บทที่ 32 มุ่งหน้าสู่นิกายคังเหลียน
บทที่ 32
มุ่งหน้าสู่นิกายคังเหลียน
การเดินทางไปยังสำนักนิกายคังเหลียนครอบคลุมระยะทาง 10,000 ไมล์ แม้แต่การขี่ม้าสายเลือดปีศาจซึ่งสามารถเดินทางได้ 1,000 ไมล์ต่อวัน ยังคงต้องใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนเพื่อไปถึงสำนักนิกาย
ตามเส้นทาง มีม้าสายเลือดปีศาจมากมายยืนตระหง่านอยู่หลายตัว
บนหลังม้ามีเฉินจงหมิง ศิษย์ภายในนิกายเจ็ดคน และศิษย์สาวกได้รับคัดเลือกใหม่อีก เจ็ดคน รวมถึงเฉินตูเหลียง
ตระกูลเฉินตูเป็นตระกูลของขุนนางในเมือง ได้รับตำแหน่งเข้าสู่นิกายทุก ๆ 4 ปีและบังเอิญปีนี้เป็นปีที่สี่
“ท่านพี่ซาน มีศิษย์กี่คนในการรับสมัครครั้งก่อน”
ตลอดทาง มีเสียงสนทนาตอบโต้ซ้ำแล้วซ้ำอีก คราวนี้เป็นหยางไคเมื่อเขาหันไปถามหยางซาน
หยางซานตอบว่า “มากมายเกือบหมื่นคน”
“หนึ่งหมื่นคน” หยางไคอ้าปากค้าง “มีเมืองมากมายภายใต้แคว้นคังเหลียนเลยเหรอ”
หยางลี่ที่ขี่ม้าข้างหยางซานอธิบายเพิ่มเติม “เมืองหยุ่นวู่ของเราเป็นเมืองเล็ก ๆ มีประชากรเพียง 1 ล้านคนทั่วทั้งเมือง เมืองใหญ่อื่น ๆ บางแห่งมีประชากรสูงสุด 10 ล้านคนและได้เข้าสู่นิกาย 10 หรือ 20 คน นอกเหนือจากนั้นภายในแคว้นคังเหลียน ยังมีสถาบันการต่อสู้มากมายที่รับผิดชอบในการขัดเกลาผู้มีพรสวรรค์สำหรับนิกาย”
“สถาบันการต่อสู้!”
หลี่ฟู่เฉินเคยได้ยินเกี่ยวกับสถาบันการต่อสู้มาก่อน ในภูมิภาคของเมืองหยิงเฟิง มีสถาบันศิลปะการต่อสู้ หยิงใช ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหยุ่นวู่เพียงไม่กี่ร้อยไมล์
สถาบันการต่อสู้ส่วนใหญ่คัดเลือกพลเรือนสามัญจากตระกูลใหญ่หรือตระกูลรองเป็นครั้งคราว ในความเป็นจริงสถาบันการต่อสู้เป็นทางเลือกที่ดีเนื่องจากสภาพแวดล้อมในการแข่งขันนั้นสามารถช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการต่อสู้ได้
การเข้าสถาบันการต่อสู้นั้นยากกว่าการเข้าร่วมการแข่งขันอัจฉริยะของเมืองต่างๆ ในเมืองหยุ่นวู่ ผู้เข้าร่วมการแข่งขันอัจฉริยะมีประมาณ 100 คน แต่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันอัจฉริยะภายในสถาบันการต่อสู้มีจำนวนสูงกว่านั้นมาก ...
