บทที่ 16 : ภารกิจกู้ซากเพรสทีจ 1
บทที่ 16 : ภารกิจกู้ซากเพรสทีจ 1
เบื้องหน้าของกิลเลนคือชายหนุ่มที่เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ชายหนุ่มแปลกหน้าอยู่ในชุดของผู้ถูกเลือกแต่มันดูเก่าและทรุดโทรมกว่าที่กิลเลนใส่มาก ด้านหลังของเขาคือกองทัพแวนเดียร์ที่มากมายจนไม่อาจประเมินจำนวนได้ มีทั้งแมสไทป์ ฮิวแมนด์ไทป์ บอลลูนไทป์ และอีกมากมายหลายชนิดที่เขาไม่เคยเห็นหรือรู้ว่ามีด้วยซ้ำ
และท่ามกลางแวนเดียร์มากมายนั้น ก็มีศัตรูเก่าแก่ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดียืนโดดเด่นกว่าแวนเดียร์ทั้งหมด เจ้ามังกรตัวสีดำที่เขาเคยเผชิญหน้ากับมันนับครั้งไม่ถ้วน มังกรผู้มีพลังในการควมคุมเวลา
สองหนุ่มมองหน้ากันแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณ จากนั้นทั้งสองก็วิ่งตรงไปยังกองทัพของศัตรูอย่างไม่ลังเล กิลเลนใช้หอกยันพื้นเหมือนไม้ค้ำส่งให้ร่างของเขาลอยขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นวินาทีแห่งการละเลงเลือดก็เริ่มขึ้น
ฝูงสัตว์ประหลาดสีดำทมิฬพุ่งเข้ามาจากทุกด้าน แต่กิลเลนและชายหนุ่มแปลกหน้าไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงเลย ต่างคนต่างเชื่อมั่นในกันและกัน พวกเขาหันหลังให้กันอย่างวางใจเพราะรู้ว่าอีกด้านมีพรรคพวกที่เข้มแข็งที่สุดกำลังจัดการกับศัตรูอยู่
นิดฮอกมองมนุษย์ตัวกระจ้อยทั้งสองอย่างไม่สบอารมณ์ มันคำรามเสียงดังเพื่อไล่เหล่าบริวารที่กำลังรวมกลุ่มรุมทั้งสองให้แยกออกไป พวกแวนเดียร์เหล่านั้นเมื่อได้รับคำสั่งก็ยอมถอยออกมาล้อมมนุษย์ทั้งสองไว้แทน ส่วนนิดฮอกก็ออกไปยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดในแบบที่กิลเลนก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เจ้ามนุษย์… แก้แค้น… ราชินีของพวกเรา” คำพูดที่ขาดหายไปทำให้เขาเองก็ไม่เข้าใจว่ามันจะสื่ออะไรกันแน่ ที่ไม่ต้องสงสัยก็คือมันเต็มไปด้วยความประสงค์ร้าย
กิลเลนเดินตรงเข้าไปหานิดฮอกอย่างช้า ๆ น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือหวาดกลัวเลย ราวกับว่าเขามั่นใจว่าจะสามารถมีชัยเหนือการต่อสู้ครั้งนี้ได้
นิดฮอกฟาดกรงเล็บมาแต่กิลเลนมองเห็นได้อย่างชัดเจน เขาหลบพร้อมกับฟันสวนออกไป ก่อนหน้านั้นการโจมตีแบบนี้ไม่มีทางสะกิดผิวที่ทั้งแข็งและเหนียวยิ่งกว่าเหล็กกล้าของนิดฮอกได้เลย แต่ตอนนี้มันกำลังปริแตกเป็นทางยาวจากรอยฟันที่เขาฝากเอาไว้อย่างง่ายดาย
เจ้านี่แข็งแกร่งกว่าที่เจอในห้องฝึกซ้อม ประหลาดมากที่กิลเลนคิดแบบนั้น ทั้งที่เขากำลังเป็นฝ่ายกดดันมัน กิลเลนหลบการโจมตีอีกหลายครั้งก่อนที่จะย้ำรอยแผลเดิมของนิดฮอกด้วยการฟันซ้ำจนแผลของมันลึกขึ้น
เขาได้ใจและกำลังจะโจมตีซ้ำแต่แล้วก็สังเกตว่าแผลของนิดฮอกกำลังหายไป ร่างกายของเขาขยับไม่ได้อย่างใจอีกต่อไปแล้ว มันกำลังถูกพลังควบคุมเวลาย้อนกลับ เขาถูกบังคับให้ถอยกลับมายืนที่เดิม
เวลาเริ่มเดินอีกครั้ง… ขาทั้งคู่กำลังก้าวออกไปเอง กิลเลนรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นแต่คราวนี้สิ่งที่ต่างออกไปคือชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเดินคู่กันมาด้วย
“เก็บลูกไม้แบบนี้ไว้ใช้กับพวกผู้ถูกเลือกจะดีกว่าน่า” หนุ่มคนข้าง ๆ พูด
กิลเลนหัวเราะเบา ๆ จากนั้นร่างของทั้งคู่ก็พุ่งแฉลบออกไปข้าง ๆ ความเร็วของพวกเขาทำให้ราวกับทั้งสองหายตัวไป พวกเขาไม่ควรจะขยับตัวได้ในห้วงเวลาที่ตกอยู่ในความสามารถของนิดฮอก แต่เปล่าเลยทั้งคู่สามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ มีเพียงแสงแปลบปลาบจากการโจมตีที่รวดเร็วปรากฏต่อสายตาเท่านั้น
“ห๊ะ!!!” กิลเลนสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นมานั่ง เหงื่อไม่ได้ไหลโชกแต่หัวใจยังคงเต้นรัว เขาพบว่าตัวเองอยู่บนเตียงของตนอีกครั้ง สำรวจพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับร่างกาย
“ฝันอีกแล้วเหรอ…” เขาเหลือบไปมองอคาลาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้าง ๆ เธอมองกลับมาแต่ไม่ได้พูดอะไร “รึว่าจะเหมือนกับเทียแมท บางทีเจ้านิดฮอกเองก็อยู่ไม่ได้ไกลจากดิกนิตี…”
