บทที่ 15 : แผนของอาเบล
บทที่ 15 : แผนของอาเบล
“แล้วตกลงว่าตอนนี้ฝึกอะไรอยู่บ้าง” หญิงที่วัยเริ่มย่างเข้าสู่กลางคนถามกิลเลนที่นั่งซึมรอถูกเทศนา เขาแค่เพียงเงยหน้าหม่นหมองนั่นขึ้นมาไม่ได้คลายมือที่ประสานกันแน่นด้วยความกังวลแม้แต่น้อย
“ถ้ารวมที่คุณอาเบลฝึกให้ด้วย ก็สามอย่างครับ” กิลเลนตอบอ้อมแอ้ม “นอกจากฝึกในโปรแกรมฝึกปกติ ก็มีสู้กับเทียแมทที่ใช้ข้อมูลเก่า ๆ ผสมเข้ากับข้อมูลที่ผมได้จากฝันที่เคยเล่าไป แล้วก็ฝึกสู้กับร่างจำลองของตัวเองแบบสองต่อหนึ่ง....”
“แล้วผลลัพธ์ล่ะ” เธอถามกลับ สีหน้าของเขาดูแย่กว่าเดิมเมื่อนึกถึงการต่อสู้ที่ผ่านมา กิลเลนถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ
“ไม่ดีเลยครับ… ยังเอาชนะเทียแมทไม่ได้สักครั้ง แล้วก็สู้กับตัวเองสักยี่สิบครั้งถึงจะชนะสักหน อ้ออ แล้วที่สู้กับคุณอาเบลก็ยังจับทางไม่ได้เลยครับว่าเขาใช้อะไร”
“ก็ไม่น่าแปลกหรอก เข้าใจนะว่านายกำลังร้อนรน แต่นายรีบเร่งจนเกินไปแล้ว” แมดเดอลีนว่าก่อนจะกอดอก เธอยืนพิงผนังอยู่ข้างกิลเลน เฝ้ามองเขาตอบรับด้วยใบหน้าหม่นหมอง
“ครับ…” ชายหนุ่มก้มลงมองพื้น
“ลองนึกภาพตามนะ นิดฮอกที่ถ้าเทียบจากข้อมูลแล้วก็ยังอ่อนแอกว่าเทียแมท พวกนายยังต้องใช้ผู้ถูกเลือกและคาตาลิสต์ทั้งหมดเพื่อล้มมัน มันบ้าระห่ำเกินไปแล้วที่คิดว่าแค่คนหนึ่งคนกับสุนัขหนึ่งตัวจะเอาชนะได้…” เธอบอก กิลเลนพยักหน้าและคิดตาม
“ส่วนการต่อสู้กับข้อมูลโคลนของตัวเองอันนั้นก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่ากันเลย ถ้าตัวเลียนแบบที่นายสร้างเป็นข้อมูลของหลายเดือนก่อน การฝึกนี้อาจจะมีความก้าวหน้าก็ได้ แต่นี่นายเล่นอัพเดทข้อมูลตัวเองทุกครั้งที่สู้ นั่นหมายความตัวโคลนของนายก็จะเก่งเท่ากับตัวนายในวันนี้เสมอ นายคิดจริง ๆ เหรอว่าจะชนะตัวเองที่มีจำนวนเป็นสองเท่าได้”
“ขอโทษครับ…” กิลเลนพูดเสียงแผ่ว เมื่อเห็นเเบบนั้นแมดเดอรีนก็ยิ้มให้ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถชนะการต่อสู้ใด ๆ ได้เลยก็ตาม เธอก็ยังรู้สึกว่ากิลเลนพยายามมากกว่าผู้ถูกเลือกคนอื่น ๆ อย่างชัดเจน
“ต้องชมแหละนะว่านายทุ่มเทมากกว่าใคร แต่การต่อสู้โดยไม่ได้พักและพ่ายแพ้ติดต่อกันหลายร้อยหลายพันครั้งมันส่งผลต่อสมองของนายอยู่รู้ตัวไหม”
แม้จะถูกติติงจนสลดยิ่งกว่าเดิม แต่กิลเลนก็ยังมีคำถามค้างคาใจที่ต้องการให้แมดเดอลีนช่วย ถึงอาจจะเป็นคำถามที่ทำให้โดนด่ากลับมาแต่เขาก็ถามมันออกไปตรง ๆ
