ตอนที่ 14 การกำเนิด
ตอนที่ 14 การกำเนิด
หลังจากที่ร่างกายเริ่มฟื้นตัว อาการบาดเจ็บทุเลามากเพียงพอที่จะเดินทางแล้ว เสวี่ยหงเยว่จึงหาทางออกจากถ้ำแห่งนี้โดยคอยประครองเหอไป๋เทียนที่บาดเจ็บไปด้วย
“ไว้เราจะขึ้นไปทำแผลด้านบนกัน เด็กดี เจ้าอดทนไหวหรือไม่?” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยถาม เพราะเขาเห็นว่าหากไปด้านบนมีสมุนไพรพร้อมสำหรับทำแผล มันน่าจะเป็นการดีกว่าทำกันเองในสถานที่แบบนี้แล้วเกิดติดเชื้อขึ้นมา
เหอไปเทียนพยักหน้า เขาค่อยๆ ใช้ความสามารถในการรักษาที่ตนถนัดห้ามเลือดให้ตัวเอง
โชคดีที่ขาออกไม่ได้มืดเท่าตอนแรก แร่ใสนั้นมีคุณสมบัติส่องประกายได้ด้วยตัวเอง เสวี่ยหงเยว่จึงใช้มันต่างไฟฉายส่องทางเดิน พวกเขาใช้เวลาไม่นานในการออกมาจากอาณาเขตถ้ำใต้น้ำตกและเมื่อพ้นรัศมีพลังไป ก็มีปลาตัวใหญ่รอรับช่วยประครองคนเจ็บให้ว่ายขึ้นกลับไปด้านบนอย่างปลอดภัย
เมื่อขึ้นเหนือน้ำตกได้ พวกเขาทั้งคู่คายก้อนหญ้าศวาสะมัจฉาออกมานั่งหอบอยู่บนพื้นหญ้าโดยมีเหล่าสัตว์บกมารอด้วยความเป็นห่วง
โดยเฉพาะเสี่ยวจู มันวิ่งแทบกลิ้งเข้ามาสู่อ้อมกอดของเหอไป๋เทียนทันที
เสวี่ยหงเยว่รีบสูดลมหายใจรับอากาศบนบกราวกับคิดถึงมานาน น้ำตานี้แทบไหล ความสงบสุขไม่ต้องไปต่อยตีกับใครมันดีแบบนี้นี่เอง
“นายท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ!?”
เหมยฉีที่เห็นสภาพอันสะบักสะบอมของคนทั้งคู่ก็ถึงกับตกใจ นางรีบถามด้วยความเป็นห่วงทันที หากวิ่งออกไปได้ก็อยากวิ่งไปหา เพราะนางไม่คาดคิดว่าถ้ำด้านล่างนั้นจะมีอันตรายจนทำให้คนทั้งสองบาดเจ็บได้ขนาดนี้
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องกังวล” เสวี่ยหงเยว่แสร้งตอบอย่างคนไม่ยี่หระทั้งที่น้ำตาไหลพรากอยู่ในใจ พอได้เห็นสีหน้ารู้สึกของเหมยฉีความขุ่นเคืองในใจหายไปทันทีด้วยนิสัยขี้ใจอ่อน
“เจ้าช่วยหาสมุนไพรมารักษาคนเจ็บหนักกว่าข้าเถอะ” พูดจบแล้วก็เหลือบไปมองเหอไป๋เทียน
“เจ้าค่ะ...ถ้าอย่างนั้น นายท่านทั้งสองโปรดรักษาบาดแผลก่อน”
เหมยฉีกล่าวแล้วหันไปสั่งสัตว์ให้ไปช่วยหาสมุนไพรสำหรับรักษาบาดแผลให้คนทั้งคู่
