ตอนที่ 15 อยากอยู่ด้วยกัน
ตอนที่ 15 อยากอยู่ด้วยกัน
ไฟดวงน้อยกำลังส่องสว่างลอดออกจากหน้าต่างของร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้กันดีกับคนในหมู่บ้านว่าจะปิดให้ทำการขายในช่วงเย็น แม้บานประตูใหญ่หน้าร้านจะปิดอยู่แต่การที่ได้เห็นเจ้าของร้านคนงามยังคงชะเง้อคอรอใครบางคนอยู่ที่ชั้นล่างจึงเป็นเรื่องที่แปลกแก่สายตายิ่งนัก
คนเดินผ่านไปมาต่างก็ทำหน้าสงสัยว่าเหตุใดทำให้เฒ่าแก่เนี้ยแห่งร้านนี้จึงยังไม่ขึ้นนอนได้แต่พวกเขาก็ไม่กล้าถามให้วุ่นวาย แต่ไหนแต่ไรก็แทบไม่มีใครเข้ามาวอแวกับเจ้าของร้านคนงามคนนี้นอกเหนือจากการทำกิจกรรมค้าขายอยู่แล้ว จะมีหนุ่มน้อยใหญ่จะมาจีบหรือยังไม่กล้าเลย
เพราะกลัวสายตาของชายรูปงามผู้เป็นลูกค้าประจำคนนั้น...
และชายรูปงามคนนั้นกำลังสร้างความร้อนใจให้จงฉิงเจียในตอนนี้เป็นอย่างมาก
หญิงสาวก็เดินวนไปวนมาอยู่ที่ชั้นล่างสักพักใหญ่แล้ว หลังจากเหมินจิ้นเค่อมาบอกว่าลูกพี่ลูกน้องของนางยังกลับไม่ถึงที่พัก เขาก็รีบแล่นออกไปตามหาเสวี่ยหงเยว่ทันดีด้วยความเป็นห่วง จงฉิงเจียเข้าใจดีว่านายทัพคนั้นยังคงมีบาดแผลในใจจากศึกเมื่อสิบสามปีก่อน...แต่ก็ไม่เห็นจะต้องทิ้งนางไว้คนเดียวเสียหน่อย
ทั้งที่นางอยากออกไปช่วยตามหา แต่นายทัพเหมินนั้นก็บอกห้ามเขาบอกช่วงเวลานี้ไม่เหมาะไม่สมควรที่จะให้ผู้หญิงอยู่นอกบ้าน
ช่างน่าโมโหเสียจริงเชียว ยังไงนายท่านก็เป็นน้องชายของข้านะ!
ไม่ว่าจะเมื่อไรเหมินจิ้นเค่อก็มองว่านางเป็นเด็กเสมอ ทั้งที่ความจริงแล้วนางก็อายุตั้งยี่สิบสาม...ใช่ ยี่สิบสามแล้ว หากเป็นสตรีที่อื่นคงได้ออกเรือนเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกได้แล้ว
หญิงสาวนั่งลงกับเก้าอี้ในร้านอาหาร เท้าแขนเกยโต๊ะวางคางบนฝ่ามือ พ่นถอนหายใจออกมายาวๆ เพื่อระบายความน้อยอกน้อยใจออกมา บางครั้งนางก็อยากจะเกิดเป็นชาย จะได้ทำอะไรได้อิสระ ไม่ต้องเป็นตัวถ่วงขาให้ใครเป็นห่วงพะวง
นางจะได้วิ่งด้วยกำลังของตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนสำคัญได้
แต่แล้วเสียงเคาะประตูหลังร้านก็ดังขึ้น เรียกให้หญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์คืนสติ จงฉิงเจียรีบลุกขึ้น วิ่งไปเปิดประตูให้ทันทีเพราะนึกว่าคนที่นางกำลังบ่นถึงกลับมาแล้ว
“เค่อเกอหานายท่านเจอไหมเจ้าค--- ว้าย!” แต่แล้วจงฉิงเจียก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ สิ่งที่นางเห็นไม่ใช่เหมินจิ้นเค่อ แต่เป็น…
เสวี่ยหงเยว่ที่สะบักสะบอมยับเยินไปทั่วตัว เลอะทั้งโคลนทั้งเลือด!
