บทที่ 14 : กำแพง
บทที่ 14 : กำแพง
ในห้องจำลองการต่อสู้ สถานที่ที่กิลเลนใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับมัน วันนี้มันก็ยังไม่แตกต่างจากเดิม กิลเลนใช้เวลาว่างของเขาไปกับการฝึกฝนอย่างหนัก เริ่มตั้งแต่การต่อสู้จำลองกับเทียแมทที่จบลงอย่างรวดเร็วด้วยความพ่ายแพ้ โปรแกรมการฝึกต่อสู้กับร่างโคลนของตนเองแบบสองต่อหนึ่งที่ผลลัพธ์ไม่ได้ออกมาดีไปกว่ากันนัก และการฝึกใหม่ที่เขาเพิ่งจะได้รับข้อเสนอมาสด ๆ ร้อน ๆ
ในช่วงเช้า กิลเลนถูกอาเบลเรียกตัวเข้าไปคุยด้วย ในตอนแรกเขาเข้าใจว่าจะถูกตำหนิเรื่องของปีเตอร์และไอริส หรือสารพัดเรื่องที่โอเวนชอบพูดถึงทั้งต่อหน้าและลับหลัง แต่กิลเลนเข้าใจผิด ครั้งนี้อาเบลเรียกเขาไปเพื่อถามความสมัครใจในเรื่องหนึ่งแทน
“เจ้าหนุ่ม สนใจจะลองสู้กับคนแก่คนนี้สักตั้งไหม” ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดแบบนี้กิลเลนคงคิดว่าเขากำลังล้อเล่น แต่พอออกจากปากตาแก่ยิ้มยากอย่างผู้บัญชาการอาเบลที่เขาก็ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหน ทำให้กิลเลนยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แมดเดอลีนเคยเล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่งอาเบลผู้นี้เคยเป็นอาจารย์ของเธอและเขามีประสบการณ์ในการต่อสู้กับแวนเดียร์มากกว่าใครทั้งหมดในโลก เพราะงั้นการได้สู้กับเขาอาจจะทำให้ฝีมือของกิลเลนพัฒนาขึ้นก็ได้ เมื่อคิดได้แบบนั้นเขาก็ไม่ลังเลอีก
“รบกวนด้วยนะครับ” กิลเลนตอบกลับ อาเบลลุกขึ้นก่อนจะเดินนำเขาออกไป โดยไม่ต้องบอกกิลเลนให้เดินตามเพื่อไปยังห้องจำลองการต่อสู้ทันที
ในระหว่างทางเดินออกไป กิลเลนเพิ่งรู้ว่ามีคนอยู่แถวนั้นด้วย พวกเขาซุบซิบกันเมื่อเห็นอาเบลเดินคุยกับกิลเลนและตรงไปยังห้องฝึก เขาไม่รู้ว่าคนกลุ่มนั้นพูดกันว่าอะไร แต่สายตาที่มองมาก็ไม่เป็นที่พอใจนักหรอก
แล้วการฝึกพิเศษก็เริ่มต้น…
กิลเลนยอมรับว่าเขาจินตนาการไม่ออกว่าอาเบลจะสู้ในรูปแบบใดได้ สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงแค่ชายแก่ในชุดเครื่องแบบโดยไม่รู้เลยว่าเมื่อเขาถอดมันออกจนเหลือแต่เสื้อยืดแล้ว กิลเลนจะได้เห็นกล้ามมัดในแบบที่ชายหนุ่มทั่วไปเห็นแล้วยังต้องอาย