พวกเขาหลบมุมไปยังที่สงบ ๆ เพื่อไม่ให้กลิ่นเลือดและกลิ่นคาวแผลไปรบกวนพวกสัตว์บางตัว
ไม่นานนักทั้งใบหนามแดงหรือแม้แต่สมุนไพรรักษาบาดแผลที่หายากมากก็มาวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาเต็มไปหมด สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเหอไป๋เทียนคนรักใบหญ้าเป็นอย่างมาก เด็กชายตาเป็นประกายแล้วแนะนำว่าใบนั้นใบนี้ใช้สำหรับทำอะไรให้กับเสวี่ยหงเยว่เป็นการใหญ่
“นั่งเฉย ๆ”เสวี่ยหงเยว่รีบสั่งก่อนที่เหอไป๋เทียนจะร่าเริงมากกว่านี้แล้วทำแผลฉีกกว่าเดิม
เหอไป๋เทียนทำหน้าหงอยเล็กน้อยแต่ก็เชื่อฟังที่บอกโดยดี
“หันหลังมาเถอะ ให้ข้าทำแผลเจ้า” พูดแบบนั้นแล้วจัดการใช้ใบหนามแดงบดทำความสะอาดบาดแผลตามเนื้อตัวโดยเฉพาะที่หลังของเหอไป๋เทียน แม้จะดีขึ้นมากจากการใช้พลังแล้ว แต่ก็ยังมีเศษแร่ใสตกค้างอยู่ในแผลเล็กน้อย อาการไม่สาหัสก็จริงแต่ก็ควรเอาออกเพื่อไม่ให้แผลอักเสบ
“หากข้าจะนำเศษแร่ใสออก เจ้าพอจะอดทนไหวหรือไม่” เขาเอ่ยคำถามที่ทำให้เหอไป๋เทียนสะดุ้งเล็กน้อย เด็กชายเม้มปากเหมือนลังเลแต่สุดท้ายก็พยักหน้าตกลง
“รบกวนด้วยนะขอรับ”
เสวี่ยหงเยว่รู้ดีกว่าเหอไป๋เทียนกำลังกลัวเจ็บ เด็กก็ยังคงเป็นเด็กแม้พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกกังวลสักเท่าใดก็ตาม
รู้สึกเอ็นดูไปด้วยและสงสารไปด้วย แต่เพื่อความปลอดภัยเขาต้องทำใจแข็งแล้วรีบทำแผลให้เสร็จ
เมื่อเตรียมการทำความสะอาดขั้นพื้นฐานแล้ว เสวี่ยหงเยว่จึงค่อยๆ จัดการดึงแร่ใสออกมาจากร่างของเหอไป๋เทียน
เหอไป๋เทียนกัดฟัน น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา เด็กชายสะดุ้งทุกครั้งที่แร่ใสถูกดึงออก แม้มีจำนวนไม่มากแถมยังชิ้นใหญ่ดึงออกง่าย แต่เวลาที่มันเสียดสีกับผิวก็ทำให้รู้สึกเจ็บแทบเป็นแทบตาย
คนดึงเองรู้สึกหวาดเสียวพอกัน แม้จะพยายามข่มอารมณ์ให้นิ่งสงบ หลอกตัวเองว่ามันเหมือนการทำแผลคนเดินเหยียบแก้ว ต้องเอาแก้วออก ไม่ต้องเห็นห่วงมันแค่นิดเดียว แก้วมันเอาออกมาได้ง่ายมาก ถ้าไม่เอาออกเดี๋ยวเป็นบาดทะยัก...