แถมไม่ได้มาคนเดียว ยังพาเด็กผู้ชายแปลกหน้าที่บาดเจ็บหนักและลูกหมูกลับมาด้วยอีกต่างหาก!
จงฉิงเจียรู้สึกอยากจะเป็นลมขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น...
จงฉิงเจียพาเสวี่ยหงเยว่และเหอไป๋เทียนขึ้นไปที่ชั้นสอง นางขอแยกตัวออกมาเพื่อไปหยิบอุปกรณ์สำหรับทำแผลมาให้ทั้งสองคน
“พี่สาวคนนั้นเป็นใครหรือขอรับ?” เหอไป๋เทียนเอ่ยถามหลังจากที่เห็นทีท่าสนิทสนมราวกับรู้จักกันมานานระหว่างเสวี่ยหงเยว่และจงฉิงเจีย เขาวางเสี่ยวจูกับพื้นให้มันเดินสำรวจเล่นในห้องพัก
“ลูกพี่ลูกน้องของข้าน่ะ” เขาตอบและนั่งลงที่ตั่งนอน ความรู้สึกนุ่มแสนสบายทำให้คิดถึงจนน้ำตาแทบไหลทั้งที่ห่างไปเจอความลำบากไม่ถึงวัน “มีอะไรหรือ อยู่ๆ ก็ถาม”
พอได้ยินคำตอบเหอไป๋เทียนก็มีสีหน้าครุ่นคิด เด็กชายลอบถอนหายใจออกมาก่อนจะส่ายหน้าตอบว่าไม่มีอะไร
“งั้นหรือ…” เสวี่ยหงเยว่ลากเสียง เขามองเด็กชายสลับกับกระบี่ที่วางพิงพนังไม่ไกล ในใจก็นึกนั่นเรื่องราวเกี่ยวกับเนื้อเรื่องของพระเอกกับกระบี่ในเรื่องย่อไปด้วย
หานหลิ่งเป็นกระบี่ที่มีความคิดเป็นของตัวเอง นิสัยดื้อดึงเย็นชาไม่ต่างจากชื่อของมัน แม้จะยอมให้เหอไป๋เทียนยืมพลังมาใช้บ้างแต่ก็เป็นพลังกระจ้อยระดับหาง
กว่าที่จะยอมรับเด็กคนนั้นเป็นเจ้านายก็เปลืองเนื้อที่เรื่องย่อไปหลายย่อหน้า
อยากจะเก่งก็ต้องอดทนนะไป๋เทียน...ถ้าหานหลิ่งยอมรับหนูแล้วหนูจะเทพกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่าตัวเลยล่ะ...
“กระบี่เจ้าปัญหาเอ้ย…”
“เมื่อครู่ หงเกอว่าอะไรนะขอรับ?” เหอไป๋เทียนที่ได้ยินเสียงพึมพำไม่ชัดเจนของเสวี่ยหงเยว่เอ่ยถาม
เสวี่ยหงเยว่ส่ายหน้า บอกว่าไม่มีอะไร เขาลุกเดินขึ้นไปหา วางมือลูบผมเด็กชายเบาๆ
“นามของมันคือหานหลิ่ง เจ้าจงเก็บรักษากระบี่เล่มนั้นไว้ให้ดี”
“ข้าจะรักษาให้ดีขอรับ” เหอไป๋เทียนรับ เดิมทีเขาก็รู้สึกถูกชะตากับกระบี่เล่มนั้นอยู่แล้ว ยิ่งพออีกฝ่ายบอกให้เก็บรักษาเขาก็ยิ่งรู้สึกอยากให้ความสำคัญกับมันมากกว่าเดิม “นามของมันคือหานหลิ่นสินะขอรับ ข้าจะจดจำเอาไว้”
“เก่งมาก…” เสวี่ยหงเยว่ยิ้มให้ เขาเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดง่ายๆ ที่ตนเอามาเก็บสำรองณ.บ้านหลังนี้มายื่นให้เหอไป๋เทียน