“พลังของคุณอาเบล มันไม่ใช่พลังจากคาตาลิสต์จริง ๆ เหรอครับ” เขาเอ่ยถาม เมื่อนึกถึงการต่อสู้ของเขากับอาเบล เมื่อไม่ใช่การซิงโครแล้วพลังดังกล่าวคืออะไรกันแน่
“อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิ เรากำลังจะมาปรับวิธีการฝึกของนายใหม่นะ” แมดเดอลีนรีบปรามก่อนจะกลับเข้าเรื่อง
“ถ้ามันไม่ใช่จริง ๆ ล่ะก็ บางทีมันอาจจะเป็นวิธีที่ทำให้ผมเก่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดก็ได้ ผมอยากรู้ว่ามันคืออะไร” กิลเลนก้มหน้าก้มตาระบายความอัดอั้นออกมา เสียงของเขาสั่นเครือ ไม่ใช่เพราะเสียใจหากแต่เป็นเพราะโมโหตัวเอง “ผมต้องแข็งแกร่งขึ้น ไม่งั้นจะปกป้องทุกคนไม่ได้”
“เจ้าบ้านี่…” เป็นความดื้อรั้นที่ทำให้เธออยากจะเขกหัวเขาสักทีให้หายบ้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เข้าใจความรู้สึกนี้เลย แมดเดอลีนมองมาที่กิลเลนอย่างเอ็นดู “เคยบอกไปแล้วนี่ว่า จุดหมายเดียวกันเส้นทางก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน คาตาลิสต์ พลังที่อาเบลใช้ มีเส้นทางอีกมากมายที่อาจจะพานายไปถึงได้ นายอาจจะพบสิ่งที่เหมาะกับนายเข้าสักวัน แต่อย่าได้รีบเร่งจนเกินไปเลย มันจะทำลายตัวนายเอง”
“ผมพยายามจับความรู้สึกตอนสู้กับคุณอาเบล มันมีพลังที่คล้ายกับแวนเดียร์แต่ก็แตกต่างกัน คล้ายกับ… พลังชีวิตที่เข้มแข็ง” กิลเลนยังไม่ยอมเปลี่ยนเรื่อง มันทำให้แมดเดอลีนต้องถอนหายใจในความหัวรั้นของเขา ทั้งที่พยายามอธิบายขนาดนั้นแล้วแท้ ๆ เจ้าตัวก็ยังอยากรู้เรื่องพลังนั่นอยู่ดี
“เคยได้ยินคำว่า ชี่ รึเปล่า” แมดเดอลีนเป็นฝ่ายยอมแพ้ จะโดนอาเบลดุทีหลังก็ช่าง เธอตัดสินใจบอกความลับออกไป กิลเลนรีบเงยหน้าขึ้นกระตือรือร้นอยากฟังสิ่งที่แมดเดอลีนกำลังจะบอก
“หมายถึงกำลังภายในแบบในหนังจีนน่ะเหรอครับ” กิลเลนตาลุกวาวขึ้นมาทันที
“เอาจริง ๆ ก็ไม่เหมือนหรอก แต่รู้ไหมว่าร่างกายคนเราน่ะ มีทางเดินของกระแสพลัง ไม่ว่าจะพลังจิตแบบที่แพทริคใช้ การควบคุมไฟฟ้าของจัสติน หรือแม้แต่พลังที่เหมือนเวทมนตร์ของโอเวน ทุกอย่างล้วนมีต้นกำเนิดเดียวกัน”
“คล้าย ๆ วงจรในตู้เย็นสินะครับ” กิลเลนนึกสักพักก่อนจะยกตัวอย่างขึ้นมาให้ตัวเองเข้าใจง่ายขึ้น