“แต่ผู้ชายคนนั้นล่ะ เขาเป็นใคร ทำไมมาอยู่ในฝันด้วย… หรือว่าเป็นแค่จินตนาการที่สร้างขึ้นกันนะ” เขาหย่อนขาลงจากเตียง ประโยคที่พูดขึ้นมาเหมือนกับพึมพำกับตัวเองเท่านั้น
...นี่ตูชักจะฝันบ่อยไปแล้วไหมเนี่ย แถมน่าเบื่อชะมัดดันฝันเห็นแต่ผู้ชายกับแวนเดียร์…
ในวันนี้กิลเลนตัดสินใจปล่อยให้ช่วงเช้าเป็นเวลาว่างของทั้งเขาและบากะอินุ นั่นเพราะว่าบ่ายวันนี้กำลังจะมีภารกิจสำคัญ กิลเลนตั้งใจกับภารกิจครั้งนี้มากเพราะในช่วงที่ผ่านมาอันดับในฐานะผู้ถูกเลือกของเขาตกลงมาอย่างฮวบฮาบ เขาจึงตั้งใจที่จะใช้ภารกิจนี้ช่วยให้เขากลับมาเป็นกำลังสำคัญอีกครั้งหนึ่ง
“อันดับที่สิบเก้า…” กิลเลนดูคะแนนรวมของผู้ถูกเลือกในภารกิจล่าสุดแล้วก็ถอนหายใจ ผู้ถูกเลือกในตอนนี้ตัดปีเตอร์ออกไปก็เหลือแค่สิบเก้าคน นั่นทำให้เขากลายเป็นคนที่รั้งท้ายที่สุดแล้ว เขาละสายตาจากป้ายคะแนนนั้น โดยมีเจ้าบากะอินุนั่งหอบหายใจอยู่ข้าง ๆ มันไม่รู้ว่าเจ้านายของตัวเองบ่นอะไรจึงได้แต่มองตาใส
“เอาเถอะ ฝึกหนักมาขนาดนี้มันต้องมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างน่ะแหละ” เขาปลอบใจตัวเองแล้วก็หันไปยื่นขนมให้บากะอินุ “แกก็คิดแบบนั้นสินะ”
แน่นอนไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากเจ้าหมาโง่ มันเคี้ยวขนมตุ้ย ๆ กิลเลนเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและลูบหัวมัน ...คู่หูคนสำคัญของเขา
คนธรรมดา ๆ ท่ามกลางผู้มีพลังพิเศษทำให้ไม่มีใครสนใจเขามากนัก แต่กิลเลนก็สู้อย่างเต็มที่ ภารกิจครั้งนี้อันตรายกว่าครั้งใด ๆ ที่ผ่านมา เพราะมันคือการบุกเข้าไปในซากของเพรสทีจที่พวกเขาพบในการปะทะกับเทียแมท
เพรสทีจคือยานในรุ่นเดียวกับดิกนิตี มันใหญ่พอ ๆ กับเมืองทั้งเมือง และแน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยทรัพยากรที่มีค่า ตอนที่ดิกนิตีรู้ว่ามันลงจอดอย่างสงบนิ่ง พวกเขาใช้เวลาหลายวันเพื่อให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่กับดักของเทียแมทถึงได้กล้าส่งผู้ถูกเลือกเข้ามาเพื่อกวาดล้างแวนเดียร์ที่ครอบครองยานไว้
“ไม่มีแวนเดียร์บอสไทป์ แต่ตรวจพบสัญญาณชีพของแวนเดียร์จำนวนมากกว่าพันตน” แมดเดอลีนย้ำข้อมูลกับเหล่าผู้ถูกเลือก “ไม่ต้องรีบร้อน แยกกันไปตามแผน และเก็บกวาดพวกมันให้หมดทุกตัว”
“พูดเหมือนง่ายเลย มันมีเป็นพันเลยนะ” ซีโรเซียที่สู้อยู่ข้าง ๆ กิลเลนประท้วงเมื่อได้ยินเสียงสั่งการ แต่ถึงปากเธอจะบ่นแบบนั้นแต่เธอก็จัดการแวนเดียร์สองตัวที่อยู่ตรงหน้าซะอยู่หมัดด้วยเมล็ดพันธุ์ที่เธอใช้เป็นอาวุธ
“มันไม่ได้กระจุกอยู่ที่เดียวทั้งพันตัวสักหน่อย พวกเราแค่คุมพื้นที่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์เอาไว้ แล้วก็ค่อย ๆ ฆ่าลดจำนวนมันไปเรื่อยๆ” เนวิลอธิบาย
“รู้แล้วน่าา” สาวทวินเทลหงุดหงิดเพราะโดนผู้ถูกเลือกของเธอเองขัดคอ เธอก็แค่อยากบ่นบ้างเท่านั้นเองเพราะอย่างไรเธอก็รู้ว่าสามารถจัดการได้สบาย ๆ อยู่แล้ว
“โฮ่ง โฮ่ง” บากะอินุเห่าใส่แวนเดียร์ที่กำลังมุดหนีเข้าไปทางท่ออากาศเรียกความสนใจจากผู้ที่อยู่ใกล้ที่สุด จัสตินหันมาก่อนจะยิงสายฟ้าใส่มันแต่เหมือนจะไม่ถูกจัง ๆ มันเลยมุดหนีไปได้สำเร็จ
จัสตินเห็นแบบนั้นก็รีบเปิดแผนที่โฮโลแกรมเพื่อตรวจสอบ “มันน่าจะหนีไปที่ห้องนี้” เขาชี้ไปที่ห้องหนึ่งในแผนที่ จุดสีแดงกระพริบถี่ ๆ อยู่บริเวณนั้นก่อนที่จะเลือนหายไป
“อย่าตามไปดีกว่า หน้าที่เราคือตรึงกำลังไว้ที่ห้องนี้” เนวิลรู้ว่าจัสตินคิดอะไรจึงห้ามไว้
“แต่เราก็ไม่ควรปล่อยให้กับหลุดไปนะ เดี๋ยวมันจะไปทางกลุ่มของแกมมาทีม” จีคแย้ง
“พวกนายไม่เห็นจุดสีแดงเต็มไปหมดในแผนที่รึไง” กิลเลนชี้ไปรอบ ๆ ภาพโฮโลแกรมสีเขียว นอกจากจุดสีฟ้าที่กระจุกรวมกันในห้องของเขาแล้ว ก็มีกระจุกแบบเดียวกันอีกสี่ที่ ทุกกลุ่มต่างทำหน้าที่ยึดตำแหน่งที่ได้เปรียบเอาไว้เพื่อรอคำสั่งต่อไป