คน ๆ นี้เป็นแค่ตาแก่หนวดเคราสีขาวเพียงแค่ตั้งแต่คอขึ้นไปเท่านั้น ร่างกายของเขาเห็นได้ชัดว่ามันคือร่างที่ผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำมาอย่างหนักวันแล้ววันเล่า
“ลองแบบไม่ใช้อาวุธดูก่อนก็แล้วกัน” พูดเสร็จก็บิดข้อต่อมือ คอและส่วนของร่างกายดังกร๊อบแกร๊บ
กิลเลนพอได้ยินแบบนั้นเขาก็ปักพลาสมาสเปียร์ที่ถือมาลงกับพื้น ในขณะที่กำลังคิดว่าคงจะแค่ยืดเส้นยืดสายพอเป็นพิธีก่อน อาเบลก็พุ่งเข้ามาราวกับลูกปืนที่พุ่งออกจากปากกระบอก
มันทั้งเร็วและทรงพลังจนกิลเลนถึงกับผงะ แค่ประมาทเพียงอึดใจเดียวอาเบลเข้าประชิดตัวกิลเลนซะแล้ว เขาหมุนฝ่ามือทั้งสองข้างที่กางออกเหมือนกรงเล็บ มันพุ่งเข้าทะลวงท้องของกิลเลนแต่เขากระโดดถอยหลังออกมาในจังหวะเดียวกัน
...เร็วเป็นบ้า นี่มันความเร็วของคนแก่จริง ๆ รึ…
ไม่ยอมให้กินเลนได้พักหายใจหรือตั้งหลักได้ อาเบลพุ่งตามเข้าไปซ้ำ มันก็แค่ฝ่ามือของคนแก่อย่างที่เขาว่าไว้ แต่กิลเลนก็เชื่อสัญชาตญาณของเขา ถ้าลองโดนมันเข้าจัง ๆ สักทีสองทีเขาอาจจะลุกขึ้นมาไม่ได้อีกเป็นครั้งที่สอง เขาจึงต้องพยายามสุดตัวเพื่อหลบหลีกทุกหมัดที่อาเบลต่อยเข้ามา
“สัญชาตญาณดี” ชายแก่ชมทั้งที่ยังหน้านิ่ง
ถ้ามัวแต่ตั้งรับก็ไม่มีวันชนะ กิลเลนคิดได้แบบนั้นก็เริ่มรุกบ้าง เขาเตะชิมลางออกไปแต่อาเบลก็ยกแขนขึ้นรับได้พอดิบพอดี แต่แล้วเงาของบางสิ่งก็ฟาดลงมาซ้ำ มันคือขาอีกข้างหลังจากกิลเลนบิดตัวกลางอากาศและทิ้งส้นลงมา เขาไม่ได้ยั้งมือเลยแต่ความเร็วที่ไม่เคยมีใครหลบได้ก็ถูกหยุดลงเพราะว่าอาเบลจับข้อเท้าจากขาข้างแรกเอาไว้และหมุนมัน
ร่างของกิลเลนถูกจับหมุนตามด้วยกำลังมหาศาลทำให้เขาเสียจังหวะ แต่ทันทีที่คิดว่าควบคุมร่างที่หมุนคว้างได้ กิลเลนก็เตะใส่มือข้างที่ยังจับข้อเท้าเขาอยู่จนหลุดออก ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงวินาที
กิลเลนชกหมัดทะลวงแบบคาราเต้ แต่อาเบลก็ใช้การหมุนของข้อมือเบี่ยงวิถีซ้ำยังจับแขนเขาไว้ได้ กิลเลนพยายามสะบัดออกด้วยการกระชากในมุมที่มืออีกฝ่ายไม่ควรจะมีแรงต้าน มันคือเทคนิคไอกิโดที่เขาแอบจำมาจากโอเวน แต่ทั้งที่มันควรจะสมบูรณ์แบบกรงเล็มที่ราวกับคีมเหล็กของอาเบลก็ยังยืดข้อมือของเขาเอาไว้ได้
เมื่อการประลองกำลังแขนไม่สามารถเอาชัยได้โดยง่าย กิลเลนเลยเปลี่ยนมาใช้เข่าถลุงใส่แทน แรงกระแทกที่ถ้าเป็นคนธรรมดาคงถึงขั้นม้ามแตกได้ในครั้งเดียวกลับไม่สะดุ้งสะเทือนกล้ามที่แข็งราวกับชุดเกราะเหล็กของอาเบลแม้แต่น้อย หลังจากการกระแทกครั้งที่สอง กิลเลนก็ตัดสินใจกระโดดถีบขาคู่แม้ว่ามือทั้งคู่จะยังถูกยึดเอาไว้อยู่