อา...หลอกตัวเองไม่ได้ผล
แค่เห็นก็ยังรู้สึกเสียวแผลแทน การทำแผลครั้งนี้เหมือนเขาได้รับประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง
เมื่อเอาเศษแร่ใสออกมาจนหมดแล้ว เขาจึงจัดการล้างแผลและบดสมุนไพรมาทาหลังให้ หลังจากนั้นก็นำผ้าพกผืนใหญ่ที่ตนทิ้งไว้บนบกกับเสื้อนอกมาฉีกออกให้ยาวมากพอที่จะทำผ้าพันแผล
“ดีขึ้นบ้างไหม?” เขาเอ่ยถามหลังจากพันแผลเสร็จ เสวี่ยหงเยว่หยิบเสื้อนอกของตนมาคลุมให้เด็กชายแล้วลูบหัวเบาๆ
เหอไป๋เทียนพยักหน้า แม้อาการปวดแปลบจะยังมีอยู่แต่ก็ไม่มากมายนักพอทนไหว เด็กชายกอดกระบี่หานหลิ่งที่หยิบติดมือเอาไว้แน่น คลื่นพลังของมันไม่สร้างความทรมานให้เขาเท่าตอนแรกพบแล้ว ไอเย็นๆ ที่มันแผ่ออกมาเป็นระยๆ นี้ช่วยทำให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น
เสวี่ยหงเยว่มองคนที่กอดดาบแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา โล่งใจปนกับความรู้สึกเอ็นดู
เมื่อจัดการแผลเสร็จก็เตรียมตัวไปหาเหมยฉีเพื่อส่งมอบกลีบดอกโบตั๋นพันปีให้กับนาง ในตอนแรกเขาตั้งใจให้เหอไป๋เทียนรอแต่อีกฝ่ายก็ดื้อบอกว่าอยากจะไปด้วยให้ได้
เสวี่ยหงเยว่เลยต้องยอมจำนนตามใจ พาเหอไป๋เทียนมาทั้งแบบนั้น
เขาเดินไปหานางจิ้งจอกสีหิมะซึ่งนางก็ถามอย่างห่วงใยถึงบาดแผลของคนทั้งคู่ หลังจากพูดคุยกันได้สักพักหนึ่ง เสวี่ยหงเยว่ก็หยิบกลีบโบตั๋นออกมาจากอกเสื้อยื่นให้เหมยฉี
“เอาล่ะ ถึงตาของเจ้าแล้ว”
ดวงตาสีหยกของเหมยฉีเบิกกว้างเล็กน้อยแม้เสวี่ยหงเยว่จะแยกสีหน้ารวมถึงความแตกต่างของสัตว์ไม่ออก แต่ตอนนี้ก็พอเดาได้ว่านางคงกำลังดีใจอย่างถึงที่สุด
จิ้งจอกสีหิมะโน้มใบหน้าลงมาหาช้าๆ เอาจมูกดุนดันบนฝ่ามือของเสวี่ยหงเยว่ ท่าทางน่าเอ็นดูราวกับสัตว์เลี้ยงอ้อนขออาหารจากเจ้านาย
เสวี่ยหงเยว่จึงค่อยๆ ป้อนกลีบดอกไม้หนึ่งกลีบให้นางได้กิน
เหมยฉีเคี้ยวอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางหัวใจที่เต้นระทึกของคนมอง
แม้จะพอเดาสถานการณ์ได้แต่เสวี่ยหงเยว่ก็อดใจเต้นกับฉากแบบนี้ไม่ได้จริงๆ นี่มันฉากกำเนิดของสัตว์วิเศษเชียวนะ! ต่อให้เกิดมาในโลกนิยายแฟนตาซีก็เถอะแต่โอกาสแบบนี้ทั้งชีวิตจะได้เจอสักกี่ครั้งเชียว!
เมื่อนางจิ้งจอกกลืนกลีบดอกไม้ลงท้องไปจนหมดแล้ว สักพักก็มีแสงสว่างก่อกำเนิดขึ้น ร่างของเหมยฉีเปล่งกระจ่างเจิดจ้าสร้างความแสบตาจนเสวี่ยหงเยว่ไม่อาจมองได้ตรงๆ
สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้มีเพียงแค่สีขาวที่แผ่คลื่นพลังแสนอ่อนโยนออกมาเป็นระยะเท่านั้น
ใช่...แสงแสนอ่อนโยนโอบที่ล้อมร่างของเหมยฉี แม้แสบตาแต่ก็ทำให้อบอุ่น เสวี่ยหงเยว่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แต่ถ้าเป็นคำวิจารณ์จากมุมมองคนอ่าน เขาก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมฉากแบบนี้ อารมณ์ประมาณนี้ จะต้องมีแสงสว่างจ้าแสบตาว้าบขึ้นมาบดบังตลอด มันให้ความรู้สึกเหมือนกับคนเขียนไม่รู้จะบรรยายฉากออกมาให้เป็นแบบไหนเลยตัดฉากเข้าสู่แสงแล้วก็ เย้! คลอด...
นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าแสงศีลธรรม
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ช่างมัน ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนหัวใจของเขาก็เต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นอยู่ดี มุมมองคนอ่านกับมุมมองตัวละครมันไม่เหมือนกัน สิ่งที่เขาเห็น สิ่งทีี่เขาพบเจอตอนนี้มันน่าตื้นตันมากเสียจนลืมความอยากแซะอยากแซวเนื้อเรื่องไปเกือบหมด
เมื่อแสงนั้นค่อยๆ จางหายลง ใจอยากจะวิ่งถลาไปหาด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากแค่ไหนแต่ก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ เสวี่ยหงเยว่จึงได้แต่รอจังหวะที่ตัวเองสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้
เขาทำได้แค่รออย่างใจเย็นให้แสงจางจนหมด ซึ่งพอแสงหมดก็เท่ากับว่าการทำคลอดอันแสนมหัศจรรย์นี้จะเสร็จสิ้นเสียที
แต่แทนที่จะเป็นเสียงร้องของลูกสัตว์ เสวี่ยงหงเยว่กลับได้เสียงร้องไห้งอแงแบบเดียวกับเด็กมนุษย์แรกคลอดดังออกมา
และเมื่อมองไปยังที่ตรงนั้น เขาก็ได้พบกับร่างของหญิงสาวและเด็กทารกคนหนึ่งปรากฏร่างแทนตรงที่เหมยฉีเคยนอนอยู่!
เธอคนนั้นมีผมเงินสะอาดราวกับหิมะ ดวงตาสีเขียวใสราวกับหยกเนื้องาม ใบหน้างดงามเรียบร้อยชวนมองอย่างไม่รู้เบื่อ เธอสวมชุดสีขาวตัดกับเขียวอ่อนเป็นเครื่องทรงสูงค่าปักลวดลายอย่างประณีต ในอ้อมแขนนั้นมีร่างของเด็กทารกตัวน้อยส่งเสียงร้องไห้หลังจากออกมาจากครรภ์
เขารู้ได้ในทันทีว่าผู้หญิงคนนั้นคือเหมยฉีร่างมนุษย์เพราะนางยังคงใบหูและหางทั้งเก้าเอาไว้เหมือนตอนที่ยังเป็นจิ้งจอก
เสวี่ยหงเยว่มองภาพนั้นพลางทำใจให้ชิน คิดว่าสัตว์บำเพ็ญเพียรย่อมสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อยู่แล้วมันไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ
แต่ที่ผิดปรกติคือลูกของนางที่ควรจะเป็นจิ้งจอกกลับเกิดมาในร่างของมนุษย์!?
“นายท่านคงกำลังสงสัย ว่าเหตุใดข้าจึงใช้ร่างนี้ในการให้กำเนิดใช่ไหมเจ้าคะ?” เสียงหวานสุภาพคุ้นหูยิ่งทำให้เสวี่ยหงเยว่มั่นใจว่าหญิงสาวคนนั้นคือเหมยฉี
เหล่าสัตว์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันเดินไปหา ไปอ้อมล้อมร่างของเหมยฉีและลูก พวกมันดูตื่นเด้นและดีใจ สังเกตได้จากการที่หางพวกมันส่ายไกวกันดิ๊กๆ จนแทบหลุด
“อืม…” เสวี่ยหงเยว่ตอบก่อนจะเดินตามเหล่าสัตว์ไปมองดูเด็กน้อยในอ้อมแขนของเหมยฉี เขาเป็นเด็กผู้ชายดวงตาสีเขียวหยก หน้าตาน่ารักตัวจ้ำม่ำ แก้มยุ้ยน่าเอ็นดู อีกยังมีหู และหางจิ้งจอกเช่นเดียวกับผู้เป็นมารดา