“เอาล่ะ เด็กดี เจ้าไปทำความสะอาดล้างเนื้อล้างตัวก่อน เมื่อฉิงเจียกลับมาจะทำแผลให้เจ้าดีๆ” เขาตัดบทด้วยการบอกให้เด็กชายไปอาบน้ำเสีย
เหอไป๋เทียนพยักหน้ารับ เชื่อฟังโดยง่ายไม่ดื้อไม่ขัดอะไร เขาเดินไปอาบน้ำตามที่เสวี่ยหงเยว่เอ่ยแนะโดยที่อุ้มเสี่ยวจูไปด้วย
เมื่อเด็กชายออกจากห้องไปแล้วจึงเหลือเสวี่ยหงเยว่เพียงคนเดียวในห้อง ชายหนุ่มทิ้งภาพลักษณ์แล้วไถตัวลงนอนกับที่นอนทันที ความเหนื่อยล้ำทำให้ยอมสยบต่อแรงดึงดูดจากหมอนนุ่มๆ
ในหัวก็คิดถึงเรื่องราวหลายสิ่งที่คุยกับเหมยฉีก่อนเดินทางกลับ
“เจ้าของกระบี่นั้นคือพ่อของเด็กคนนี้หรือ” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยถามในระหว่างที่ทอดสายตามองเหอไป๋เทียนกำลังเล่นกับลูกจิ้งจอกน้อยโดยมีเหล่าสัตว์รายล้อม
เหมยฉีที่ได้ยินคำถามในทีแรกก็ชะงัก เผลอแสดงอาการตกใจ แต่ด้วยอายุที่มากนักทำให้นางรีบเก็บซ่อนอารมณ์เอาไว้อย่างรวดเร็ว
“ข้ามองออกได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือเจ้าคะ?” เธอถาม
“ข้าคิดว่าตัวเองมองคนออกระดับหนึ่ง อีกทั้ง...ในบางครั้งที่เจ้าเล่าย้อนความหลังถึงชายคนรัก สายตาเจ้ามักมองไปที่กระบี่เล่มนั้น” เขาแค่คาดเดาเอาจากภาษากาย ยามที่สายตามองไปยังสิ่งใดบ่อยๆ หากไม่ใช่ว่าเพราะสนใจ ก็คงเพราะมีความในใจบางอย่างกับสิ่งๆ นั้น
และเหมยฉีมักมองกระบี่เล่มนั้นทุกครั้งเวลาที่นางเล่าถึงชายคนรักของนาง
“เขานำมาวางไว้ยังจุดที่ข้าและเขาพบกันครั้งแรกเจ้าค่ะ แต่ภายหลังพลังของกระบี่ทำให้ธรรมชาติบริเวณนั้นปั่นป่วน ข้าจึงต้องนำลงไปเก็บที่ถ้ำด้านล่างด้วยตัวของข้าเอง” นางเล่า ในสมัยนั้นนางเพิ่งตั้งครรภ์อ่อนๆ จึงยังมีพลังมากพอที่จะลงไปถ้ำใต้น้ำได้ ผิดกับความอ่อนแอในตอนนี้ กว่าจะกล้าแข็งเท่าก่อนนางคงใช้เวลานานกว่าจะฟื้นฟู
“หรือสิ่งที่ทำให้พวกท่านบาดเจ็บมาจากสิ่งนี้?” นางเงยขึ้นมองเสวี่ยหงเยว่ คล้ายจะถามว่ามีอะไรที่อยากเล่าหรือเปล่า เขาจึงได้เล่าเรื่องเงาดำนั้นให้นางฟัง
ซึ่งเหมยฉีก็รับฟัง โดยไม่กล่าวขัด กล่าวแย้งอะไร นางรับฟังอย่างสงบคล้ายคิดทบทวนบางอย่างไปด้วย