อาเบลเองก็คิดแบบเดียวกันเพียงแต่ชิงลงมือก่อน เขายกขาทั้งคู่ขึ้นมาแทรกในช่องว่างเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นจากคนสองคนจับข้อมือกัน และยืดตัวถีบขาทั้งสองออกไป เท้าทั้งคู่กระแทกเข้ากับหน้าอกของกิลเลนและส่งร่างของเขากระเด็นออกไปไกลนับสิบช่วงตัว
“อ๊ออกกกก”
ชายหนุ่มสำรอกเลือดสด ๆ ออกมา ความเจ็บปวดที่อกทำให้เขารู้สึกราวกับหัวใจกำลังหยุดเต้น มันไม่ใช่แค่แรงกระแทกธรรมดา แต่มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในการโจมตีของอาเบลด้วย
“เมื่อกี้มันอะไร” กิลเลนพูดออกมาอย่างยากลำบาก เขายังรู้สึกว่าพร้อมจะกระอักเลือดออกมาอีกได้ทุกเมื่อ ความเจ็บปวดที่อกยังคงไม่หายไปจนเขาต้องนิ่วหน้า
แต่อาเบลไม่ได้ตอบ เขายังคงตีหน้านิ่งเช่นเคย ชายแก่เห็นกิลเลนกำลังแย่แต่ก็ไม่ได้แสดงความปราณีเลย เขาวิ่งเข้ามาพร้อมกับหมุนตัวประเคนแข้งใส่
กิลเลนมั่นใจว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง การโจมตีของอาเบลมีบางอย่างเคลือบแฝงอยู่ ราวกับว่าในกำปั้นและฝ่าเท้าของเขาอัดแน่นไปด้วยพลังชีวิต เหมือนกับพลังที่เขาเคยพบมาก่อน
คล้ายกับความรู้สึกที่รู้สึกได้จากแวนเดียร์... แต่ก็แตกต่างออกไป มันคือพลังอะไรกัน หรือว่านี่คือพลังที่เขาได้มาจากการเชื่อมต่อกับคาตาลิสต์
“ถ้ากำลังคิดว่าเป็นพลังที่ได้มาจากการซิงโครน่ะ ไม่ใช่หรอกนะ” ราวกับอ่านใจได้เสียงดังของหญิงสาวดังขึ้น
เมื่อมองหาต้นเสียงนั้น กิลเลนจึงพบว่ามันคือเสียงของครูฝึกนั่นเอง แมดเดอลีนดูเหมือนจะสนใจการฝึกนี้จนถึงขั้นตามเข้ามาดูการต่อสู้นี้ในโลกเสมือนจริง
“อย่าใช้แต่ตามอง” แมดเดอลีนตะโกนสอน คำแนะนำของเธอทำให้ได้รับสายตาดุ ๆ กลับมาจากอาเบลที่อยู่ในห้องซ้อม เธอจึงบ่นพึมพำคนเดียวและเลือกที่จะอยู่เฉย ๆ แทน
“อะ… อะไรเล่า แนะนำแค่นี้ก็ไม่ได้เรอะ”
...ไม่ใช้แค่ตา เหมือนกับตอนที่สู้กับนิดฮอกสินะ…
กิลเลนพยายามใช้จิตเพิ่งมอง เขาสัมผัสถึงเสียง กลิ่น แรงสั่นสะเทือน ประสาทสัมผัสรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอาเบลกำลังพุ่งเข้ามา กิลเลนเตะสวนออกไปด้วยความมั่นใจ แต่มันกลับ...
