ตอนที่ 16 พิธีชำระวิญญาณ
ตอนที่ 16
พิธีชำระวิญญาณ
“เอ่อ...ผมไม่มีเงินจ่ายนะครับ”
ธาวินมองแซนด์วิชไส้กรอกชีสหน้าตาน่ารับประทานที่เรียงกันอยู่ในกล่องบนมือตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้นอย่างหวั่นใจ เขาเพิ่งฟื้นขึ้นมาเมื่อเช้าหลังจากสลบไปเกือบสามวัน และขณะนี้ยังอยู่ในห้องพักฟื้นที่แผนกแพทย์วิญญาณ
แม้จะเป็นเรื่องจริงที่เขาไม่มีเงิน ไม่มีอะไรติดตัวมาจากไทยเลย แต่อย่างน้อยก็หวังว่าจะได้รับความเมตตาจากพี่สาวผู้น่ารักที่ตัวเล็กกว่าตัวเอง แต่แล้ว...
“ไม่เป็นไร เอาไว้หายดีแล้วค่อยมาทำงานใช้คืนก็ได้ แต่วันนี้ยกให้ฟรีก็แล้วกันนะ เป็นของขวัญที่เพิ่งหายดี”
โซอีตอบกลับเสียงเรียบ แม้ใบหน้าของเธอจะดูเป็นมิตรขึ้นไม่เอาแต่ทำหน้าบึ้งหน้าตายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ธาวินก็ยังทำตัวไม่ค่อยถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่สาวคนนี้เช่นเคย
“เอ่อ ขอบคุณครับ ว่าแต่คนอื่นๆ ไปไหนหมดเหรอฮะ”
เมื่อเห็นโซอีนั่งอยู่เพียงคนเดียวในห้องพักฟื้นเด็กหนุ่มจึงถามขึ้นอย่างสงสัย เพราะไม่เคยนึกเลยว่าจะเจอโซอีเป็นคนแรก อันที่จริงต่อให้เขาฟื้นแล้วโซอีไม่ได้มาเยี่ยมก็คงจะไม่แปลกใจด้วยซ้ำ
“คุณฟอแกนด์ คุณเอ็ดเวิร์ดกับชาเกลเข้าประชุมใหญ่ของกองปราบ เฮคเตอร์ตรวจสภาพตาอยู่ในห้องตรวจ ส่วนเคนเซย์ คือเมื่อคืนเหมือนจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น เหมือนเคนเซย์จะเป็นคนคลี่คลายสถานการณ์ได้แต่เขาก็ต้องนอนพักฟื้นที่บ้านเหมือนกัน”
“ไอ้พวกนั้นบุกมาอีกแล้วเหรอฮะ พี่เคนเป็นอะไรมากรึเปล่า”
“เปล่าหรอก คราวนี้ดูเหมือนไม่ใช่นะ ฉันก็ยังไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่ เอาไว้รอถามจากคุณเอ็ดเวิร์ดก็แล้วกัน ส่วนเคนเซย์ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก เมื่อวานเฮคเตอร์บอกว่าเขาคงจะแค่ใช้พลังมากเกินไปจนหมดสติก็เลยต้องพักฟื้นน่ะ”
“ไม่เป็นอะไรก็แล้วไป” เด็กหนุ่มอมยิ้มออกมาอย่างสบายใจก่อนจะกัดของกินเข้าปากเป็นคำแรก “อร่อยจัง... อร่อยยังกับพวกตามร้านดังขายที่ห้างใหญ่ๆ เลย”
โซอีอมยิ้มเมื่อถูกชมเรื่องรสชาติ สิ่งที่เธอรู้สึกภูมิใจในตัวเองอยู่เสมอ เสียงประตูห้องเปิดออกในตอนนั้นพอดี แล้วก็เป็นคุณหมออนาเซียที่พาเฮคเตอร์เดินเข้ามาในห้อง
“ทางนี้เรียบร้อยแล้วค่ะ รอน้ำเกลือกระปุกนี้หมด ธาวินก็น่าจะออกจากแผนกแพทย์วิญญาณได้เลยเหมือนกัน ฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะคะ”