“ทำไมต้องตู้เย็นด้วยฟระ” แมดเดอลีนส่ายหัวและกุมขมับ “แต่เออ… เอาแบบนั้นก็ได้ ไฟฟ้าเข้าไปในวงจรไปหล่อเลี้ยงคอมเพรสเซอร์ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความร้อนแล้วก็สร้างความเย็นขึ้นมายังไงล่ะ เข้าใจไหม” เธอยิ้มและรีบอธิบายต่อในรูปแบบการทำงานของตู้เย็นที่เขาว่า เมื่อพูดจบก็หันมายิ้มให้กิลเลนอย่างเอ็นดู
กิลเลนยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะเกากัวแก้เก้อ “อาาา… ไม่ค่อยเข้าใจครับ จริง ๆ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของตู้เย็นเท่าไหร่”
“ก็เอ็งเป็นคนยกตัวอย่างขึ้นมาเองไม่ใช่เรอะ!!” คู่สนทนาหันมายืนประจันหน้าหลังจากที่ยืนพิงผนังอยู่ เธอเผลอตวาดด้วยความหงุดหงิดใจ
“ดะ… เดี๋ยวความดันขึ้นนะครับ” เขารีบบอก พยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายใจเย็นลงด้วยรอยยิ้มทั้งที่ตนยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องที่แมดเดอลีนพยายามอธิบายตั้งแต่ต้น
“เอาเป็นว่าจะปราณ จะเวทมนตร์ จะพลังจิต ทุกอย่างมีรากฐานเดียวกันทั้งนั้นแหละ” แมดเดอลีนชักจะโกรธตัวเองที่ดันหลงไปห่วงคนบ้า เธอถอนหายใจไม่ใช่ด้วยความเหนื่อยหน่ายแต่เป็นเพราะเจ้านี่ดูซื่อกว่าที่คิด บางทีเธอก็สงสัยว่าในหัวของตานี่มีอะไรอยู่กันแน่
“สรุปว่าถ้าผมฝึกควบคุมพลังที่ว่านี่ได้ก็จะเตะต่อยได้แบบเดียวกับคุณอาเบลสินะครับ” กิลเลนถามอย่างมีหวัง ดวงตาที่ฉายแววมุ่งมั่นพุ่งตรงมาที่เธอในระหว่างรอฟังคำตอบ
“ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละ แต่นายคิดว่าผู้บัญชาการฝึกกี่ปีกัน” โดยไม่ต้องรอคำตอบแมดเดอลีนก็ชิงเฉลย “เป็นสิบ ๆ ปี นายคิดว่าจะฝึกไอ้นั่นจริง ๆ นะเหรอ”
ข้อมูลของแมดเดอลีนทำให้ชายหนุ่มถึงกับคอตก ยิ่งเธอย้ำต่อว่าโหลดข้อมูลการใช้พลังนี้เข้ากับสมองโดยตรงก็ไม่รับประกันว่ามันจะสำเร็จ ความหวังที่ว่าจะแข็งแกร่งขึ้นก็ถูกดับลงง่าย ๆ เสียแบบนั้น กิลเลนกลับไปเป็นสภาพเดิมเหมือนกับตอนแรก
“กลับมาเรื่องโปรแกรมการฝึก” แมดเดอลีนกระแอมเพื่อเรียกสติกิลเลน เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะกลับมาตั้งใจฟังเธอต่อ “ไอเดียในการสู้กับโคลนของนายจริง ๆ แล้วน่าสนใจมากนะ แต่ว่านอกจากเรื่องที่ไม่ควรอัพเดทของมูลล่าสุดทุกวันแล้ว นายก็ควรปรับสมดุลในการต่อสู้เสียใหม่”
“ลองจินตนาการว่า กิลเลนบวกบากะอินุมีพลังต่อสู้สิบคะแนน มันแน่นอนอยู่แล้วว่านายไม่มีทางชนะยี่สิบคะแนนของสองกิลเลนสองบากะอินุได้ แต่ถ้านายมีสักเก้าสิบและอีกฝ่ายมีสักร้อยล่ะ”