น่าเอ็นดูเหลือเกิน
เสวี่ยหงเยว่แทบอยากเอามือปิดปากร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติ การได้พบเจอกับเด็กน้อยน่ารักมีหูมีหางสัตว์ตัวเป็น ๆ แบบนี้ ถ้าไม่ติดว่าข้างตัวมีเหอไป๋เทียนยืนอยู่ เขาคงกลิ้งกับพื้นสามตลบแล้วกู่ร้องให้ดังก้องฟ้าไปแล้ว
เห็นแล้วค่อยรู้สึกคุ้มที่บุกน้ำลุยถ้ำไปเอาโบตั๋นมาให้เลย
“นั่นเป็นเพราะเลือดกึ่งหนึ่งของเด็กคนนี้เป็นสายเลือดของมนุษย์เจ้าค่ะ” เหมยฉีตอบ ก่อนนางจะค่อยๆ นำผ้าแพรพืนนุ่มที่ใช้คลุมไหล่มาห่มร่างลูกน้อยที่กำลังเคลิ้มหลับ
“เมื่อร้อยปีก่อน...ข้าได้พบรักกับมนุษย์ผู้หนึ่ง”
เสวี่ยหงเยว่พยักหน้า แม้จะนึกฉงนแต่ก็ไม่ได้มาก เขาคุ้นเคยกับพล็อตแนวสัตว์วิเศษตกหลุมรักกับมนุษย์มามากพอควรจึงทำให้เก็บอารมณ์ได้ดี ผิดกับเหอไป๋เทียนที่ดูจะตกใจ เด็กชายนั้นไร้เดียงสาต่อโลกภายสมกับวัยสิบห้า อีกทั้งเซ็ตติ้งของโลกใบนี้เรื่องความรักต่างเผ่าพันธ์คงเป็นเรื่องแปลกประหลาด
แต่ร้อยปีที่ว่านี่...
“ร้อยปีเชียวหรือขอรับ” เหอไป๋เทียนเอ่ยถามเสียงใสซื่อไร้เดียงสา เขาดูจะให้ความสนใจกับเรื่องราวแปลกใหม่นี้ ซึ่งเหมยฉีเองพอได้ยินก็มองมายังเด็กชาย เธอดูคิดอะไรเล็กน้อยคล้ายจะพิจารณาบางอย่างอย่าง
แต่สุดท้ายนางก็ยิ้มออกมา
“ใช่แล้วเจ้าค่ะนายท่านเหอ” เหมยฉีตอบ มองเด็กน้อยในอ้อมแขนด้วยสายตารักใคร่
นางจิ้งจอกสีหิมะเงียบไปสักพักเพื่อกล่อมลูกน้อยให้หลับ แต่ท่ามกลางความเงียบเฉียบนั้นเหมยฉีรู้สึกราวกับถูกศรล่องหนไร้ความเจ็บปวดยิงใส่เป็นระยะ ๆ พาให้อึดอัดใจ ไม่ว่าจะเอี้ยวตัวหลบ จะหันหลัง หรือจะหนีไปทางใดก็รู้สึกถึงการทิ่มแทงจนทนไม่ไหว
และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาปริศนาก็กระจ่าง สิ่งที่ทิ่มแทงเธออยู่ก็คือสายตาเปี่ยมเต็มไปด้วยอยากรู้อยากเห็นจากนายท่านทั้งสองนั่นเอง
มันจริงจังมากเสียจนให้แสร้งหลบตาก็ทนไม่ไหว
ใครว่ามีแต่เด็กสาวที่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กัน นายท่านทั้งสองตอนนี้เองก็ไม่ต่างจากนางเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
นางจิ้งจอกกระแอมเสียงเบาสุดท้ายแล้วเธอก็ใจอ่อน ยอมเล่าเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาให้ฟัง
เหมยฉีเมื่อร้อยปีก่อนนั้น เธอเป็นจิ้งจอกที่เพิ่งบำเพ็ญเพียรสำเร็จได้ไม่นาน วันหนึ่งเกิดนึกซุกซนแปลงร่างเป็นมนุษย์ออกไปเดินเล่นในเมิืองของมนุษย์ การได้พบกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม และประเพณีของชาวบ้านในเมืองเปิดหูเปิดตาให้สัตว์ป่าอย่างนางมาก นับตั้งแต่นั้นมา เหมยฉีก็ติดใจแปลงกายลงมาเที่ยวเล่นในเมืองบ่อยเท่าที่เวลาว่างของตัวเองจะเอื้ออำนวย