เสียงแพทย์หญิงคนสวยทิ้งท้ายไว้ก่อนที่ประตูห้องจะปิดลงอีกครั้ง โซอีลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะพาเฮคเตอร์มานั่งแทนที่ตัวเอง แล้วหาเก้าอี้อีกตัวมานั่งลงข้างๆ
“ตาเป็นยังไงบ้าง เอาแซนด์วิชหน่อยมั้ย”
โซอีถามอาการเฮคเตอร์ เมื่อชายหนุ่มพยักหน้ารับเธอก็หยิบของกินออกจากกล่องพลาสติกแล้วใส่มือเขาไว้ให้
“ดีขึ้นแล้ว ไม่น่าเกินสามสี่วันนี้น่าจะเอาผ้าปิดตาออกได้แล้วล่ะ”
ชายหนุ่มตอบพร้อมกับกัดแซนด์วิชเข้าไปเต็มคำ แล้วหันไปถามธาวินด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“แล้วนายเป็นไงบ้าง ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย”
ธาวินหันมองพี่ชายพี่สาวทั้งสองสลับกันไปมา บรรยากาศที่ดูเหมือนว่าเขาเป็นส่วนเกินนี่มันคืออะไร
“น้อยใจจัง ทีกับผมละจะเก็บตังให้ทำงานชดใช้ ทีกับพี่เฮคเตอร์ทำไมถึงได้กินฟรี”
โซอีหันไปมองธาวินที่พึมพำขึ้นในทันที หัวคิ้วของหญิงสาวตัวเล็กขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจนัก
“คนในหน่วยเคซีโร่ทำอะไรเพื่อพวกเราตั้งเยอะแยะ เฮคเตอร์บาดเจ็บตั้งแต่ตอนไปคฤหาสน์นั่นก็เพราะพยายามปกป้องพวกเรานะ นี่ก็เป็นของตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันทำให้พวกเขาได้ แล้วเธอทำอะไรล่ะธาวิน เงินไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า คนเราต้องทำงานสิถึงจะมีเงินซื้อของกินของใช้ได้ คิดว่าตัวเองเป็นเด็กแล้วทุกคนต้องดูแลตลอดเวลาไม่ได้นะ”
สองหนุ่มต่างวัยเงียบอึ้งไปชั่วขณะ อันที่จริงธาวินเพียงแค่จะล้อเล่นเท่านั้น ไม่คิดว่าจะโดนดุด้วยความจริงจังแบบนี้เลย
“เอ่อ...ขอโทษครับ”เด็กหนุ่มได้แต่เอ่ยออกมาอย่างจนใจ
“เธอนี่ก็...เขาเพิ่งหายดี อย่าเพิ่งเข้มงวดเลย ขี้บ่นแบบนี้เดี๋ยวก็แก่ไวหรอก”
“แก่ได้ก็ดีสิ ฉันอยากหัวหงอกจะแย่แล้ว”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ เฮคเตอร์ได้ยินเสียงปิดฝากล่องพลาสติก นั่นแปลว่าเขาคงจะอดกินชิ้นต่อไปแล้ว
“ก็ได้ๆ ขอโทษด้วยฉันมันปากไม่ดีเอง”
ธาวินมองทั้งสองอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์นัก แต่ไม่กล้าถามมากความเรื่องนี้ต่อเพราะเกรงว่าอาจจะโดนดุกลับได้ทุกเมื่อ
“ว่าแต่...เห็นคุณหมอบอกว่านายออกจากแผนกพักฟื้นได้แล้ว จะเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับไปที่ออฟฟิศเลยมั้ย คงจะเย็นๆ โน่นแหละกว่าหัวหน้าจะได้พานายกลับไปที่พัก หรืออยากกลับไปก่อนรึเปล่าฉันไปส่งได้นะ”