“ไม่มีใครขอความเห็นจากอันดับสุดท้ายสักหน่อย” จัสตินพูดลอย ๆ แต่ฟังดูก็รู้ว่าเขาหมายถึงกิลเลน จัสตินยิงสายฟ้าออกไปจัดการแวนเดียร์กลุ่มหนึ่งโดยไม่คิดจะใส่ใจกับคำพูดของเขา และสายตาที่ส่งมาก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เขาเคยสุภาพกว่านี้และก็มีเหตุผลกว่านี้ แต่กิลเลนใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเขาเลย ในบรรดาคนที่รั้งท้ายจัสตินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขามีอันดับดีกว่ากิลเลนในตอนนี้แค่เล็กน้อย และถ้านับจากจำนวนแวนเดียร์ที่กิลเลนฆ่าในภารกิจนี้ก็เป็นที่แน่นอนว่าเขาแซงจัสตินไปแล้วเรียบร้อย
จัสตินอยู่ในสภาพที่จนตรอก เขาเชื่อข่าวลือที่อาเบลจะยกคาตาลิสต์ของคนที่อ่อนแอที่สุดให้กิลเลน และยิ่งเมื่อเห็นสายตาของพีโอเนียที่มองกิลเลนด้วยความเป็นห่วงอยู่เสมอ ในบางครั้งก็มักจะเข้าไปช่วยเหลือหากทำได้ เขาก็รู้ดีว่าเธอคงไม่คัดค้านแน่ ออกจะเต็มใจเสียด้วยซ้ำ
‘...ผมผิดอะไรพีโอเนีย ทำไมคุณถึงไปมองคนอื่นด้วยสายตาแบบนั้น คุณควรจะมองแค่ผมคนเดียวไม่ใช่เหรอ…’ จัสตินคิดในใจก่อนจะกำมือแน่น กัดฟันกรอดอย่างไม่พอใจ แล้วจัสตินก็วิ่งออกไปโดยไม่สนคำห้ามปรามของใครทั้งนั้น
“ปล่อยไปคนเดียวตายแน่ ๆ” กิลเลนตะโกนเรียกทุกคน จีควิ่งตามมาคนแรกโดยไม่เสียเวลาหยุดคิดมันทำให้เนวิลและคาตาลิสต์ของพวกเขาต้องตามไปด้วย
การต่อสู้ดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด กลุ่มอื่น ๆ ที่ปักหลักทำตามแผนบีบให้แวนเดียร์ส่วนใหญ่มารวมกันในพื้นที่กลางเพรสทีจได้สำเร็จ ในขณะที่จัสตินตัดสินใจลงไปชั้นล่างของยานที่เขาเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของตัวอ่อนแวนเดียร์โดยไม่สนใจใคร
“เดลตาทีม กลุ่มของนายกำลังออกจากพื้นที่” แมดเดอลีนตวาดใส่พวกกิลเลนจนเขาต้องทำหน้าเหยเกเพราะหูแทบแตก
“ขอโทษครับ เราพลัดหลงกับจัสติน เกรซ เชื่อว่าเขาน่าจะลงไปชั้นล่าง พวกเราเลยกำลังไปตามครับ” กิลเลนรีบตอบกลับ เขาวิ่งนำผู้ถูกเลือกคนอื่น ๆ ข้างกายมีบากะอินุเห่าไปตลอดทาง
“มันไม่ได้อยู่ในแผนนี่! ชั้นล่างเราจะระเบิดมันทิ้งทีหลัง พวกนายรู้แผนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“หมอนั่นอาจจะ คิดจะยืดยานทั้งลำคืนก็ได้ครับ…” กิลเลนตอบเสียงแผ่ว และนิ่วหน้ารอฟังคำตอบที่ไม่พอใจของเธอ ซึ่งก็เป็นดังคาด…
“บ้าไปแล้ว!! อย่าทำอะไรโดยพลการสิโว้ย” แมดเดอลีนโมโหจนแทบคลั่ง
ที่ห้องชั้นล่าง จัสตินพบว่าแวนเดียร์ในชั้นนี้มีเพียงเล็กน้อยและส่วนใหญ่เป็นแมสไทป์ที่มีหน้าที่คอยดูแลตัวอ่อนที่รูปร่างเหมือนหนอน เขาไล่ฆ่าพวกมันโดยแทบไม่เสียเวลาหยุดอยู่ที่ห้องใดห้องหนึ่งด้วยซ้ำ ทุกห้องที่เขาวิ่งผ่านกระแสไฟฟ้าของเขาจะพุ่งออกไป จัสตินควบคุมกระแสไฟนั้นอย่างแม่นยำเพื่อไม่ให้เขาต้องเสียแรงไปอย่างเปล่าประโยชน์ มันพุ่งออกไปช็อตที่สมองของเหล่าตัวอ่อนตัวแล้วตัวเล่าที่เขาพบ
...ถ้าไม่ต้องระเบิดชั้นล่างทั้งหมดนี่ทิ้ง ก็จะยึดยานลำนี้ไว้ได้ทั้งลำ นี่ต้องเป็นผลงานที่ทำให้ทุกคนยอมรับแน่…
แต่แล้วเมื่อวิ่งมาถึงห้องเก็บของขนาดใหญ่ ขาของจัสตินก็ต้องหยุดลง เขาเหลียวมองโดยรอบแล้วพบว่านอกจากไข่ที่ยังไม่ฟักนับพัน ๆ ฟอง ในห้องนี้ก็ยังเต็มไปด้วยดวงตาสีเขียวที่เรืองแสงอยู่โดยรอบ เขากวาดสายตาไปรอบกาย กลืนน้ำลายอย่างยากเย็นเมื่อรู้ว่าไม่สามารถนับจำนวนตาเหล่านั้นเพื่อระบุจำนวนได้เลย
...ข้างล่างยังมีพวกนี้ขนาดนี้เลยเหรอ…
กลุ่มแรกกระโจนเข้าใส่ แต่ลำพังแวนเดียร์แมสไทป์แค่ห้าหกตัวไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับจัสติน เขาฟาดสายฟ้าใส่พวกมันจนกลายเป็นตอตะโก จากนั้นระลอกที่สองก็พุ่งตามเข้ามา คราวนี้จัสตินที่นำธนูออกมาเตรียมไว้ก็ยิงมันออกไปโดยยังไม่ทันได้เล็งด้วยซ้ำ
การยิงของจัสตินทั้งแม่นยำและรวดเร็ว เขายิงซ้ายทีขวาที ทุกดอกที่พุ่งออกไปจะหมายถึงชีวิตแวนเดียร์หนึ่งตัว ในตัวที่เขาหันกลับไปยิงไม่ทันสายฟ้าจากร่างของเขาก็ทำหน้าที่แทน สายฟ้าที่หนักหน่วงจะพุ่งเข้าไปช็อตพวกมันอย่างทันท่วงที