แม้จะแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่สมัยนั้นพลังนางไม่แข็งกล้าจึงไม่สามารถแปลงร่างได้นาน เมื่อถึงเวลาที่พลังอ่อนแอ เธอจะรีบออกจากเมืองเพื่อกลับมายังน้ำตกแห่งนี้ ซึมซับพลังธรรมชาติให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นทันที
เธอทำเช่นนั้นเรื่อยมาจนสนิทสนมกับคนในหมู่บ้าน
จนกระทั่งวันหนึ่งในคืนจันทร์เต็มดวง เธอเอาแต่เที่ยวเล่นในเทศกาลลอยโคมจนเกินจำกัดร่างกาย จะรีบกลับไปยังน้ำตกก็ไม่ทันเสียแล้ว เธอหมดสิ้นพลังไม่อาจคงสภาพมนุษย์ได้ เหมยฉีกลับไปเป็นจิ้งจอกที่อ่อนแอ นอนหมดเรี่ยวหมดแรงท่ามกลางป่าเขาลึกชัน
แม้เธอจะเป็นสัตว์บำเพ็ญเพียรแต่ถ้าพลังเหลือน้อยก็ไม่ต่างจากสัตว์ทั่วไป ยิ่งยามร่างกายอ่อนแรงขยับไปไหนไม่ได้ หากไม่ลงเอยด้วยการถูกคาบไปเป็นกินอาหารก็ต้องนอนรอความตายเพราะอดอยาก
แต่นางยังโชคดี ได้รับความช่วยเหลือจากนักเดินทางพเนจรผู้หนึ่ง เขาเป็นผู้ฝึกวิชาเดินทางรอนแรมมานานเพื่อศึกษาหาความรู้ทั่วดินแดนอวิ๋นเจวี้ยน
นักเดินทางผู้นั้นก็ให้การเลี้ยงดูเอาใจใส่นางเป็นอย่างดีทั้งที่นางเป็นเพียงแค่จิ้งจอกอ่อนแอตัวกระจ้อย เหมยฉีตกหลุมรักเขาหากแต่สิ่งที่เขามอบให้นางเป็นกลับความรู้สึกที่ไม่แตกต่างจากมนุษย์ที่เอ็นดูสัตว์เลี้ยง
เมื่อเป็นเช่นนั้นนางจึงได้หนีจากเขาไปเพื่อกลับไปบำเพ็ญเพียรสะสมพลังมากพอที่จะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้นานกว่าเดิม
หล่อนตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะทำให้ชายพเนจรผู้นั้นตกหลุมรักนางให้จงได้
แม้จะใช้เวลานานแต่สุดท้ายเหมยฉีก็สำเร็จวิชาแปลงร่าง อีกทั้งนางทำให้ชายคนนั้นตกหลุมรักได้สมใจหมาย พวกเขาแต่งงานและตัดสินใจที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่หมูบ้านแห่งหนึ่ง โดยที่เหมยฉีได้ปกปิดความลับของการเป็นจิ้งจอกเก้าหางเอาไว้
ทว่าความสุขของความรักที่สมหวังก็มีได้ไม่นาน ความลับที่นางเป็นจิ้งจอกก็ถูกเปิดเผย สร้างความหวาดกลัวและความกังวลใจให้กับชาวเมือง พวกเขาไม่ยอมให้มีสิ่งมีชีวิตที่แปลกแยกอยู่ร่วมอาศัยด้วยและปิดล้อมขับไล่นางให้ออกไปจากหมู่บ้าน
เพื่อความปลอดภัยของสามีนางจึงต้องจำใจแสร้งเป็นปิศาจร้ายโกหกว่าล่อลวงชายคนนั้นมาแต่งงาน หลังจากนั้นก็หลบหนีออกจากหมู่บ้านไปโดยไม่รู้ตัวว่าตนกำลังตั้งครรภ์
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบกับนาง
หลังจากนั้น ต่อให้เขาจะเที่ยวตามหานางแค่ไหน ไกลแสนไกลสักเท่าใด นางก็ไม่แสดงตัวตนให้สามีได้เห็นอีกเลย
หลังจากที่หนีมา ประสบการณ์หลายอย่างก็กลายเป็นดังครูสั่งสอนจิ้งจอกเอาแต่ใจให้เห็นถึงสัจธรรม เหมยฉีตระหนักได้แล้วว่าช่วงเวลาการมีชีวิตของพวกเขาทั้งคู่แตกต่างกันมากแค่ไหน นางยอมตัดใจให้เขาพบกับเส้นทางชีวิตใหม่ให้คุ้มกับชีวิตอันแสนสั้นของมนุษย์ ดีกว่าจมอยู่กับจิ้งจอกเฒ่าเช่นนาง
“และก็เขาตายไปโดยไม่อาจเห็นหน้าลูก” เธอเอ่ยเสียงเศร้าแล้วลูบหัวเด็กชาย น้ำตาเอ่อคลอที่ดวงตาคู่สวย แต่นางก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมา “ขนาดจะมีลูกให้เขา ข้ายังใช้เวลาเป็นร้อยปี”
ต่อให้พวกเขายังอยู่ด้วยกัน ต่อให้ไม่มีเรื่องราวร้ายๆ เกิดขึ้น อายุครรภ์ของจิ้งจอกเก้าหางนั้นก็ยาวนานเกิดกว่าจะรอให้ลูกออกมาพบหน้าพ่อ...
เหมยฉีนึกเกลียดสิ่งที่เรียกว่าเวลา..
ช่วงชีวิตของมนุษย์นั้นสั้นมากอยู่ให้ถึงอายุเก้าสิบยังยากในขณะที่ร้อยปีสำหรับจิ้งจอกเก้าหางนั้นช่างรวดเร็วราวสายลมพัด
สิ่งที่เรียกเวลามันไม่สมดุลกันซ้ำยังโหดร้ายเสมอ
ทั้งที่รักมาก แต่สุดท้ายความดื้อรั้นคิดน้อยของนางก็สร้างผลเสียตามมาไม่รู้จักจบสิ้น สร้างความเจ็บปวดให้กับนาง สร้างบาดแผลไม่มีวันลบเลือนให้กับคนที่ตนรัก
นางยังคนทรมานมาจนถึงทุกวันนี้ ความเจ็บปวดที่ฝังรากลงไปตลอดกาลนี้มันคงเป็นผลกรรมจากการกระทำของนาง
เสวี่ยหงเยว่ฟังสิ่งที่นางจิ้งจอกหิมะเล่าเงียบๆ แม้จะรู้สึกขัดใจกับบทสรุปของเรื่องราวมากแค่ไหนแต่ความขัดใจของเขามันก็เป็นเพียงมุมมองคนนอก
เขาไม่เห็นด้วยกับเหตุผลของเหมยฉีก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจนาง การปล่อยให้คนที่รักไปเจอสิ่งดีกว่านั้นเป็นเรื่องดี แต่ทำไมนางถึงไม่ถามความเห็นของคนรักตัวเองบ้าง
บางทีเขาอาจจะไม่ต้องการสิ่งอื่นนอกจากการมีความสุขกับคนที่รักก็ได้
ใจอยากเอ่ยแย้งด้วยคำสวยหรูสักเท่าไรแต่สุดท้ายเสวี่ยหงเยว่ก็เลือกที่จะเงียบไม่เอ่ยกล่าวอะไรต่อ การตัดสินใจนั้นเป็นทางเลือกของเหมยฉี อีกทั้งเรื่องราวในอดีตไม่อาจกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว คำพูดของคนแปลกหน้าที่ไม่รู้อะไรเลยมีแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้อีกฝ่ายไปเสียเปล่าๆ
เหมยฉีเองก็คงได้รับถึงบทเรียนของสิ่งที่นางได้กระทำลงไป
มันเป็นเรื่องที่เขาข้องเกี่ยวด้วยไม่ได้...และไม่สมควรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ต่อให้ใจจะรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตามที...