“หมายความว่า…”
“เพิ่มจำนวนโคลนทั้งสองฝ่ายซะ ฝ่ายนายเพิ่มจนครบเก้าคู่ ส่วนศัตรูก็เพิ่มเป็นสิบคู่ซะ ถ้าสัดส่วนต่างกันแค่นี้นายน่าจะมีโอกาสชนะ สู้จนกว่าจะทำให้โอกาสนั้นเข้าใกล้ร้อยเปอร์เซ็นต์ซะ แล้วค่อยลดจำนวนของทั้งสองฝ่ายทีละหนึ่งคู่”
“จนถึงจุดหนึ่งจะกลับมาเป็นการต่อสู้ แบบหนึ่งต่อสองอีกครั้งสินะครับ”
“ใช่ และเมื่อนายเอาชนะได้แล้ว ค่อยอัพเดทข้อมูลของโคลนให้เป็นปัจจุบัน แล้วก็เริ่มต้นใหม่ที่เก้าต่อสิบคู่อีกครั้ง”
“จริงสินะ ถ้าใช้วิธีแบบนี้ จะต้องเก่งขึ้นอย่างแน่นอน” ความตื่นเต้นทำให้เขานั่งไม่ติดเก้าอี้อีกต่อไป เขารีบขอบคุณพร้อมกับบอกลาแมดเดอลีนก่อนที่จะผลุนผลันจากไป
...แน่นอนว่ามันทำให้นายแข็งแกร่งขึ้นได้ บางทีอาจจะถึงขั้นกลับมาแซงทุกคนอีกครั้ง อย่างน้อยก็จนกว่าที่คนอื่นจะปลดปล่อยขั้นที่สองได้…
แมดเดอลีนกดปุ่มที่แผงควบคุมเพื่อตรวจสอบข้อมูล เธอไปหยุดอยู่ที่โอเวนในตรงส่วนของพลังพิเศษ
“สายซัมมอน สัตว์ที่สร้างได้ล่าสุด... หมาป่า จำนวนสูงสุด 4 ตัว”
“ระยะเวลาที่น่าจะปลดล็อคพลังขั้นที่สอง… ไม่เกินหนึ่งเดือน” แมดเดอลีนเสียงเครียด ใจหนึ่งเธอยินดีที่เห็นผู้ถูกเลือกและคาตาลิสต์พัฒนาขึ้น พวกเขาจะกลายมาเป็นกำลังสำคัญให้กับดิกนิตี แต่อีกใจเธอก็รู้ว่าสิ่งนี้จะยิ่งบีบคั้นกิลเลนให้เขาต้องฝืนยิ่งกว่าเดิม และเป็นการนับถอยหลังสู่หายนะของเขา
ที่ห้องฝึก กิลเลนทำตามคำแนะนำของแมดเดอลีนเขาพักการต่อสู้กับเทียแมทไว้ก่อนและหันมาทุ่มให้กับการต่อสู้กับโคลนแทน แล้วการตะลุมบอนระหว่างกิลเลนและบากะอินุ เก้าคู่ ปะทะกับสิบคู่ก็เริ่มขึ้น
มันแตกต่างจากการสู้แบบสองรุมหนึ่งเหมือนหนังคนละม้วน แม้จำนวนจะด้อยกว่าแต่ความชุลมุนที่เหนือกว่าเดิมมากทำให้กิลเลนเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระมากขึ้น เข้าไม่ใช่เป้าการโจมตีเดียวอีกต่อไป ในทางตรงกันข้ามเขาก็เรียนรู้ที่จะอาศัยจังหวะรุกและถอยโดยการประเมินสถานการณ์โดยรอบอย่างใจเย็น
อาเบลเฝ้าดูการต่อสู้ของกิลเลนอย่างตั้งใจ เขาได้เห็นความสามารถที่เคยประเมินว่าใกล้ถึงขีดจำกัดกำลังถูกทำลายลงด้วยความมุ่งมั่น ชายแก่เผยอรอยยิ้มออกมาด้วยความยินดีราวกับมองเห็นเมล็ดพันธุ์ที่ตนหว่านไว้กำลังเริ่มเติบโต
...เจ้าหนุ่มนี้มีความสามารถซ่อนอยู่เหนือคนอื่น ขอแค่เขามีคาตาลิสต์ที่เหมาะสม เขาจะเป็นผู้ถูกเลือกที่แข็งแกร่งที่สุดที่เราเคยมี...