ราวกับป้อมปืนสมบูรณ์แบบ แวนเดียร์หลายสิบตัวล้มลงไปตัวแล้วตัวเล่า แต่มันก็ไม่มีท่าทีว่าจะหมด เมื่อกลุ่มแรกตายไปกลุ่มที่สองก็พุ่งเข้ามาสมทบ ในขณะที่ธนูและเรี่ยวแรงของจัสตินยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง
เขาเริ่มถอยโดยไม่รู้ตัว ทีละก้าว ทีละก้าว หอบหายใจเพราะใช้พลังมากเกินไป แขนของเขาเริ่มล้าเพราะต้องยิงอย่างต่อเนื่องไม่ให้แวนเดียร์สามารถเข้าถึงตัวได้ ธนูเหลือน้อยเต็มทน เขาไม่กล้าใช้มันทั้งหมดและหันมาพึ่งพลังไฟฟ้ามากขึ้น แต่ทุกครั้งก็ปล่อยออกไปเขาก็รู้ว่ามันกำลังเข้าใกล้ขีดจำกัด จากความแรงที่เพียงครั้งเดียวก็ปลิดชีพมันอย่างง่ายดาย เริ่มกลายเป็นต้องส่งสายฟ้านั้นเข้าไปอีกรอบ
‘...ต้องมาตายที่นี่ไงเนี่ย…’ จัสตินคิดในใจ
จัสตินฟาดสายฟ้าใส่แวนเดียร์ตนนึงที่กระโดดเข้ามา สายฟ้ายังคงพุ่งออกไปอย่างแม่นยำ แต่อานุภาพของมันไม่เหมือนเดิม แวนเดียร์ที่ถูกมันเข้าไปล้มลงกระแทกพื้น แต่มันไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย จากนั้นแวนเดียร์อีกหลาย ๆ ตัวก็ทำท่าจะกระโจนเข้าใส่อีก
ตัวแรกที่ถูกสายฟ้าของจัสตินกระโดดเข้ามาก่อน เขาตัดสินใจใช้ธนูที่เหลือแค่ไม่กี่ดอกตอบโต้ มันได้ผล! ลูกธนูพุ่งปักหัวมันอย่างพอดิบพอดี แต่พอเขาจะหยิบอีกดอกมันก็ไม่ทันการแล้ว แวนเดียร์อีกตัวมาพุ่งเข้ามาจนเกือบจะถึงตัวเขา แต่เเสงสีขาวฟ้าก็พุ่งเข้ามาที่หัวของแวนเดียร์อย่างรวดเร็ว
ฉึกกก…
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับร่างที่ปลิวไปตามแรงกระแทก เขารู้จักเสียงแบบนี้ดีเพราะว่ามันเกิดขึ้นตลอดการต่อสู้ที่ผ่านมา เสียงของหอกพลาสมาสเปียร์ของผู้ชายที่เขาเกลียดที่สุด เขาหันไปมองพบว่ากิลเลนพุ่งตัวเข้ามาในห้องด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อเข้าประจันหน้ากับเหล่าแวนเดียร์ที่กำลังกระโจนหมายจะเอาชีวิตของพวกเขา
จากนั้นก็ตามมาด้วยบากะอินุที่วิ่งมายืนอยู่ข้างหน้าของเขา และก็เนวิลกับจีคที่ตามมาติด ๆ จัสตินทรุดลงไปนั่งด้วยความหมดแรงในมือยังคงถือธนูเอาไว้แต่ไม่มีแรงพอที่จะจับมันขึ้นมายิงออกไป
“ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมคะ” หญิงสาวที่เพิ่งมาถึงถามเขาแต่สายตาของเธอไม่ได้มองมาที่เขาเลย ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปทางกิลเลนโดยไม่วางตา จากนั้นเธอก็วิ่งเข้าไปสมทบกันคนอื่นไม่ได้สนใจจัสตินที่ยังคงนั่งหมดแรงอยู่ตรงนั้น
มันทำให้เขาตัดสินใจบางอย่างได้เด็ดขาด...
บทที่ 17 : ภารกิจกู้ซากเพรสทีจ 2
ทุกคนรุดเข้าไปประจันหน้ากับแวนเดียร์โดยไม่ได้สนใจจัสติน เขานั่งหอบหายใจอยู่ที่พื้น ได้แต่มองพรรคพวกสู้โดยที่ตนไม่สามารถทำอะไรได้ กิลเลนอยู่แนวหน้าพร้อมกับบากะอินุที่เห่าเตือนเขาตลอดเวลาเมื่อมีแวนเดียร์เข้ามาใกล้ เขาใช้หอกแทงเจ้าตัวประหลาดที่อยู่ใกล้ที่สุด
“ระวังค่ะ!” พีโอเนียตะโกนลั่นอย่างลืมตัวสายตาของจัสตินจดจ้องเธออยู่ หญิงสาวจะเข้าไปช่วยกิลเลนที่หันหลังให้กับแวนเดียร์อีกฝูงหนึ่ง แต่คู่หูของเขาไวกว่า มันกระโดดเข้ามาระหว่างเธอและเขา อาวุธที่ติดตั้งอยู่กราดยิงพวกมันจนกระเด็นไปคนละทิศละทาง
“บ๊อก บ๊อก!” บากะอินุเห่าและแลบลิ้นอย่างดีใจเมื่อผู้เป็นนายหันมาลูบหัวมันที่ทำได้ดี กิลเลนควงพลาสมาร์สเปียร์อย่างคล่องแคล่ว จ้วงแทงแวนเดียร์ด้วยความแม่นยำ
แม้ว่าศัตรูจะมีอยู่มากแต่การประสานงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาทำให้การต่อสู้เป็นไปอย่างง่ายดาย สิ่งที่กลายเป็นปัญหากลับไม่ใช่จำนวนศัตรูแต่เป็นชนิดของแวนเดียร์ที่พวกตัวพวกเขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
“กรี้ดดดด” เดซีคาตาลิสต์ของจีคร้องลั่น เมื่อเธอถูกแวนเดียร์ที่มีรูปร่างคล้ายกับตัวแตนพยายามจับกุม แต่เธอก็ดิ้นรนหลุดออกมาได้เพราะไฟที่สร้างขึ้นห่อหุ้มตัวเอง ไฟนั้นเผาแวนเดียร์จนกลายเป็นจุล
ซีโรเซียเองก็เกือบถูกแวนเดียร์สายพันธุ์ที่พวกเขาไม่รู้จักเล่นงานเช่นกัน มันเกือบจะใช้ของที่เหมือนเหล็กในต่อยเธอได้แล้วถ้าเนวิลไม่ใช้แขนยักษ์ที่หุ้มด้วยต้นไม้ต่อยใส่มันจนกระเด็น เธอหันไปขอบใจ
ฉึกกก…
