งที่เขาเห็นมันไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย หุ่นตนนี้เป็นดั่งดาบงามขึ้นสนิมที่ต้องถูกขัดเกลาใหม่
ลำพังใบดาบ ให้คมเพียงใดก็ไม่สามารถตัดเฉือนทุกสิ่งได้โดยปราศจากด้าม
ฮอรัสที่เห็นใบหน้าของชาวช่างเช่นนั้น ไม่รู้ว่ามันหมายถึงสิ่งใดหรือพยายามจะสื่ออะไร สิ่งที่เขาเห็นเป็นแค่การแสดงออกแปลกๆ แบบที่เขาไม่เข้าใจเท่านั้น แต่อย่างไรสุดท้ายแล้วทางปลายทางก็ยังเหมือนเดิม เมื่อตอนนี้ทางเลือกถูกลดทอนลงให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เขามุ่งเป้ากลับไปยังโกเลมห้าตนที่ตอนนี้วิ่งไปบรรจบกันที่สมาคมพร้อมกันเหมือนถูกสั่งเอาไว้
ทว่าดูเหมือนใครบางคนจะไม่พอใจที่เห็นมันง่ายเช่นนั้น
ที่อีกด้านหนึ่งนักผจญภัยอีกกลุ่มซึ่งแข็งแกร่ง แต่ก็บาดเจ็บอย่างคร๊อกคัสและฮารุนั้นตั้งเป้าหมายภารกิจอันดับหนึ่งของตัวเองเป็นการคุ้มกันร่างของสหายผู้หลับใหลไม่ได้สติ และร่างขององค์ราชินีแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งตอนนี้ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ด้วยร่างกายอ่อนเปรี้ย ทั้งยังไม่สามารถสัมผัสถึงพลังเวทใดๆ
แน่นอนพวกเขาเอง หากเป็นไปได้ก็อยากจะแยกตัวออกไปช่วยปราบอสูรปกป้องชาวบ้าน เพียงแต่สำหรับคนที่โตมากับสภาอย่างพวกเขารู้ดีกว่าใครในหมู่บ้านห่างไกลแห่งนี้ถึงลำดับความสำคัญ หากปล่อยโกเลมให้หลุดไปได้ มากสุดความเสียหายก็คงอยู่แค่ในหมู่บ้านเท่านั้น ทว่าหากเกิดเหตุร้ายกับองค์ราชินีมันจะกลายเป็นอีกเรื่องนึงไปเลย
อย่าว่าแต่เทรียล กระทั้งโลกทั้งใบก็อาจลุกไหม้ด้วยไฟแห่งความขัดแย้ง เหตุผลเดียวที่นางได้รับอิสระทำตามใจเช่นนี้ได้โดยไม่มีองครักษ์ติดตาม ก็ด้วยอำนาจเวทมนตร์อันเหนือชั้นทรงพลังเสียยิ่งกว่าองครักษ์ร้อยคนรวมกัน แต่เมื่อขาดมันไปนางก็กลับกลายเป็นเพียงมนุษย์อ่อนแอที่มีคนหมายหัวมากมายเท่านั้น
หรืออย่างน้อยที่สุดก็ในความคิดที่ถูกหยุดนิ่งเอาไว้ภายใต้ห้วงฝันของทั้งสอง เพราะบัดนี้ในความเป็นจริง นักผจญภัยชั้นไพลินจากสภาทั้งหมดต่างก็หลับใหลอยู่ต่อหน้ามหาราชินี ซึ่งกำลังจ้องมองภาพฉายของเหตุการณ์รอบๆ ที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านภายในมิติลวงตาขนาดย่อม แบบเดียวกันกับที่นางเคยใช้เมื่อตอนสังเกตการปะทะกันระหว่างปีศาจและหุ่นรบที่สวนสมุนไพรก่อนหน้านี้
“กูลน์...” นางลากเสียงเข้มในลำคอกับภาพของช่างโลหะที่สอดมือเข้ามาช่วยฮอรัส
ถึงสายตาจะเรียบเฉย ทว่าลมหายใจนั้นยาวยืดบ่งบอกว่ากำลังพยายามคลายความไม่สบอารมณ์จากการถูกแทรกแซง ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เหลือบตาไปให้ความสนใจกับภาพของฮอรัส
ด้วยอย่างไรซะมันก็ไม่สำคัญนัก นางเองก็คิดเผื่อเอาไว้แล้วว่าอาจเป็นเช่นนี้ จึงกระดิกนิ้วเบาๆ ลงบนคทาคู่ใจจนเกิดแสงระเรื่อออกมาชั่วพริบตา รอยยิ้มก็กลับมาเปื้อนมุมปากอีกครั้ง
เพื่อให้ไปถึงโดยเร็วที่สุด ฮอรัสจึงเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุด เขากระโจนทะลุกำแพงเข้ามาในโถงสมาคมทันที สร้างความตระหนกให้กับทุกคนในนั้น
โดยเฉพาะนักวิเคราะห์สาวซึ่งยังไม่เชื่อเต็มร้อยว่าหุ่นตนนี้จะไม่เป็นอันตราย โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นโครงร่างโลหะเปลือยเนื้อน่ากลัวของฮอรัสเป็นครั้งแรกด้วยแล้ว ยิ่งทำใจให้เธอเชื่อยากไปกันใหญ่ แต่กระนั้นก็ยังทำใจดีสู้เสือ รีบเอ่ยถามสถานการณ์ด้านนอกตามหน้าที่ของนักวิเคราะห์ทันที
“เกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น! พ่อฉันปลอดภัยรึเปล่า” ไอน์รีบถามคำถามออกไปทันที ด้วยยังไม่แน่ใจว่าเวทมนตร์ที่องค์ริชินีร่ายออกมานั้นคืออะไร รวมทั้งยังไม่รู้ว่าตอนนี้โกเลมยักษ์ทั้งหกถูกลดทอนกลายเป็นโกเลมหินไปแล้ว