“แม้เขาจะเป็นสามีแต่ข้าก็ยอมรับ ว่าก่อนที่จะได้พบข้านั้นเขาเองก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไร กระบี่เล่มนั้นสังหารผู้คนมามากอีกทั้งยังมีชื่อเสียงในสมัยนั้น ข้ามั่นใจได้ว่าคุณสมบัติเท่านี้น่าจะสร้างวิญญาณยึดติดได้เจ้าค่ะ”
ระยะเวลาที่สะสมมาเป็นร้อยปี อีกทั้งยังอยู่ร่วมกับดอกไม้วิเศษ นางจึงไม่แปลกใจนักหากพลังความแค้นจะกล้าแกร่งมาพอเป็นรูปร่าง
“นายท่านอย่ากังวลใจไปเลยเจ้าค่ะ การที่กระบี่ของเขาอยู่ในมือนายท่านเหอ ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว” เธอกล่าวให้เสวี่ยหงเยว่มั่นใจ นางเชื่อว่าคนที่มีพลังและจิตใจที่ใสสะอาดเช่นนั้น ไม่นานนักจะต้องเป็นนายที่ดีของกระบี่เล่มนั้นได้
...และดีกว่าสามีของนางแน่นอน
“แต่ว่า…” นางขยับตัวไปหา เข้าใกล้เสวี่ยหงเยว่มากเสียจนได้กลิ่นดอกไม้หอมๆ จากตัวนาง ฝ่ามือนุ่มแตะแผ่นอกของเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมองในระยะที่ใกล้จนกระซิบได้
ในตอนแรกเสวี่ยหงเยว่เกือบดันเธอออก เขาไม่ใช่พวกเขินง่ายต่อสตรีแต่การที่คนแต่งงานมีลูกแล้วมาอยู่ใกล้ชิดกันระดับนี้ ความผิดบาปมันมากกว่าใจจะยอมรับได้จริงๆ
แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร เหมยฉีก็กระซิบบางอย่าง ที่ทำเอาเสวี่ยหงเยว่ชะงักไป
“เพื่อให้ท่านยังคงเป็นตัวเองได้ ได้โปรดเก็บเก็บทุกสิ่งที่ท่านได้จากในวันนี้อย่าให้ห่างกายนะเจ้าคะ” เธอกล่าวเช่นนั้นก่อนจะผละตัวออกมา แม้สีหน้าจะจริงจัง แต่รอยยิ้มก็ยังคงนุ่มนวลเช่นเดิม
“นี่คือสิ่งตอบแทนที่ข้าสามารถมอบให้ท่านได้เจ้าค่ะ นายท่าน”
เธอรู้อะไรบางอย่าง…
แต่บางอย่างนั้น...เธอไม่สามารถพูดออกมาได้ เธอทำได้แค่เพียงภาวนาให้เสวี่ยหงเยว่ทบทวนและเข้าใจด้วยตัวเองเท่านั้น
“อย่าทิ้งของที่ได้วันนี้มางั้นเหรอ”
เสวี่ยหงเยว่นึกถึงถ้อยคำของเหมยฉี มือเองก็ยกขึ้นมาแตะอกเสื้อตัวเองไปด้วย ทบทวนถึงสิ่งที่ตนได้มามาจากถ้ำพันปีในวันนี้…
อัญมณีสีดำ...กลีบดอกโบตั๋น
และเศษแร่ใสที่เอาออกมาจากร่างของเหอไป๋เทียน
พอคิดตามแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ไอเท็มสามชิ้นมาอยู่กับตัวแถมยังบอกว่าห้ามทิ้ง อัญมณีนั่นเขาเก็บไว้แน่ๆ หนึ่งชิ้นล่ะ แต่คำใบ้พวกนั้นเล่า เหมยฉีต้องการจะสื่ออะไรกับเขากันนะ? หรือมันอาจจะมีประโยชน์สำหรับการดำเนินเนื้อเรื่องกัน?