ในความชุลมุนนั้น ในที่สุดก็มีคนที่พลาดจนได้ พีโอเนียปล่อยไฟฟ้าใส่แวนเดียร์ตัวหนึ่งที่เกือบจะถึงตัวบากะอินุ เธอสังหารมันได้ก็จริง แต่แวนเดียร์ที่รูปร่างคล้ายแตนยักษ์ก็โผล่มาจากมุมอับสายตา มันฝังเหล็กลงบนกลางแผ่นหลังของเธอ หญิงสาวสะดุ้งเฮือกก่อนจะเซถลาไปด้านหน้า จากนั้นในวินาทีเดียวกันมันก็เข้ายึดจับตัวเธอด้วยรยางค์สีดำนับไม่ถ้วนที่งอกออกมาจากลำตัว
กิลเลนเห็นพีโอเนียล้มลง แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าไปได้ทันการเพราะถูกแวนเดียร์อีกตนขวางจึงเสียจังหวะที่จะช่วยเธอ เขาตะโกนบอกจัสตินที่อยู่ไม่ห่างออกไป
“จัสติน!!!” แต่อีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่งอยู่แบบนั้น ไม่ได้แสดงออกเลยด้วยซ้ำว่ารู้ตัวว่าคาตาลิสต์ของตนกำลังถูกเล่นงาน
ต่อหน้าต่อหน้าคนทั้งหกและสุนัขอีกหนึ่งตัว พีโอเนียถูกแวนเดียร์ตนนั้นพาบินขึ้นด้วยปีกเล็ก ๆ ของมัน จากนั้นมันก็บินหายไปในความมืดจนลับสายตา
กิลเลนเดือดดาลจนเกือบจะคุมสติไม่อยู่ เขาโทษตัวเองที่ประมาทเกินไป ใจคิดอยากจะผละออกจากกลุ่มเพื่อไล่ตามพีโอเนียไป แต่คำพูดของอคาลาที่คอยย้ำให้เขามีสติอยู่เสมอ ทำให้กิลเลนไม่ได้หุนหันพลันแล่นอย่างที่เคยเป็น เขาวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น จนคิดได้ว่าพีโอเนียน่าจะยังปลอดภัยไปอีกสักพัก ในทางตรงกันข้ามถ้าเขาผละจากกลุ่มไปตอนนี้พวกที่เหลืออาจจะได้รับอันตรายแทน
กิลเลนไม่ยอมเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์ เขาเร่งมือฆ่าแวนเดียร์ที่ล้อมเข้ามาตัวแล้วตัวเล่า จนจากจำนวนหลายสิบหลายร้อยก็บางตาลงจนเห็นได้ชัด เมื่อเห็นว่าจำนวนที่เหลือพวกจีคและเนวิลน่าจะสามารถรับกันต่อได้ เขาจึงพูดออกไป
“ผมจะตามไปช่วยพีโอเนีย” เขาว่าพลางเปิดดูแผนที่ในชั้นนี้ ในห้องที่อยู่ลึกสุดสีจุดสีน้ำเงินอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือสัญญาณชีพของพีโอเนีย อย่างน้อยเขาก็วางใจไประดับหนึ่งเมื่อรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
“แถวนั้นต้องมีแวนเดียร์อีกมากแน่” เนวิลร้องห้าม ซัดแวนเดียร์จนหน้าหงายด้วยรากไม้ “อย่างน้อยต้องขอกำลังจากทีมอื่นมาช่วยด้วย”
“นี่เราก็ออกมาจากแผนหลักแล้ว จะไปขอความช่วยเหลือจากทีมอื่นอีก…” จัสตินพูดหน้าตาเฉยโดยไม่ได้สำเหนียกเลยว่าตนเองคือสาเหตุที่ทำให้ทุกคนต้องมาอยู่ตรงนี้ เขาเพียงยืนขึ้นถือธนูขึ้นมายิงแวนเดียร์ที่ใกล้ตัวเองให้ถอยล่าไปอย่างหน้าตาเฉย
“เราไม่มีเวลาแล้ว ไม่มีอะไรรับประกันว่าพีโอเนียจะปลอดภัยจนถึงเวลานั้น” กิลเลนลงมือฆ่าแวนเดียร์ที่พุ่งเข้ามาอีกตน แวนเดียร์ที่เหลืออยู่น้อยนิดแทนที่จะกรูเข้ามาใส่อย่างบ้าคลั่งมันกลับแตกกระจายไปคนละทิศละทาง
“มันหนีด้วยแฮะ ไม่ค่อยได้เห็นเลย” ซีโรเซียแปลกใจ เธอรีบเดินกลับไปยืนข้างคู่หูของตน
“คงประเมินแล้วว่า จำนวนแค่นั้นไม่เหลือโอกาสชนะพวกเราแล้ว เลยไปรวมกลุ่มกับกลุ่มที่ยังมีจำนวนมากอยู่ เจ้าพวกนี้มันไม่ได้โง่เลย” เนวิลพยักหน้าให้กับเธอแปะมือกันเบา ๆ เมื่อการเข้าคู่เป็นไปดังที่ต้องการ ถึงแม้จะยังจบภารกิจไม่ได้ในตอนนี้ แต่โอกาสที่จะกำจัดมันและยึดยานก็เป็นไปได้
“ยังไงก็ช่างเถอะ! ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีแล้วพวกเรารีบไปช่วยพีโอเนียกันเถอะ” กิลเลนตบบ่าเนวิลและจีคเพื่อกระตุ้นทั้งคู่ แต่เห็นได้ชัดว่าเนวิลตีหน้าเครียด เขายืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง กิลเลนก็แสดงสีหน้ากังวลไปด้วยเพราะอีกฝ่ายก็ยังลังเลว่าจะเข้าไปช่วยหรือไม่
“มันเสี่ยงเกินไป…” จัสตินย้ำแต่ก็ยังไม่ทันจบประโยคดี กิลเลนก็ตรงเข้าไปคว้าคอเขาด้วยแรงที่มากกว่าทำให้จัสตินตัวลอย
“แล้วนายจะปล่อยให้เธอตายรึยังไง!” แม้จะรู้เต็มอกว่าที่จัสตินพูดไม่ได้ผิดเลย ห้องสุดท้ายที่อยู่ลึกสุดเป็นโกดังใหญ่ที่ขนาดใหญ่กว่าห้องที่พวกเขาอยู่เป็นเท่าตัว และมันก็ไม่น่าแปลกใจเลยถ้าแวนเดียร์ที่อยู่ที่นั่นจะมีปริมาณไม่น้อยไปกว่ากัน แต่เมื่อนึกถึงพีโอเนียแล้วกิลเลนก็ไม่อาจตัดใจทิ้งเธอไว้ได้
“ถ้าไปกันหมดนี่ จากที่ต้องตายคนเดียว มันอาจจะเป็นพวกเราทุกคนก็ยังได้” จัสตินกล่าว ไม่รู้กิลเลนคิดไปเองหรือไม่ที่เห็นอีกฝ่ายยิ้มมุมปาก