นอกจากนั้น การแข่งขันภายในสถาบันการต่อสู้ค่อนข้างรุนแรง พลเมืองจากเมืองต่าง ๆ มารวมตัวกันที่สถาบันเพื่อเปลี่ยนชะตากรรมของพวกเขาและฝึกฝนย่างหนักเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ผู้คนจากแต่ละตระกูลที่เข้ามาถูกบดบังรัศมีได้ง่าย เนื่องจากการอบรมที่ต่างกัน
แน่นอนว่ายังมีกลุ่มคนจำนวนมากที่เลือกเข้าสู่สถาบันการต่อสู้เพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง
ในเวลานี้ ผู้อาวุโสภายนิกายชั้นนอก เฉินจงหมิงขัดจังหวะขึ้น “มีสถาบันการต่อสู้น้อยกว่าจำนวนเมืองโดยมีอัตราส่วน 1ต่อ5 คน ผู้คนของพวกเจ้าอาจมีทักษะที่ดี แต่ในแง่ทักษะการต่อสู้ไม่มีใครสักคนติดอันดับหนึ่งในสิบของสถาบัน ดังนั้นหลังจากเข้าสู่นิกายอย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้ หากปราศจากความพยายาม เจ้าจะถูกรั้งไว้เบื้องหลังและตกลงไปยังจุดต่ำสุด”
หลังการสนทนาไม่มีใครตอบรับข้อมูลนั้นด้วยความนับถือ ท้ายที่สุดไม่มีใครอยากยอมรับกับตัวเองว่าพวกเขาแย่กว่าคนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้นั้นมาจากตระกูลหลัก
***
เมื่อมาถึงเมืองหยิงเฟิง…
ยาส์! ยาส์!
บนทางหลวงที่กว้างใหญ่เหล่าพลม้าสองกลุ่มมาบรรจบกัน
“ท่านอาวุโสเฉิน ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง!”
คนที่พูดคือนักรบผ่านศึกขี่ม้าเลือดปีศาจสีดำ ข้างหลังมีกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตก่อกำเนิดและเยาวชน 20 คนทั้งสองเพศ
“ท่านอาวุโสหลิว ข้าขอคำนับ” เฉินจงหมิงยิ้มออกมา
นามของท่านอาวุโสหลิวคือ หลิวฟางเต๋า เขาก็เป็นผู้อาวุโสนอกนิกายเช่นกัน
“ท่านพี่เฉิน ท่านเดินทางไปที่เมืองหยุ่นวู่เพื่อหาอัญมณีเหล่านี้ใช่หรือไม่?” หลี่ฟางเต๋าคาดเดา
หยางไคและพวก พยักหน้ารับ เขารู้วิธีการอ่านกระดูก เขาสามารถกล่าวได้ว่าหยางไค และจือฮงซิ่วมีโครงกระดูกที่ยอดเยี่ยม แต่เมื่อมองไปที่หลี่ฟู่เฉิน ก็ถอนหายใจเพราะรู้ว่าโครงกระดูกของหลี่ฟู่เฉินเป็นโครงกระดูกปกติ เขาไม่เข้าใจว่าหลี่ฟู่เฉินได้รับคัดเลือกเพื่อเข้าสู่นิกายคังเหลียนได้อย่างไร
“มีโครงกระดูกระดับสามดาวสองคน ส่วนที่เหลือเป็นโครงกระดูกโดยทั่วไป ไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึง” ในสายตาของเฉินจงหมิง เขาไม่สามารถสนใจพวกเขาได้ทั้งหมดยกเว้นหยางไคและจือฮงซิ่ว ความจริงคือถ้าจือฮงซิ่ว และ หยางไค ไม่ได้ติดห้าอันดับแรก เขาจะรับสมัครทั้งคู่
“โครงกระดูกระดับ 3 ดาวสองคน? ข้าขอแสดงความยินดีด้วยท่านอาวุโสเฉิน ข้ามีโครงกระดูกสามดาวเพียงห้าคนเท่านั้น” หลิวฟางเต๋า สร้างภาพลักษณ์ให้เยาวชนที่อยู่ข้างหลังเขา
เฉินจงหมิงขยับตัวเล็กน้อย “ท่านพี่หลิว แน่ใจนะว่าท่านถ่อมตน โครงกระดูกระดับสามดาวห้าคนก็เพียงพอเต็มทีแล้ว”
หลิวฟางเต๋า ตอบกลับว่า “การแข่งขันอัจฉริยะที่สถาบันศิลปะการต่อสู้หยิงไช มีผู้เข้าแข่งขันกว่าหนึ่งพันคน โครงกระดูกระดับสามดาวห้าคนจากหนึ่งพันคนนั้นถือว่าน้อยมาก”
“ถ้าเจ้าเปรียบเทียบพลเรือนต่อผู้คนในตระกูล มันเป็นเรื่องปกติ ที่ความน่าจะเป็นของผู้มีพรสวรรค์ปรากฏขึ้นน้อยกว่ากันเพียงเล็กน้อย” เฉินจงหมิงพยักศรีษะเห็นด้วย