“ขืนนายพาเขาไปส่งตอนนี้มีหวังธาวินได้นอนที่นี่ต่อ กลับไปรอคุณฟอแกนด์ที่ออฟฟิศดีกว่ามั้ย” โซอีเสนอแนะขึ้น เมื่อนึกถึงสภาพดูไม่จืดของตัวเองในวันนั้นแล้วก็ชวนให้เห็นใจธาวินที่เพิ่งอาการดีขึ้นจนลุกจากเตียงได้
“อะ จริงด้วยไม่ได้การละ วันหลังฉันต้องเริ่มพานายฝึกวาร์ปบ้าง เผื่อมีสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นมาจะได้พาไปไหนมาไหนได้ง่าย”
“มันรุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอฮะ”
“สยองพอๆ กับโดนดิคเคนส์ดูดพลังชีวิตนั่นแหละ โซอียังสลบไปเกือบวันตอนได้ลองครั้งแรก”
“โธ่พี่...ผมเพิ่งฟื้นจากที่นอนไปสามวัน ให้ผมลุกขึ้นมาทำอะไรบ้างเถอะฮะ”
“ฮะฮะฮะ ล้อเล่นน่ะ ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก ลุกขึ้นเก็บของเถอะ”
“แต่เมื่อกี้คุณหมอสั่งให้รอให้น้ำเกลือกระปุกนี้หมดก่อน กว่าจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก พวกพี่กลับไปก่อนเลยก็ได้เดี๋ยวผมตามไปเอง จำทางได้แล้ว”
“เก่งมาก กลับเองคนเดียวได้นะ” เฮคเตอร์แอบเปิดตาออกมาแล้วยกมือแตะบ่าเด็กหนุ่มเป็นไปสองสามทีเป็นการชื่นชม
“ได้สิ ผมโตแล้วนะ”
“ตอนอายุเท่านายฉันก็คิดว่าฉันโตแล้วเหมือนกันนั่นแหละ จนเจอคนที่โตกว่าจริงๆ แล้วทำให้รู้สึกว่าตัวเองปัญญาอ่อนมากที่คิดว่าตัวเองโตแล้ว ฮะฮะฮะ”
เฮคเตอร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้เตรียมพร้อมจะกลับเรียบร้อยแล้ว
“กินแซนด์วิชให้หมดซะนะ จะได้มีแรง”
โซอีลุกขึ้นจากเก้าอี้เช่นกัน และทันทีที่หญิงสาวร่างเล็กยื่นมือไปจับมือของเฮคเตอร์ไว้ เงาร่างของทั้งสองก็หายไปจากตรงนั้นในทันที
บรรยากาศออฟฟิศของหน่วยเคซีโร่ในเช้านี้เต็มไปด้วยความเงียบสงบ เมื่อคนส่วนใหญ่ไปเข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เคนเซย์เองก็ยังไม่ฟื้นและนอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน
เฮคเตอร์พาโซอีหายตัวกลับมายังหน้าโซฟา ก่อนที่หญิงสาวจะช่วยพาเขาไปนั่งพัก
“ค่อยยังชั่วนะที่ธาวินฟื้นพอดี ขืนนอนนานกว่านี้คุณเอ็ดเวิร์ดบอกว่าน่าจะเข้าข่ายผิดปกติแล้ว”
โซอีพูดจบแล้วก็เดินตามไปนั่งข้างๆ เฮคเตอร์ เธอหยิบขนมที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาขึ้นมากิน ชูครีมรสหวานนุ่มลิ้นสร้างความสุขเล็กน้อยประจำวันได้เช่นเคย
“นั่นสิ แบบนี้คงไม่น่าห่วงอะไรมาก เธอเองก็ใจดีกับเขาสักหน่อยเถอะ ดูแล้ว...ก่อนมาที่นี่สภาพความเป็นอยู่เขาไม่น่าจะดีเท่าไหร่ หัวหน้าบอกว่าตอนเจอกันครั้งแรกนี่คือ ไปช่วยเขาได้ทันพอดีจากตอนกำลังโดนทำร้ายร่างกาย”
“เขาโดนแกล้งที่โรงเรียนเหรอ”
“เปล่า...น่าจะเป็นที่บ้านมากกว่า”