...ต้องหาทางให้เขาได้จับคู่กับใครสักคน ต่อให้จะต้องใช้วิธีการโหดร้ายไปบ้าง…
ที่ห้องสปา สถานที่ที่เหล่าคาตาลิสต์มักจะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
“ได้ยินข่าวลือเรื่องนั้นรึยัง” ดาห์เลียผู้มีพลังระเบิดเปิดประเด็นขึ้น พอ ๆ กับพลังระเบิดของเธอ เรื่องอะไรก็ตามที่ผ่านหูของเธอจะถูกกระจายออกไปทั่วราวกับระเบิด
“เรื่องอะไรเหรอคะ” พีโอเนียที่นอนคว่ำให้หุ่นยนต์นวดบนเตียงข้าง ๆ สงสัย
“ข่าวลือประหลาดของดาห์เลียอีกแล้วเหรอ” เป็นเสียงมาจากเตียงถัดไป บนเตียงนั้นมีร่างเล็ก ๆ ของซีโรเปียสาวทวินเทลผู้มีพลังควบคุมพืช
“คราวนี้ไม่มั่วแน่เพราะเออร์ซิเนียยืนยันว่าผู้ถูกเลือกของเธอแอบไปอ่านความคิดของท่านผู้บัญชาการมา” ดาห์เลียโวยวายเพราะถูกซีโรเซียขัดจังหวะจึงรีบแก้ตัว
“งั้นก็ยิ่งเชื่อไม่ได้หรอก เทเลพาธมันไม่มีหลักฐานสักหน่อย แถมยังอ่านได้ไม่ครบถ้วนด้วย” สาวทวินเทลดักคออย่างไร้ไมตรีทำเอาดาห์เลียยิ่งไม่ยอมแพ้
“จริง ๆ นะ เรื่องนี้ไม่มั่วแน่ แล้วหลักฐานก็มีด้วย ว่าแต่ไม่ฟังสักหน่อยเหรอว่าเรื่องอะไร”
“อื้ออ ก็ลองเล่ามาดูก่อนก็ได้นะ” พีโอเนียรู้ว่าดาห์เลียตื้อไม่เลิกแน่จึงหยอดกลับไปแบบนั้น แต่อย่างที่ซีโรเซียเตือนไว้ข่าวลือจากเธอเนี่ยความน่าเชื่อถือไม่มากนักหรอก
“ผู้บัญชาการอาเบลน่ะ กำลังจะหาคาตาลิสต์ให้กับอีตากิลเลน”
“นั่นไง มั่วแล้ว!” ซีโรเซียแว้ดขึ้นมา “ตราบใดที่ไม่มีคาตาลิสต์ที่ว่างอยู่ เรื่องจับคู่ใหม่เนี่ยเป็นไปไม่ได้หรอก”
“เธอไม่รู้อะไรต่างหาก ตอนนี้หมอนั่นกำลังเป็นคนโปรด ผู้บัญชาการถึงกับลงมาฝึกให้เขาตัวต่อตัวเลย เขาลือกันว่าผู้ถูกเลือกคนไหนที่ทำผลงานไม่ดีจะถูกจับแยกกับคาตาลิสต์และลองให้หมอนั่นซิงโครดู”
“เธอมันบ้าไปแล้วที่เชื่อเรื่องแบบนั้น” ซีโรเซียทนฟังอีกต่อไปไม่ไหว เธอลุกขึ้นมาโวยวาย “ทำแบบนั้นผู้ถูกเลือกได้ทะเลาะกันจนนองเลือดแน่”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ หมอนั่นแข็งแกร่งที่สุดในแง่กายภาพ อีกอย่างยังไงทุกคนก็ไม่ชอบหน้าหมอนั่นอยู่แล้ว โดนเกลียดเพิ่มเพราะเรื่องนี้ก็ไม่มีผลอะไรอยู่แล้ว”
“หยุดพูดได้แล้ว” สาวทวินเทลโกรธจนมือไม้สั่น พีโอเนียเห็นท่าไม่ดีจึงต้องรีบเข้ามาขวางระหว่างทั้งคู่