ถึงสมองจะเข้าใจ แต่กำปั้นของกิลเลนก็พุ่งออกไปแล้ว หมัดที่รุนแรงพอจะบดขยี้กระโหลกของมนุษย์ได้เหวี่ยงออกไปท่ามกลางความตกใจของทุกคน แต่ก่อนที่มันจะทำหน้าที่ของมันสำเร็จกิลเลนก็หยุดมือ กำปั้นนั้นถูกหยุดลงก่อนที่จะถึงเป้าหมายเพียงความห่างไม่กี่มิลลิเมตร
กิลเลนปล่อยมือที่จับคอเสื้อของเขาจากนั้นจึงหันไปบอกกับเนวิลและจีคด้วยน้ำเสียงที่ตัดสินใจไปแล้ว “ผมจะไปช่วยเธอ”
“โฮ่ง โฮ่ง” บากะอินุเห่ารับราวกับเข้าใจและจะสื่อว่ามันเองก็จะไปด้วย กิลเลนกันมายิ้มให้มันก่อนจะเดินผ่านจัสตินไปโดยไม่แยแส
“ฉันด้วย ปล่อยนายไปคนเดียวไม่รอดแน่” เนวิลพูดเสร็จก็หันไปบอกกับคาตาลิสต์ของเขาพร้อมกับตามกิลเลนไป “เธอรออยู่ที่นี่แหละ”
“ไม่นะ ถ้านายไปฉันก็ต้องไปด้วยสิ” ซีโรเซียร้องโวยวาย หญิงสาวรีบวิ่งตามออกไปยืนเคียงกับคู่หูของตน ไม่ว่าเนวิลจะพยายามให้เธออยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยเท่าไหร่ เธอก็ยังคงปฏิเสธ
“ตกลงกันได้แล้วก็รีบไปกันเถอะ” จีคออกเดินนำออกไปโดยมีเดซีตามไปด้วยติด ๆ ระหว่างที่ทั้งหกชีวิตวิ่งผ่านสู่ห้องถัดไป จีคที่แทบไม่ได้พูดอะไรมาตั้งแต่เริ่มภารกิจก็พูดขึ้น
“ขอโทษนะ ที่ก่อนหน้านี้ทำตัวงี่เง่าไปหน่อย” ชายผมตั้งเกาหัวแกรก ๆ ไปด้วยแก้เก้อ
“เรื่องอะไรเหรอ” กิลเลนตอบกลับด้วยความพาซื่อ เขาไม่ได้หันมามองเพราะจดจ้องแต่ที่แผนที่ในขณะที่เร่งฝีเท้าเมื่อใกล้ถึงจุดที่พีโอเนียอยู่
“ก็นั่นไง… ไอ้ที่เคยกีดกันนาย แล้วก็ไปเชื่อข่าวลือบ้า ๆ นั่น” จีคเสียงเครียดขึ้น เม้มปากเล็กน้อยเมื่อคิดถึงการกระทำไร้เหตุผลของตัวเอง ชายหนุ่มมองแผ่นหลังของกิลเลนที่เต็มไปด้วยเลือดของแวนเดียร์ “พวกเราไม่ได้รู้จักนายมาก่อน แต่ก็ด่วนตัดสินนายไปแล้ว”
“อย่าไปใส่ใจเลย” กิลเลนตอบกลับไป
“แค่อยากจะบอกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันและอีกหลาย ๆ คนก็เห็นนะ... เห็นมาตลอดว่านายทุ่มเทแค่ไหน” จีคพูดจบก็ไม่รอฟังคำตอบของกิลเลน เขาเร่งฝีเท้าขึ้นเพราะรู้สึกเขินขึ้นมาที่ต้องมาพูดอะไรแบบนี้ ทำให้ประโยคหลังดูแผ่วเบาจนกิลเลนแทบจะไม่ได้ยิน คนที่เหลือลอบยิ้มกันโดยไม่พูดอะไร และหนึ่งในรอยยิ้มพวกนั้นก็เป็นของกิลเลนด้วย
“...ขอบใจนะ…”
แล้วขาของกิลเลนก็หยุดลง เมื่อเขาเห็นบางอย่างที่ขวางระหว่างเขาและประตูสู่ห้องต่อไป ร่างบางในชุดเดรสสีดำ ผิวขาวนวลจนราวกับเรืองแสงอ่อน ๆ ใบหน้าที่งดงามหมดจดยิ่งกว่าสตรีคนใดที่เขาเคยรู้จัก ถึงแม้จะใสจนแทบโปร่งแสงแต่เขาก็จดจำเธอได้ดีกว่าใคร ร่างงามยืนขวางอยู่แบบนั้น
‘...อคาลา ทำไม…’ กิลเลนคิดในใจ คนอื่น ๆ เห็นแบบนั้นก็หยุดฝีเท้าลงเพราะคิดว่ากิลเลนกำลังประเมิณสถานการณ์อยู่ ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นเพราะอคาลาต่างหาก สีหน้าเธอฉายแววกังวลหากสังเกตุดี ๆ
“กลับไปซะ” แน่นอนว่าทั้งภาพทั้งเสียงหวานนี้ก็มีแต่กิลเลนและบากะอินุที่ได้ยิน หากทำได้เธอคงจะพาเขาหลีกหนีไปจากตรงนี้ กิลเลนจดจ้องเธอด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาได้
“เธอก็รู้… ฉันถอยไม่ได้” กิลเลนพึมพำ ไม่แน่ใจว่าคนอื่นได้ยินที่เขาพูดหรือไม่ แต่ที่แน่นอนคืออคาลาได้ยินเขาอย่างชัดเจน เธอนิ่งเงียบ
“ได้โปรด... ถือว่าเราขอร้อง” เสียงแผ่วเบานั่นแฝงแววอ้อนวอนเต็มที่ กิลเลนยิ้มบางเบา เขานำทางคนที่เหลือเข้าไปในห้องนั้น ผ่านร่างโปร่งแสงไปทั้งที่รู้ว่าเธอเป็นห่วงเขา ชายหนุ่มจึงคิดในใจ หวังให้เธอได้ยินและเชื่อใจเขา เชื่อใจในพลังของเขาและบากะอินุ…
“ฉันจะรอดกลับมา ฉันจะไม่แพ้” เธอหลับตาลง ได้แต่เพียงมองร่างของเขาหายเข้าไปในความมืดของห้องนั้น หญิงสาวไม่ได้ยิ้ม เพียงแต่พยักหน้ารับรู้ทั้งที่เขามองไม่เห็นก่อนที่เธอจะสลายหายไป
ในห้องที่มืดสนิทนั้นเต็มไปด้วยดวงตานับร้อย เดซีจุดไฟขึ้นปล่อยให้มันลอยไปบนอากาศ ดวงไฟนับสิบดวงเคลื่อนไปเบื้องหน้าก่อนจะมอบแสงสว่างให้กับห้องทั้งห้อง ตรงใจปลายสุดของอีกห้องที่พอจะมองเห็นจากตรงนี้เป็นร่างของหญิงสาวที่ถูกจับไป พีโอเนียไม่ได้สติเพราะพิษของเหล็กในที่โดนเข้าไป แขนขาของเธอถูกตรึงด้วยเส้นสีดำและเมือกใสยึดกับกำแพงเอาไว้