พลั่กกกก…
ร่างของกิลเลนลอยละลิ่วราวกับถูกรถพุ่งชนด้วยความเร็วสูง แรงกระแทกที่หน้าทำให้รู้สึกได้ว่าหัวกระโหลกของเขากำลังแตกร้าว ชายหนุ่มไม่เห็นร่างของอาเบลเพราะตัวเองลอยอยู่ สิ่งที่ปรากฎในสายตาต่อมาเป็นเพดานของห้องฝึกซ้อม แล้วสติของกิลเลนก็ขาดหายไปทั้งแบบนั้น
โชคดีของเขาที่เป็นแค่การต่อสู้ในโลกเสมือนจริงเท่านั้น ไม่งั้นการต่อสู้นี้จะจบลงด้วยชีวิตของเขา
“บ้าจริง ไอ้การมองด้วยจิตอะไรนั่นมันไม่ได้ทำได้ง่าย ๆ จริง ๆ ด้วย”
กิลเลนพบว่าไม่ใช่เพียงแค่แมดเดอลีนเท่านั้นที่เฝ้าดูการต่อสู้ของเขากับอาเบล เมื่อมองออกไปนอกห้องฝึกซ้อม ยังมีผู้ถูกเลือกและคาตาลิสต์อีกหลายคนที่จับตามองอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นก็คือแพทริค ทเวนผู้ที่สนใจในตัวกิลเลนมาตลอด
แต่สายตานั้นแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นสายตาเย็นชาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ไปกันเถอะ” หนุ่มแว่นบอกกับพรรคพวกของเขาก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“เดี๋ยวสิ จะไม่รอดูกันต่อเหรอ หมอนั่นอาจจะจับทางอะไรแล้วก็ได้นะ” เออร์ซิเนียคาตาลิสต์ของเขาแย้ง เธอยังคงยืนดูว่ากิลเลนจะทำอย่างไรต่อไป
“ไม่มีประโยชน์หรอก ต่อให้หมอนี่จับเคล็ดอะไรขึ้นมาได้ มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว”
เออร์ซิเนียพยักหน้าเพราะเธอเข้าใจสิ่งที่แพทริคอยากจะบอก หญิงสาวเดินตามคู่หูของตนไปโดยไม่หันกลับมามองอีก จากนั้นพวกเขาก็เดินออกจากห้อง ทำให้กลุ่มที่รอดูการต่อสู้ครั้งต่อไปของกิลเลนและอาเบลก็ลดไปกว่าครึ่ง และเมื่อการต่อสู้รอบถัดไปเริ่มขึ้น สภาพแพ้หมดรูปที่ไม่ต่างจากครั้งแรกก็ทำให้ไม่เหลือใครที่หน้าห้องฝึกซ้อมอีกเลย...
หลายวันต่อมา… ภารกิจกวาดล้างแวนเดียร์ที่เข้ายึดโรงงานแห่งหนึ่งถูกมอบหมายให้กับทั้งสองทีม
เดลตาทีมที่กิลเลนสังกัดและบีตาทีมของแพทริคเผชิญหน้ากับแวนเดียร์หลายสิบตัวที่ยึดห้องส่วนกลางเอาไว้หลังจากที่เดินทางมาถึง ในการต่อสู้ครั้งนี้ช่วยให้กิลเลนเข้าใจสายตาเย็นชาที่แพทริคมองมาที่เขาเป็นอย่างดี และนอกจากนั้นเขายังเริ่มรับรู้แล้วว่าการพัฒนาของตัวเองแทบไม่เพิ่มขึ้นเลยเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ
แพทริคและเออร์ซิเนียใช้พลังจิตของพวกเขาที่พัฒนาไปอีกขั้น สะกดการเคลื่อนไหวของแวนเดียร์กว่าครึ่งในห้องเอาไว้จนอยู่หมัด หนึ่งในสมาชิกของบีตาทีมแม้จะพลาดเสียมือข้างหนึ่งไปในการต่อสู้แต่เขากลับนำมาต่อใหม่อย่างหน้าตาเฉย
คู่ของแมรีและควินซ์ก็ใช้พลังแม่แหล็กได้จนคล่องแคล่ว ไม่เพียงแต่ทั้งสองจะใช้การควบคุมสนามแม่เหล็กเพื่อโจมตีแวนเดียร์แล้ว แวนเดียร์บางส่วนยังโดนพลังของคู่เปลี่ยนเป็นแม่เหล็กแล้วถูกดูดมาติดกันเป็นแผง ทำให้การต่อสู้เป็นไปอย่างรวดเร็วและง่ายขึ้น