เมื่อพวกเขาพูดคุยกับเหมยฉีเสร็จแล้ว และอะไรหลายๆ อย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เสวี่ยงหงเยว่จึงได้พาเหอไปเทียนออกมาพักที่มุมสงบๆ ใต้ต้นไม้ บรรยากาศร่มลมดี พระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนคล้อยตกดิน บ่งบอกถึงช่วงเวลายามค่ำที่กำลังใกล้มาถึง
“มาพักก่อนเถิดไป๋เทียน หากเจ้าดีขึ้นแล้วข้าจะพากลับเมือง” พูดจบไปเสวี่ยหงเยว่ก็ชะงักเล็กน้อย เพราะเหอไป๋เทียนมองมาทางเขาทีสลับกับตักของเขาที สายตาของเจ้าตัวเล็กแสดงความออดอ้อน สื่อความหมายอย่างไม่ปิดบังว่าอยากนอนหนุนตัก
เสวี่ยหงเยว่ยิ้มเล็กน้อย ค่อยๆ เอามือปรบตักตนสองสามทีด้วยสีหน้าเรียบเฉยปกปิดความลิงโลดที่อยู่ในใจ เขากำลังมีความสุข ชีวิตนี้เพิ่งจะเคยมีเด็กน่ารักมาอ้อนขอหนุนตัก เขาไม่มีทางปฏิเสธให้เจ็บใจภายหลังแน่นนอนต่อให้ตอนนี้ต้องเล่นบทคนไร้อารมณ์อยู่ก็ตาม!
เหอไป๋เทียนขยับมานอนหนุนตักของเสวี่ยหงเยว่ เด็กชายหลับตาลง แต่ทำอย่างไรก็หลับไม่ลง เรื่องราวของเหมยฉียังคงวนเวียนอยู่ในหัว
“หงเกอ…”
“เราฟังเรื่องในอดีตของเขาไม่ใช่เพื่อไปวิจารณ์เขา” ราวกับรู้ว่าจะโดนถามอะไร เสวี่ยหงเยว่จึงตอบก่อนที่เหอไป๋เทียนจะพูดจบ เขาลูบเส้นผมของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
“เด็กดี...เรื่องผิดพลาดนั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อไปตำหนิติเตียนหรือตอกย้ำผู้กระทำให้จมไปกับความผิดหรอกนะ เรื่องของคนอื่นเราแก้ไขอะไรให้เขาไม่ได้หรอก สิ่งที่เราควรทำนั่นคือรับฟังอย่างจริงใจและเรียนรู้ให้ประสบการณ์เหล่านั้นเป็นครูต่างหาก”
เหอไป๋เทียนนิ่งเงียบ เขารับฟังสิ่งที่อีกคนพูดอย่างตั้งใจ
“เรียนรู้เพื่อให้ตัวเองมีแนวทางในการแก้ปัญหา หลังจากนี้ไปเจ้าจะต้องพบเจอกับบทเรียนชีวิตอีกมากมายนัก” ปลายนิ้วลูบไล้เส้นผมนั้น เสวี่ยหงเยว่หรี่ตามองคนที่นอนหนุนตักตนอย่างเอ็นดู
ความเพลียผสานเข้ากับความเพลินที่ถูกลูบผม ทำให้เหอไป๋เทียนค่อยๆ ถูกดึงเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเชื่องช้า เสียงของอีกฝ่ายค่อยๆ ห่างไปเรื่อยๆ แม้จะยังได้ยินคลออยู่ในหูก็ตาม
“ปัญหาที่ผ่านเข้ามาทดสอบจะทำให้เจ้าได้เติบโตอย่างเข้มแข็งและมั่นคงได้แน่นอน”
สำหรับเหอไป๋เทียนนั้น...ขอแค่เพียงคนตรงหน้านี้อยู่ด้วย ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน จวบจนถึงอนาคต เขาก็ไม่กังวลอะไรอีกต่อไปแล้ว
เขาอยากจะเรียนรู้ทุกๆ อย่าง เพื่อให้ตัวเองมั่นคงมากพอ