“พีโอเนีย!” กิลเลนตะโกนเรียกสติ แต่สิ่งที่หันมามีเพียงแวนเดียร์ทั้งหมดในห้อง เขาควงพลาสมาร์สเปียร์เพื่อเตรียมพร้อม บากะอินุวิ่งไปด้านหน้า ปืนที่ติดอยู่ทำหน้าที่อย่างดี กระสุนนับร้อยถูกยิงกราดออกไป เจ้าหมาโง่ส่งสัญญาณ เดซีและจีคพยักหน้ารับ เธอกระโดดออกไปด้านข้างเสกไฟใส่แวนเดียร์ที่พยายามเข้ามาโจมตีกิลเลนจากด้านข้าง
“พวกนายเข้าไปข้างในก่อนเลย” เนวิลร้องบอก เขาและซีโรเซียถอยกลับไปที่หน้าห้อง ชายหนุ่มใช้พลังจากพืชสกัดกั้นแวนเดียร์ตัวใหญ่ที่เรียกว่าเฮฟวีไทป์เอาไว้ มันร้องเกรี้ยวกราดเมื่อไม่สามารถเข้ามาโจมตีพวกเขาได้ดั่งใจ ด้วงตัวเท่าช้างสารกระทืบพื้นจนสั่นสะเทือน กิลเลนหันไปมองแต่เมื่อทั้งสองสามารถรับมือมันได้เขาจึงหันไปร่วมสู้กับจีคและเดซีแทน
“ฉันจะเปิดทางให้ นายใช้จังหวะนั้นเข้าไปช่วยพีโอเนียออกมาเลย” จีคกล่าว เขาวิ่งไปอีกฝั่งของห้องโดยมีเดซีร่ายพลังไฟรอสัญญาณจากคู่หูของตนเอง
“เข้าใจแล้ว” กิลเลนตอบรับแผนการ เขายืนอยู่ระหว่างทั้งสองเพื่อรอให้ทั้งสองใช้พลังเพลิงเผาพวกแวนเดียร์นับร้อยนั่นให้กระจายออกไปด้านข้างเพื่อเปิดทางชั่วเสี้ยววินาที กิลเลนถอยขาอีกขาไปด้านหลังเพื่อเตรียมส่งแรงวิ่งฝ่าแวนเดียร์ออกไป
แสงไฟสีส้มตามลูกไฟที่เธอเสกไว้ทั่วห้องสว่างวาบ ทั้งสองใช้จิตควบคุมมันให้ระเบิดขึ้น เข้าหลอมพวกแวนเดียร์จนร้องด้วยความเจ็บปวด บางส่วนด้านหน้ากิลเลนก็ถูกเผาจนกลายเป็นจุล
“จังหวะนี้แหละ!!!” คู่หูพลังอัคคีตะโกนบอก กิลเลนรีบเร่งฝีเท้าออกไปในระหว่างที่ฝูงแวนเดียร์ถูกโจมตีกระจายออกสองข้าง
“บากะอินุ!!!” กิลเลนตะโกนเรียกคู่หู เจ้าหมาวิ่งตามเขาออกไป เมื่อพ้นห้องนั้นไป แวนเดียร์ก็เบาบางลงเพราะกรูมารวมกันที่ห้องก่อนหน้านี้ทำให้ห้องที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้มีเพียงแวนเดียร์รูปร่างเหมือนแตนไม่กี่ตัว และซากของมนุษย์ถูกมันนำมาใช้เป็นอาหารของตัวอ่อน
แวนเดียร์ทั้งหมดในห้องสัมผัสได้ว่ากิลเลนคือตัวอันตราย เพื่อปกป้องตัวอ่อนที่ไม่สามารถป้องกันตัวได้ พวกมันจึงเข้ามาโจมตีเขาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี
กิลเลนเบี่ยงหลบหางที่มีเหล็กในของพวกมันอย่างง่ายดาย และฆ่าพวกมันทั้งหมดทิ้งโดยไม่ลังเล ความกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพีโอเนียทำให้เขาไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย
แวนเดียร์ล้มตายลงราวกับใบให้ร่วง ไม่มีตัวไหนแม้แต่จะถ่วงเวลากิลเลนได้เลย แม้แต่เมือกใส ๆ ที่คลุมร่างของพีโอเนียกิลเลนก็แทบไม่เสียเวลากับมัน เขาฟันออกไปสองสามครั้ง ร่างที่ถูกยึดกับกำแพงด้วยเมือกก็หลุดร่วงลงมาสู่อ้อมแขนของเขาอย่างแม่นยำ
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ” พูดเสร็จก็แบกร่างเบาของหญิงสาวขึ้นหลังจากนั้นก็ออกวิ่งไปพร้อมกับบากะอินุ เขาเดินออกมาจากห้องนั้น บากะอินุวิ่งตามมาไม่ห่าง เมื่อทั้งสามมาถึงห้องที่เดซีและจีคอยู่
“เดซี ไหวรึเปล่า” จีคก้มลงมองเธอที่ทรุดลงที่ฝั่งตรงข้าม เขาเสกไฟใส่แวนเดียร์กลุ่มหนึ่งที่จะเข้าจู่โจมเธอ แต่เมื่อหันกลับไปอีกกลุ่มก็เข้ามาโจมตีเขา พลาสมาร์สเปียร์จากมือของกิลเลนถูกส่งออกไปอย่างแม่นยำตามด้วยลูกกระสุนจากเจ้าหมา
“ออกจากที่นี่เร็ว พีโอเนียปลอดภัยแล้ว” กิลเลนวิ่งมาที่จีค เขาส่ายหัวปฏิเสธและเดินเบี่ยงไปพยุงเดซีขึ้นมาแต่หญิงสาวก็ทรุดลงไปอีกครั้ง กิลเลนพยายามจะเข้าไปช่วยแต่แขนอีกข้างก็ต้องอุ้มพีโอเนีย ส่วนอีกมือก็ต้องใช้หอกคอยกำจัดพวกแวนเดียร์ตลอดเวลา
“ไปเร็วจีค” เธอร้องและสะบัดมือของเขาออก ชายหนุ่มยังคงยึดร่างของคู่หูเอาไว้
“ฉันจะไม่ออกไปคนเดียว”
“แต่ขาฉัน….” เธอตัดพ้อ จีคยิ้มให้ราวกับจะสื่อสารกันผ่านดวงตา เธอไม่ได้ร้องไห้เพียงแต่เลื่อนมือที่พยายามผลักไสเขาไปกุมมือเขาเอาไว้ เดซีหันมาหากิลเลนในขณะที่เสกดวงไฟคอยกำจัดแวนเดียร์ไปให้เขาจนถึงห้องถัดไป “นายรีบไป พาพีโอเนียกับบากะอินุกลับไป”
กิลเลนตวาดลั่น “แล้วพวกเธอล่ะ!”