“ก็ไม่แปลกหรอกที่เธอจะกังวล เห็นว่าช่วงนี้เนวิลก็ทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนี่นา บางทีผู้บัญชาการอาจจะเล็งให้เธอไปจับคู่กับกิลเลนแทนก็ได้น้าา”
“หยุดได้แล้ว!!” เสียงตะคอกใส่แต่ไม่ใช่ของซีโรเซีย มันคือของพีโอเนียที่ตอนแรกพยายามห้ามทัพทั้งคู่
“เลิกพูดเหมือนกับการถูกจับคู่กับหมอนั่นเป็นเคราะห์ร้ายสักที”
“พีโอเนีย”
แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำทั้งสามอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่พีโอเนียจะเป็นคนเปิดปากคนแรก “ขอโทษ ฉัน…”
“จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ แต่อีกไม่นานหรอก จะมีใครสักคนถูกบังคับ” ดาห์เลียพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะกระแทกประตูใส่ทั้งสองที่ยังยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก
“เธอ… เธอชอบหมอนั่นเหรอ” สาวร่างเล็กถาม มันเป็นคำถามที่ออกจะแปลกสักหน่อยสำหรับคาตาลิสต์ที่ถูกออกแบบมาให้สื่อกับคนที่ตัวเองเลือกแล้วเท่านั้น
“ฉันก็ไม่รู้… แต่ทุกครั้งที่พอเห็นหมอนั่นเป็นทุกข์ มันจะรู้สึกเจ็บ… เจ็บที่นี่จนแทบทนไม่ไหว” เธอกุมมือไว้ที่หน้าอกของตน สีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ทำให้ซีโรเซียรู้สึกสะเทือนใจไปด้วย
“มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ ฉันควรจะร… แค่จัสติน… แต่ทำไม”
“อาจจะเพราะว่ายังไงเราก็ยังเป็นมนุษย์ ถึงจะแค่ครึ่งเดียวก็เถอะ”
ที่ห้องจำลองการต่อสู้
กิลเลนควงหอกอย่างคล่องแคล่ว เขาอาศัยช่องว่างเพียงพริบตาที่ร่างโคลนเปิดให้โจมตีออกไป ในขณะที่ตัวเขาเองก็กลายเป็นเป้าของการโจมตีบากะอินุก็ยิงกระสุนอากาศออกมาต้านไว้ได้อย่างพอดิบพอดี
ตุบบบ
ร่างสุดท้ายฝ่ายศัตรูล้มลงแต่ฝ่ายกิลเลนก็เหลือแค่ตัวจริงกับบากะอินุเท่านั้น การต่อสู้จบลงด้วยชัยชนะของเขาแม้ว่าจะเฉียดฉิวมากก็ตาม
“เอาล่ะ ชนะครั้งแรกได้แล้ว ชนะติดต่อกันได้อีกสักสิบรอบแล้วเรามาเริ่มสู้แบบแปดต่อเก้าเถอะ”
“โฮ่งงง” บากะอินุเห่ารับด้วยความยินดี แน่นอนว่ามันไม่รู้หรอกว่ากิลเลนพูดอะไร
“ลุยกันต่อเลยเจ้าค่ะนายท่าน” อินุจิโยะเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เธอสั่งให้ห้องจำลองส่งคู่ต่อสู้ออกมาอีก
แล้วการต่อสู้ก็เริ่มอีกครั้ง...