ทางผู้ถูกเลือกและคาตาลิสต์ในทีมเดลตาเองก็ไม่น้อยหน้าเลย จัสตินคือหนึ่งในสมาชิกที่แข็งแกร่งขึ้นจนผิดหูผิดตา แรงกดดันที่บีบให้เขาต้องเหนือกิลเลนให้ได้ ทำให้พลังไฟฟ้าของเขาขยับไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด เมื่อรวมเข้ากับฝีมือการยิงธนูระดับโลกที่มีอยู่แต่เดิม ธนูสายฟ้าของเขาจึงกลายเป็นฝันร้ายของเหล่าแวนเดียร์ที่เข้ามาในวิถีการโจมตี
พีโอเนียพยายามอย่างมากที่จะช่วยเหลือกิลเลนในการต่อสู้ เธอมักจะมองไปที่กิลเลนและส่งสายฟ้าออกไปยามที่เขาเกือบพลาดท่า แต่มันยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ยิ่งกว่าเดิม บางครั้งกิลเลนก็จะพบว่าธนูของจัสตินได้หันมาหยุดอยู่ที่เขาอยู่บ่อยครั้ง
ประโยคเดิม ๆ ที่กิลเลนหวาดกลัวมาตลอดได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ในใจของเขารู้อยู่เต็มอก และยิ่งเห็นการต่อสู้ของทุกคนที่พัฒนาไปข้างด้วยแล้ว ทำให้กิลเลนรู้สึกว่าตัวเองย่ำอยู่กับที่
เขากำลังจะถูกแซง และครั้งนี้เขารู้ดีว่าต่อให้เขาพยายามมากแค่ไหนก็ไม่มีทางแซงกลับได้
...โลกนี้ไม่ใช่โลกที่มีที่ให้สำหรับผู้ไม่มีพลังพิเศษ...
“นายจะยอมให้ทุกอย่างจบลงแบบนี้จริง ๆ น่ะเหรอ” เสียงของอคาลาดังก้องราวกับเธอมากระซิบอยู่ข้างหูในขณะที่กิลเลนนิ่งไป ชายหนุ่มชะงักก่อนจะตอบกลับไปทั้งที่เธอไม่ได้อยู่ตรงนั้นและดูจะมีเพียงเขาคนเดียวที่ได้ยินเธอ
“แต่ว่าช่องว่างที่ไม่มีคาตาลิสต์…”
“ของแบบนั้นใครกำหนดกัน” เธอกล่าวเสียงเย็นเยียบ กิลเลนสามารถจินตนาการรอยยิ้มของเธอได้แม้จะไม่ได้เห็นหน้า “นายน่ะ พิเศษกว่าใคร โดยไม่จำเป็นต้องมีพลังแบบนั้นเลย”
“ฉันเนี่ยนะ” กิลเลนชะงักเมื่อได้ยินเเบบนั้น ยังไม่ทันที่จะถามต่อเพื่อคลายความสงสัย เสียงของอคาลาก็เริ่มจางหายไปทิ้งไว้แต่ประโยคปริศนาที่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็ไม่มีทางรู้ได้เลย
...แล้วสักวัน นายจะเข้าใจ ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงคืออะไร และสิ่งนั้นคือสิ่งพิเศษที่นายมีติดตัวมาตั้งแต่แรก…
“กรี้ดดดดด!”
พีโอเนียหวีดร้องเมื่อพลาดท่าเพราะถูกแวนเดียร์ตนหนึ่งโจมตีจากมุมอับ ทั้งที่รู้ว่าไม่จำเป็นเลยที่เขาจะต้องยื่นมือออกไป แต่ขาทั้งสองข้าของกิลเลนก็ทำงานไวกว่าความคิด ชายหนุ่มเอาตัวยืนขวางระหว่างแวนเดียร์ที่กำลังพุ่งเข้ามาหมายจะขย้ำหญิงสาวซ้ำให้ขาดใจ
ถึงในหัวจะยังเต็มไปด้วยคำถาม ถึงจะหวาดกลัวในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่กิลเลนก็บอกตัวเองให้ยืนหยัดต่อไป ตราบใดที่มือของเขายังยื่นออกไปถึงใครสักคน ตราบที่ยังมีใครสักคนที่ต้องการความช่วยเหลือ มันก็คุ้มค่าที่จะลุกขึ้นมาอีกไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หน
“จะไม่ยอมเห็นใครตายต่อหน้าอีกเด็ดขาด!” กิลเลนตะโกนสุดเสียง