“พวกเราจะอยู่ที่นี่ นายต้องดูพีโอเนียไปด้วย อยู่ไปก็ยิ่งเกะกะ” จีคบอกอย่างหนักแน่น กิลเลนคิดว่าเขาและเดซีน่าจะมีแผนอะไรบางอย่าง บางทีการที่เขาอยู่ที่นี่อาจจะยิ่งทำให้ทั้งสองสู้ลำบากจริง ๆ ก็ได้
กิลเลนไม่ร่ำรอให้เสียเวลาเขาพยักหน้าเข้าใจและวิ่งออกไปที่ทางเดินทันที ชายหนุ่มหันกลับมาส่งสายตาเป็นครั้งสุดท้ายว่าขอให้พวกเขาต้องรอดออกมาอย่างปลอดภัย
“เอาล่ะ… มาทำสิ่งที่พวกเราทำได้กันเถอะ” เดซีพูดแผ่วเบา มือทั้งสองยังคงประสานกันไว้แนบแน่นในตอนนั้นถ้ากิลเลนสังเกตสักหน่อยจะรู้ว่าเธอบาดเจ็บหนักกว่าที่เห็นได้จากภายนอก หญิงสาวรู้ตัวว่าไม่มีทางรอดไปทางที่นี่และจีคเองก็ตัดสินใจอยู่เป็นเพื่อนเธอ
ร่างทั้งสองเริ่มเปล่งแสงสีส้มแดง ภายในกายของทั้งสองร้อนระอุ ในขณะที่พวกแวนเดียร์ที่เหลือทั้งห้องวิ่งกระโจนเข้ามา เดซีและจีคก็หลับตาลง ทั้งคู่บรรจงจุมพิตกันเป็นครั้งสุดท้าย เปลวเพลิงโลกันต์เจิดจ้าระเบิดออกจากพวกเขา แผดเผาแวนเดียร์ทั้งห้องจนกลายเป็นจุล
“เดซี...จีค” กิลเลนพึมพำกับตัวเอง กัดริมฝีปากจนแน่นไปหมดเมื่อได้ยินเสียงระเบิดและรู้สึกได้ถึงไอร้อนจากพลังของทั้งสอง
ตึง!
เมื่อวิ่งมาถึงห้องสุดท้าย เสียงกระแทกของสิ่งของขนาดใหญ่ล้มลงกับพื้นทำให้กิลเลนต้องเร่งฝีเท้า เขาเห็นเลือดกระจายลงกับพื้นมากมาย เบื้องหน้าเนวิลและซีโรเซียเป็นแวนเดียร์เฮฟวีไทป์ร่างยักษ์ แต่ชัยชนะนั้นไม่ได้ได้มาด้วยความยินดีเท่าใดนัก เนวิลเลือดไหลโทรมกาย ชายหนุ่มล้มลงเมื่อสามารถจัดการกับแวนเดียร์ได้ เขาหายใจโรยริน ซีโรเซียหวีดร้องเมื่อเห็นคู่หูของตนล้มลงไป
“เนวิล… กิลเลน เขาเสียเลือดไปมาก ฉันจะทำยังไงดี” เสียงของเธอสั่นเครือ เนวิลส่งเสียงให้เธอหยุดพูด เขากุมท้องของตนที่มีรอยแผลยาวดูจากปริมาณเลือดแล้วน่าจะทะลุไปถึงข้างหลัง สายตาพร่ามัวของเขาจับจ้องไปที่กิลเลน ชายหนุ่มยิ้มให้แม้เลือดจะยังคงไหลออกมาไม่หยุดแม้จะใช้เปลือกไม้ที่สร้างขึ้นพยายามปิดมันไว้แล้ว
“ฝะ...ฝาก ซีโรเซีย...ด้วย” เสียงนั้นแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน ซีโรเซียร้องไห้ น้ำตาของเธอไหลอาบแก้ม เธอกอบกุมมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลของเขาเอาไว้ ส่ายหัวช้า ๆ แม้รู้ดีว่าเขาไม่อาจมีชีวิตรอดไปได้ “ไป… ไปกับกิลเลน”
“ไม่!!!” เธอยังคงปฏิเสธ จนกระทั่งเนวิลหันมามองที่กิลเลนอีกครั้ง ไม่ต้องให้พูดอะไร กิลเลนไม่มองใบหน้าของเขา ชายหนุ่มฉุดรั้งแขนของซีโรเซียขึ้นมาทันทีแม้เธอจะพยายามปัดมือออกเท่าไหร่ แต่แรงที่มากกว่าทำให้เธอได้แต่เพียงดิ้นและหวีดร้องชื่อของเขาอยู่แบบนั้น “เนวิล ไม่ ปล่อยฉันกิลเลน! ปล่อย!!!”
กิลเลนออกมาจากห้องนั้นโดยที่ยังประคองร่างพีโอเนียเอาไว้ ส่วนแขนอีกข้างก็ดึงซีโรเซียให้เดินออกมาโดยมีบากะอินุคอยระวังหลังให้ เขาเม้มปากแน่น ไม่ได้ร้องไห้หรือพูดอะไรแต่ก็เจ็บปวดที่ไม่สามารถรักษาชีวิตของพวกพ้องเอาไว้ได้ทั้งหมด ในขณะที่ซีโรเซียร้องไห้ จิตใจของเขาก็เศร้าหมองไปไม่แพ้กัน
“ภารกิจเสร็จสิ้น ยึดเพรสทีจชั้นบนคืนได้เรียบร้อย” แมดเดอรีนประกาศแต่ไม่มีรอยยิ้มความยินดีบนใบหน้าของเขาเลย