โซอีใจหายวาบทีเดียวเมื่อได้ฟัง มิน่า...เจ้าเด็กไทยนั่นถึงได้ไม่ดูโหยหาการกลับบ้านเลยแม้แต่น้อย
“ฉันจะใจดีกับเขามากขึ้น แต่ยังไงก็ต้องให้มาช่วยทำงานบ้างนะ ถ้าติดนิสัยคิดว่าทุกอย่างได้ฟรีหมดตัวเขานั่นแหละที่จะลำบาก”
“ก็จริงของเธอนั่นแหละแต่ค่อยเป็นค่อยไปก็ดี พวกเราผ่านจุดที่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรๆ มานานแล้ว แต่เขาเหมือนเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง”
ฟังเฮคเตอร์พูดจบแล้วโซอีก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จะว่าไป...เธอยังไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาสักอย่างเดียว
“เฮคเตอร์ นายมาจากไหน นายไม่ใช่คนคาเรมตั้งแต่เกิดใช่มั้ย ตอนไปส่งเค้กด้วยกันนายพูดภาษาอังกฤษคล่องเลย ไม่ใช่สำเนียงแบบอังกฤษแท้ด้วย เคยอยู่อเมริกาเหรอ”
“เรื่องฉันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ห่วงเจ้าเคนมากกว่าตอนนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง คงต้องไปเยี่ยมสักหน่อยละ”
เฮคเตอร์เลี่ยงตอบคำถามที่เกี่ยวกับตัวเองอย่างเห็นได้ชัด เอาเถอะ...ที่จริงเธอเองก็ไม่ชอบให้ใครมาถามเรื่องในอดีตเหมือนกัน โซอีเชื่อว่าไม่ช้าไม่นานเธอก็คงจะได้รู้เองนั่นแหละ
“นั่นสิ เรื่องเมื่อคืนนี้เป็นเรื่องใหญ่เลยสินะ ดูวุ่นวายกันใหญ่เลย”
“ใช่ เราไม่เคยเจอกรณีแบบนี้มาก่อนเลย เรื่องยาวแน่ๆ งานนี้”
ชายหนุ่มตอบกลับแล้วเหยียดตัวลงเอนพิงกับโซฟาราวกับหมดแรง หญิงสาวร่างเล็กก็หันไปมองคนข้างตัว ไม่รู้ว่าเพราะเขาปิดตาอยู่เลยขยับตัวทำอะไรมากไม่ได้หรือเปล่า แต่หลังกลับจากคฤหาสน์ชาผีสิงนั่นเขาก็ดูซึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด พออยู่ที่พักก็เอาแต่ซ้อมชกมวยอย่างเอาเป็นเอาตายจนเธอต้องบังคับให้เขาพักผ่อนเสียบ้าง
กลับกัน... ตัวเธอเองต่างหากที่ดูร่าเริงผิดปกติ ทั้งๆ ที่คนที่ควรเศร้าซึมน่าจะเป็นเธอมากกว่าไหม
“พิธีชำระวิญญาณคืออะไรเหรอ เห็นพูดๆ กันว่าเคนเซย์ทำพิธีนั่นให้เพื่อนของเขาเมื่อคืนนี้”
“พิธีชำระวิญญาณเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวของนักปราบวิญญาณน่ะ มันเหมือนเป็นคาถาพิเศษที่มีติดตัวมาตั้งแต่เริ่มต้นปะทุพลัง นักปราบวิญญาณทุกคนสามารถทำพิธีนี้ได้ พิธีนี้จะชำระล้างวิญญาณของคนที่เราทำพิธีให้บริสุทธิ์ เป็นคาถาล้างวิญญาณที่แรงที่สุดแล้ว”
“อ๋อ เหมือนใช้พลังล้างสีดำให้กลับเป็นขาวแบบแรงๆ สินะ”