คิดให้สับสนวุ่นวายในหัว แต่สุดท้ายก็ตัดปัญหาด้วยการบอกตัวเองว่าเชื่อคำแนะนำคนอายุมากกว่านั้นย่อมเป็นเรื่องดี อีกทั้งเซนส์คนอ่านของเขามันบอก ว่าคำใบ้ตรงแหน่วมาชัดขนาดนี้ ไม่เก็บ…ก็จ้าดง่าวเกินทนล่ะครับ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ สองถึงสามครั้งก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดออก พร้อมกับจงฉิงเจียถืออุปกรณ์ทำแผลและเหมินจิ้นเค่อที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านตามมาด้วย
เสวี่ยหงเยว่จึงค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากการเอนหลังนอน คิ้วเรียวเข้มขมวดมุ่นเล็กน้อย รู้สึกผิดจับใจเมื่อเห็นสภาพของเหมินจิ้นเค่อ ท่าทางที่ดูทั้งโล่งใจทั้งเหนื่อยอ่อน ผสมกับหนักใจที่แสดงออกมาให้เห็น ทำให้มั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายคงตามหาเขาไปทั่วแน่ๆ
ความรู้สึกผิดเข้ามาพร้อมๆกันกับการเตรียมใจที่จะโดนบ่นเลย
“เด็กคนนั้นล่ะเจ้าคะ?” จงฉิงเจียถามระหว่างวางของที่ตนนำมาบนโต๊ะ
“เมื่อครู่ ข้าบอกให้เขาไปล้างเนื้อล้างตัวน่ะ” เสวี่ยหงเยว่ตอบ ก่อนจะถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของเหมินจิ้นเค่อ
“เช่นนั้นข้าขอลงไปเตรียมอาหารนะเจ้าคะ พวกท่านคงหิวกันแล้ว” เป็นจงฉิงเจียที่กล่าว นางรู้ดีว่าชายสองคนนี้คงมีเรื่องต้องการจะพูดคุยกันอย่างส่วนตัว
เมื่อบานประตูห้องปิดลงแล้ว นายทัพเหมินจึงค่อยๆ วางอ่างไม้เล็กๆ ที่ใส่น้ำอุ่นลง หยิบผ้ามาชุบน้ำแล้วยื่นส่งให้เสวี่ยหงเยว่เช็ดตัวชั่วคราวก่อนไปอาบน้ำ
เสวี่ยหงเยว่รับผ้ามาเช็ดเนื้อตัวอย่างว่าง่าย บรรยากาศเงียบชวนอึดอัดเข้าครอบคลุมจนทำให้เหงื่อตก เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะเริ่มต้นเปิดบทสนทนาดีไหม ในเมื่อ ‘ภาพลักษณ์ของเสวี่ยหงเยว่’ ที่สร้างมา เขาไม่มีทางเป็นผู้เปิดบทสนทนาในสถานการณ์แบบนี้ก่อนแน่ๆ
“นายท่าน…” เสียงแผ่วแหบแห้งดังจากคนที่เหนื่อยมาตั้งแต่ช่วงเย็น เหมินจิ้นเค่อค่อย ๆ เอ่ยออกมา ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและจริงจัง
“ท่านไม่ไว้ใจให้ข้าไปสำรวจป่ากับอย่างนั้นหรือ?” เหมินจิ้นเค่อเอ่ยถาม เขาคิดว่าการที่เสวี่ยหงเยว่ไม่ยอมบอกอะไรเพราะไม่ไว้ใจให้ตนตามไปด้ว
ไปสำรวจป่าหาหลักฐานเหตุการณ์คนในหมู่บ้านถูกสัตว์ป่าทำร้าย
เขาเข้าใจเช่นนั้น
เสวี่ยหงเยว่พ่นลมหายใจออกมา พอถูกบอกแบบนั้นเขาก็ยิ่งรู้สึกผิด
หากให้เปรียบเทียบนิสัยคนสนิทของเขาทั้งสองเป็นสัตว์ หลานซิ่นหลิงเป็นแมว เหมินจิ้นเค่อก็ไม่ต่างจากสุนัข
ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ซื่อตรง และซื่อสัตย์
อย่างที่รู้กันดีว่าเหมินจิ้นเค่อนั้นเป็นเด็กกำพร้าที่บิดาของเสวี่ยหงเยว่รับมาเลี้ยงดู เขาคิดเสมอว่าตัวเองต้องทดแทนบุญคุณ ทั้งความสามารถ ทั้งชื่อเสียง หรือแม้กระทั้งชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างเขาอุทิศให้กับสกุลเสวี่ยเสมอมา
และการที่เสวี่ยหงเยว่กระทำการอะไรโดยไม่บอกกล่าว ซ้ำยังเจ็บกลับมา นั่นคงเหมือนกันการทรยศต่อจิตใจอันภักดีนั้น
“ครั้งนี้เป็นเหตุสุดวิสัย” เสวี่ยหงเยว่จับจ้องอีกฝ่าย เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่ได้คิดจะปิดบังหรือกันเหมินจิ้นเค่อออก แต่ในครั้งนี้เขาถูกดึงให้เข้าไปในเนื้อเรื่องของเหอไป๋เทียนโดยไม่ได้ตั้งใจ สถานการณ์ไหลไปอย่างรวดเร็วจนขอความช่วยเหลือจากใครไม่ทัน
เสวี่ยหงเยว่รู้ดีว่าเหมินจิ้นเค่อไว้ใจได้และเป็นกำลังต่อสู้อันดีเยี่ยมมีหรือจะไม่อยากพกไว้ข้างตัวเพื่อเอาไว้ป้องกันจากภัยอันตราย
ถ้าดันเจี้ยนถ้ำใต้น้ำตกมีนายเหมินไปด้วยเขาคงสบายกว่านี้...เยอะ...