แต่สิ่งที่เธอได้กลับมาจากฮอรัสแทนที่จะเป็นคำตอบ มันกลับกลายเป็นท่าทีของหุ่นที่กวาดศีรษะเลิ่กลั่กมองหาบางอย่างแต่ไม่เจอ ก่อนที่เขาจะพุ่งตรงมาหยุดยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าสาวน้อยในเสี้ยวพริบตา
“คุณเอรีอาอยู่ที่ไหน” ฮอรัสเอ่ยผ่านคริสตัลในคอด้วยเสียงเรียบเฉย แต่ดังกังวาน เพราะบางอย่างที่ผิดปกติเขาไม่เห็นวี่แววของทั้งเอลฟ์สาวและเอเดลเลย ยิ่งกว่านั้นพวกโกเลมที่ควรจะกำลังมุ่งหน้าตรงมายังสมาคมก็หายไปด้วย
“เรื่องนั้นไม่เป็-”
“นางอยู่ที่ไหน!” ไอน์พยายามเปลี่ยนเรื่องกลับมาเข้าคำถามเดิม ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้พูดจบ ฮอรัสก็ใช้เสียงเรียบแบบเดิมถามย้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้มันหนักหน่วงกินลึกลงไปถึงกระดูก สาวน้อยได้ยินก็ถึงกับหัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ ด้วยความหวาดกลัว ระหว่างที่ดวงตาสีนิลบนกะโหลกนั้นจ้องเขม็งมาที่เธอ
ทั้งที่ใจก็รู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าเอลฟ์สาวเพียงขึ้นไปบนห้องเพื่อเก็บของสำคัญกับเอเดล ทว่าคำตอบนั้นดันจุกอยู่ในอก พูดออกไปไม่ได้ ก่อนที่เสียงอึกทึกครึกโครมจะดังขึ้นจากชั้นบนแทนคำตอบ
ฉับพลันไม่ถึงหนึ่งอึดใจเพดานไม้ก็ถล่มลงมาครืนใหญ่พร้อมกับร่างของสองสาวสายเลือดเอลฟ์ คนลูกดูสะบักสะบอมเต็มไปด้วยแผลช้ำ ส่วนคนแม่ก็ไม่ต่างกันมากนักยกเว้นเขากวางอ่อนบนศีรษะที่หักไปเหลือเพียงแค่ข้างเดียว
แล้วร่างของสิ่งที่เป็นต้นเหตุก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน พวกมันทั้งห้าตนกระโดดตามลงมาที่ชั้นล่าง น้ำหนักอันมหาศาลของร่างกายที่สร้างจากหินทำให้พวกมันจมลงไปในพื้นอิฐลึกถึงครึ่งศอก
ไม่ว่าจะมองมุมไหนมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่โกเลมถึงห้าตนจะโผล่ขึ้นไปบนชั้นสองของอาคารสมาคมแห่งนี้ได้โดยไม่มีใครได้ยินหรือรับรู้ก่อน ลำพังแค่พวกมันก้าวขาวิ่งมาใกล้ๆ ก็ดังสนั่นเป็นลั่นกลองแล้ว ต้องมีใครบางคนพาพวกมันขึ้นไปด้วยวิธีการบางอย่าง และใครคนนั้นก็กำลังจดจ่อเฝ้ามองอาการของฮอรัสด้วยสีหน้าตื่นตาตื่นใจ เหมือนรู้ว่ากำลังจะได้เห็นฉากสำคัญที่รอคอย
ในชั่วขณะที่ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน เสียงก๊อกแก็กดังขึ้นเบาๆ ในฝ่ามือโลหะยามที่มันสั่นไหวกระทบกัน เมื่อเจ้าของฝ่ามือคู่นั้นได้เห็นภาพของเอลฟ์สาวซึ่งนอนกองอยู่กับพื้น
นอกเหนือจากบาดแผลสะบักสะบอมบอบช้ำตามตัว ที่มือเธอยังมีแผลถูกกระเบื้องเล็กๆ บาด เพราะในอุ้งมือที่กำอยู่คือเศษแจกันที่แตกเป็นชิ้น ไม่ใช่บาดแผลที่ใหญ่โตอะไร
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างบาดแผลเล็กๆ นั้นกลับทำให้หุ่นสงครามได้เรียนรู้จักกับบางสิ่งที่มันเคยถูกลบหายไปในอดีตเมื่อครั้งสิ้นอาร์มุน
แรงผลักดันอันตรายที่ถูกปิดเอาไว้นานนับพันปีในส่วนลึกสุดของวิญญาณแห่งการรับรู้ แรงผลักดันที่อาจเปลี่ยนให้ผู้ปกปักกลับกลายเป็นผู้ทำลายล้างและเปลี่ยนตุ๊กตาให้กลายเป็นอสูร
มันคือโทสะและความอาฆาตเกลียดชังของการถูกพรากสิ่งเดียวที่มีไป
ในเสี้ยวพริบตา เสียงกระทบโลหะดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อกำปั้นเหล็กตะบันเข้าใส่ร่างหินของโกเลมจนแหลกละเอียดแทบจะเป็นผุยผง พร้อมเสียงคำรามโหยหวนจากผลึกคริสตัลที่ดังกึกก้องไปทั่วถึงสวรรค์ ให้ผู้คนจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ว่านอกเหนือจากอสูรยักษ์โกเลมและมหาเวทพิพากษาแล้ว มันยังจะเป็นวันที่ผู้คนได้รู้จักชื่อของปีศาจแห่งเทรียลเป็นครั้งแรก