“ใช่ แล้วมันก็เป็นการถ่ายโอนพลังวิญญาณของตัวเองให้กับอีกคน เหมือนเอาวิญญาณของเราผูกไว้กับวิญญาณของคนอื่น ต่อให้เราตายไปแล้ววิญญาณส่วนหนึ่งของเราก็จะยังอยู่กับคนคนนั้น คนที่ได้รับการทำพิธีนั้นถ้าเป็นคนธรรมดาก็จะปะทุพลังวิญญาณเป็นนักปราบวิญญาณด้วย ส่วนมากก็จะกลายเป็นสายเดียวกับคนที่ทำพิธีให้นั่นแหละ แต่ถ้าเป็นนักปราบวิญญาณด้วยกันเองอยู่แล้วมันก็เหมือนการอัพเกรดพลังให้เพิ่มมากขึ้น”
“หืม... ไหนเห็นชอบบ่นกันว่านักปราบวิญญาณขาดแคลน ทำไมต้องทำพิธีให้คนกันเองด้วยล่ะ ก็ทำให้คนธรรมดาสิ เผื่อจะได้มีคนเพิ่มบ้างไง”
“ใช้มั่วๆ ไม่ได้หรอก เพราะชั่วชีวิตของนักปราบวิญญาณคนหนึ่งจะสามารถทำพิธีนี้ได้แค่ครั้งเดียวกับคนคนเดียวเท่านั้น”
“......อย่างนี้นี่เอง มันก็เลยดูเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเคนเซย์ที่ทำแบบนั้นสินะ”
“ถ้าเป็นนักปราบวิญญาณทั่วไปแบบพวกเราคงไม่เท่าไหร่หรอก แต่เพราะเคนเซย์เป็นทายาทสายตรงคนเดียวของตระกูลยูคิฮารุด้วย เขาแบกรับอะไรมากกว่าที่พวกเรานึกไว้เยอะเลยล่ะ เมื่อคืนนี้ ต่อให้หนทางแบบที่เคนเซย์ทำจะเป็นหนทางเดียวที่จะยุติเรื่องแบบไม่มีใครตายได้ก็ตาม ถึงจะปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นถูกวิสามัญฆาตกรรมโดยไม่มีใครใช้พลังนี้ก็จะไม่มีใครโทษใคร มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลขั้นสูงสุดของนักปราบวิญญาณน่ะ ไม่มีใครบังคับใครให้ทำพิธีนั้นได้”
“ถ้าทำได้แค่ครั้งเดียวทั้งชีวิตมันก็สำคัญจริงๆ นั่นแหละ เป็นฉันก็คงเก็บเอาไว้ใช้กับคนที่คิดว่า... อ๊ะ อย่างนี้นี่เอง ผู้หญิงคนนั้นคงเป็นคนที่น้องเล็กของเราแอบชอบสินะ”
“ก็คงจะอย่างนั้น ไม่งั้นคงไม่มีทางทำแบบนี้หรอก”
“แล้วนายเคยทำพิธีนั้นให้ใครไปรึยัง”
“ไม่เคย แล้วชีวิตนี้ก็ไม่คิดจะทำให้ใครด้วย”
ห้องเงียบสงัดขึ้นมาทันที สีหน้าของโซอีในตอนนี้จะเรียกว่าอึ้งจนช็อกก็คงได้ เมื่อคำพูดนี้ของชายหนุ่มส่งผลต่อเธออย่างน่าเหลือเชื่อ โซอีได้แต่จ้องมองเฮคเตอร์อยู่อย่างนั้น แม้สีหน้าจะไม่แสดงอะไรแต่อยู่ๆ ภายในใจของหญิงสาวกลับเจ็บแปลบจนน้ำตาแทบทะลักออกมา โซอีรู้สึกเหมือนตื่นจากฝันดีที่เผลอหลงใหลไปมีความสุขอยู่ชั่วขณะ เหมือนคนที่ตกจากการลอยได้บนท้องฟ้าให้กลับมาสู่โลกความเป็นจริงบนพื้นดิน
เธอก็แค่ถอดใจกับการใช้ชีวิตไปแล้ว เขาก็แค่สร้างความหวังเล็กๆ น้อยๆ ให้เธอว่าสักวันทุกอย่างจะดีขึ้น แล้วเธอก็แค่เผลอแสดงความอ่อนแอจนเอ่ยปากขอความช่วยเหลือที่ไม่เคยคิดว่าจะมีใครยื่นมันมาให้
ที่ผ่านมาเธอปล่อยตัวปล่อยใจกับเขาถึงขนาดนี้ได้ยังไง
จะคาดหวังอะไรจากคนที่เพิ่งได้พบกันไม่นานแบบนี้กัน...