“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็ว นายทัพเหมิน กว่าที่จะจัดการอะไรได้ ข้าก็ไม่มีโอกาสร้องขอความช่วยเหลือแล้ว” เขาตอบไปตามตรง แม้จะไม่สามารถพูดถึงเรื่องเหมยฉีหรือเรื่องถ้ำใต้น้ำตกได้ก็ตาม “ข้าไม่ได้อยากทรยศต่อความภักดีของเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
ดวงตาสีแดงสบกับดวงตาของเหมินจิ้นเค่อตรงๆ เสวี่ยหงเยว่นั้นอยากให้อีกฝ่ายเข้าใจ ในสถานะที่ตัวเองเป็นเจ้านายและลูกน้องดีขนาดนี้
เขาไม่อยากให้เหมินจิ้นเค่อหมดความเชื่อมั่นใจตัวเองเพียงเพราะเรื่องแบบนี้
นายทัพหนุ่มคล้ายอยากจะกล่าวแย้างอะไรบางอย่าง เขารู้ดีกว่าเจ้านายของตนนั้นเป็นคนที่เก่งกาจ แม้จะเป็นอัจฉริยะที่แสดงกริยาวาจาโตกว่าวัยเสมอ
แต่อายุเพียงยี่สิบสามปีนั้นก็ยังน้อยนัก
อีกทั้งเรื่องเมื่อสิบสามปีก่อนยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเขา...มันเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนเขามาจนถึงทุกวันนี้
“เจ้าเชื่อใจข้าขนาดนี้ มีหรือที่ข้าจะไม่เชื่อใจให้เจ้าอยู่ข้างๆ”
แล้วเหมินจิ้นเค่อก็ไม่มีโอกาสได้แย้งอะไร ดวงตาและสิ่งที่ผู้เป็นนายสื่อออกมามันส่งมาถึงได้ทำให้ความขุ่นข้องสมเพชตัวเองละลายหายไปเสียจนหมด
เพียงแค่ได้รับคำพูดที่แสนจริงจังและจริงใจนั้นเขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชามากมายแค่ไหน
และเพราะเจ้านายเป็นเช่นนี้ เขาถึงได้ใจอ่อนไปเสียทุกครั้ง
“เข้าใจแล้วขอรับ…” เหมินจิ้นเค่อตอบ ก่อนจะเริ่มพูดบางสิ่ง “แต่เนื่องจากวันนี้ข้าไม่ได้ไปสำรวจกับท่านด้วย งานพรุ่งนี้ ข้าอาจจะต้องให้ท่านรับผิดชอบต่อหน้างานคนเดียวนะ”
เมื่อพูดจบนายทัพหนุ่มก็ยิ้มออกมา หน้าซื่ออย่างไม่มีเจตนาร้าย
ผิดกลับเสวี่ยหงเยว่ที่หน้าแห้งขึ้นมาสิบจุด!
พรุ่งนี้มีประชุมวางแผนรับมือสัตว์ร้ายกับคณะผู้นำหมู่บ้าน…
เสวี่ยหงเยว่รู้สึกราวกับมีตัวอักษรคำว่า ‘ฉิบหายแล้ว’ พุ่งมาฝาดหน้าหมายให้ตาย
เหอไป๋เทียนกอดเสี่ยวจูที่ทางเดินหน้าห้อง แม้ประตูจะปิดสนิทอยู่แต่เสียงพูดคุยกันระหว่างหงเกอกับชายอีกคนที่เขาไม่รู้จักก็ดังมากพอที่ทำให้ได้ยิน
อ้อมกอดของเด็กชายแน่นขึ้นเล็กน้อย เขากอดเสี่ยวจูแน่นขึ้นคล้ายกับกำลังระบายความแน่นที่อึดอัดในอก แม้จะไม่ได้ยินตั้งแต่ต้น แต่สิ่งที่ได้ยินก็ทำให้เขารู้สึกหน่วง
เจ้าเชื่อใจข้าขนาดนี้ มีหรือที่ข้าจะไม่เชื่อใจให้เจ้าอยู่ข้างๆ
อย่างนั้นหรือ…
ความอิจฉาเล็ก ๆ ก่อตัวในหัวใจ เขาเองก็อยากจะเป็นคนที่ได้รับความเชื่อใจจากหงเกอ แต่ในสายตาคนๆ นั้น เขาเป็นเพียงแค่เด็กและเป็นเด็กที่สร้างปัญหามากเสียด้วย
ในตอนนี้เขาไม่เหมาะสมที่จะได้รับความรู้สึกไว้ใจจนอยากให้อยู่ข้างๆ เลยแม้แต่น้อย
เจ็บใจ แต่ก็ต้องยอมรับความจริง
“ตายจริง อาบน้ำเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?” เสียงหวานอ่อนโยนดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นอาหารหอมๆ โชยฟุ้ง จงฉิงเจียยิ้มให้เหอไป๋เทียนอย่างเป็นมิตร ทำให้เด็กชายได้สติ เขาค่อยๆ เดินไปหาหญิงสาวที่ถือถาดอาหารซึ่งเป็นข้าวต้มหม้อใหญ่และเครื่องเคียงง่ายๆ สำหรับคนสามถึงสี่คน
“ข้าเข้าความรู้สึกของท่านดีเจ้าค่ะ” จงฉิงเจียเอ่ยเสียงเบาๆ ทั้งสองคนในห้องคงจะไม่รู้ตัวว่าพนังบ้านนางมันบางนักแค่เดินขึ้นบันไดมาก็ได้ยินบทสนทนาแล้ว
เธอมองสีหน้าของเด็กชายคนนั้น อีกทั้งยังกริยาอาการยามที่ได้ยินบทสนทนา แม้จะอ่านความคิดไม่ได้ แต่นางก็เข้าใจความรู้สึกนั้นดี
ความรู้สึกที่อยากเป็นประโยชน์ให้กับคนสำคัญของตัวเอง
“เพราะข้าเอง...ก็คิดเช่นเดียวกันกับท่านเจ้าค่ะ” เธอยิ้มให้เด็กชายอย่างจริงใจ
และรอยยิ้มนั้นทำให้เหอไป๋เทียนยิ้มออกมา ความรู้สึกเป็นมิตรเริ่มก่อตัว
เขาไม่มีพี่สาวมาก่อนแต่บรรยากาศจากเธอคนนี้ทำให้เหอไป๋เทียนเข้าใจ...ว่าบรรยากาศของพี่สาวที่แสนใจดีนั้นเป็นเช่นไร
“ให้ข้าช่วยยกไปนะขอรับ” เหอไป๋เทียนขันอาสาช่วยยกถาดอาหาร
เสียงเคาะเบาๆ สองสามทีดังขึ้นณ.ห้องๆ นั้น พร้อมกับบานประตูไม้ที่ค่อยๆ เปิดออก แม้จะขัดบทสนทนามิตรภาพลูกผู้ชายของชายหนุ่มทั้งสองไปบ้าง แต่กลิ่นหอมน่าทานของข้าวต้มก็ทำให้พวกเขาพับโครงการที่จะคุยต่อทันทีเนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเริ่มทำงาน
และการร่วมโต๊ะอาหารของคนสี่คนในห้องอันคับแคบวันนี้กลับสร้างความประทับใจให้เหอไป๋เทียนไม่รู้ลืม