จริงสินะ...เขาก็แค่คนขี้สงสาร ที่คงทนเห็นความบัดซบของชีวิตเธอไม่ได้ก็เลยอยากจะช่วยเหลือเท่านั้น มันคงไม่มีอะไรมากกว่านั้นอีกแล้ว ไม่มีทาง...
“น่าอิจฉาผู้หญิงคนนั้นของเคนเซย์จัง ความรู้สึกของการได้เป็นคนสำคัญของใครสักคนนี่มันเป็นยังไงกันนะ”
โซอีเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟา
“เดี๋ยว”
หลังได้ยินเสียงที่ซึมลงแปลกๆ เฮคเตอร์ก็แกะผ้าปิดตาออกแล้วจับต้นแขนของโซอีไว้ได้ทัน
หญิงสาวร่างเล็กหยุดชะงัก รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ
มือของเฮคเตอร์อุ่นอยู่เสมอ เธอรู้สึกได้ถึงสัมผัสอันอบอุ่นจากมือนั้นได้อย่างชัดเจน หมู่นี้ที่เธอหัวเราะได้บ่อยๆ ก็คงเป็นเพราะเขานั่นแหละ แต่เธอจะไม่อ่อนแออีกแล้ว ร้องไห้แล้วยังไง ร้องไปก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา มันก็แค่ทำให้เธอดูน่าสงสารในสายตาเขามากขึ้นเท่านั้นเอง
“ปล่อย” โซอีหันกลับไปสั่งเสียงเรียบ ใบหน้ามึนตึงนั้นกลับมาเป็นโซอีคนเดิมอย่างที่เป็นเสมอมา
“เอ่อ...เสียงเธอฟังดูแปลกๆ เลยนึกว่าโกรธอะไร”
“นายไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย มีอะไรที่ฉันต้องโกรธด้วย”
“ฟังเสียงดูก็รู้แล้วว่าเธอโกรธ อยู่ดีๆ เป็นอะไรไป”
เฮคเตอร์ไม่ยอมปล่อยและจ้องหน้าคาดคั้นต่อ จนท้ายโซอีก็ถอนใจด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย และตัดสินใจได้ในตอนนั้นว่าควรจะทำอะไรกับชีวิตต่อดี อย่างน้อยก็เพื่อตัดปัญหาที่ต้องมานั่งเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้
“ถ้าเบื่อเพราะไม่ได้ทำอะไรก็ทำงานหน่อยก็แล้วกัน ช่วยพาฉันไปห้องประชุมใหญ่ของพวกนายที ฉันตัดสินใจได้แล้วว่าตัวเองควรจะทำอะไร”
“เธอจะทำอะไร”
โซอีถอนใจอีกครั้งแล้วจ้องหน้าเฮคเตอร์ด้วยความเงียบ วิธีการกดดันแบบเดิมๆ ที่ทำให้ชายหนุ่มยอมแพ้เช่นเคย
“ฉันก็แค่พยายามหาวิธีกลับบ้านที่อังกฤษให้ได้เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นเอง”