เยาวชนจากตระกู กำเนิดมาพร้อมช้อนเงินช้อนทองและได้รับการบำรุงอย่างดี เพียงแค่พูดถึงประเด็นนี้เพียงอย่างเดียว พลเรือนทั่วไปก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้แล้ว
“โครงกระดูกระดับสามดาวห้าคนเหรอ?” หลี่ฟู่เฉินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
โครงกระดูกระดับ 3 ดาวไม่ได้มีมาทุกวัน มีการกล่าวกันว่าหนึ่งในห้าของผู้ฝึกฝนโครงกระดูกสองดาวจะก้าวหน้าไปถึงขอบเขตปฐพี ขณะที่โครงกระดูกระดับ 3 ดาวความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นเป็นแปดในสิบคน เพียงแค่มีโครงกระดูกระดับ 3 ดาวก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตปฐพีได้ในอนาคต
“สถาบันการต่อสู้หยิงไชรวบรวมชาวเมืองจากทั้งสี่เมือง ดังนั้นการมีโครงกระดูกระดับ 3 ดาวห้าคนเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับในนิกายคังเหลียนโครงกระดูกระดับ 3 ดาวจะได้รับความสนใจมากกว่าแม้กระทั่งโครงกระดูกระดับ 2 ดาวก็ไม่ได้รับการยกย่องสูง” หลี่ฟู่เฉินรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เยาวชนบางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังหลิวฟางเต๋า เหลือบมองไปที่หลี่ฟู่เฉินและคนอื่น ๆ แม้ว่าพวกเขาไม่ได้มีความเย่อหยิ่งดังผู้คนจากระกูล แต่พวกเขาก็จินตนาการความจองหองนั้นได้
ทางฝั่งของหลี่ฟู่เฉิน, หยางไค, จือฮงซิ่ว และหลี่ฟู่เฉินยังคงสงบนิ่ง ขณะที่ เฉินตูจิว, เหอปิง, กวนเผิ้ง และ เฉินตูเหลียง ดูเหมือนไม่สบายใจ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาออกจากแคว้นหยุ่นวู่และโลกภายนอกนั้นรุนแรงกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้ ผู้ที่มีโครงกระดูกระดับสองดาวเท่านั้นที่เกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในบางอย่าง
***
ถนนอันยาวไกลและกว้างใหญ่ ทุกเส้นทางนำไปสู่นิกาย
มีหลายเส้นทางมุ่งไปสู่ นิกายคังเหลียน แต่พวกเขาทั้งหมดรวมกันเป็นถนนหลวงขนาดมหึมา
จำนวนผู้เข้าร่วม ค่อยๆเพิ่มฝูงชนขึ้น ในหมู่พวกเขามีผู้มีอภิสิทธิ์ทั้งจากเมืองและสถาบัน จำนวนฝูงชนเพิ่มเป็นสองสามร้อยคนโดยไม่รู้ตัว เมื่อจำนวนคนเพิ่มขึ้นบรรยากาศก็เริ่มเอะอะตึงตัง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามีโครงกระดูกแบบใด?” กวนเผิ้งปะปนอยู่กับกลุ่มคนแปลกหน้า
“แบบใด?” ดวงตาหลายสิบคู่จ้องไปที่หลี่ฟู่เฉิน
กวนเผิ้งหัวเราะเยาะอยู่ในใจ “โครงกระดูกปกติ”
การพ่ายแพ้หลี่ฟู่เฉินเป็นหนามทิ่มแทงใจกวนเผิ้งและการล้อเลียนโครงกระดูกของหลี่ฟู่เฉินเป็นหนทางในการแก้แค้นของเขา
“เข้าสู่นิกายคังเหลียนด้วยโครงกระดูกปกติเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากยิ่ง”
“ฉะนั้น ถ้าเขาเข้าไปในนิกายจะเป็นอย่างไร? หลังจากช่วงทดลองประเมินเขาจะเป็นศิษย์งานปลีกย่อยและแน่นอนว่าจะไม่มีอะไรเหมือนกันกับพวกเรา”
“ถูกต้อง โครงกระดูกปกตินับพันคน แทบไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตปฐพี นี่คือความจริงที่ทุกคนรู้”
เยาวชนเหล่านี้กังวลเกี่ยวกับโครงกระดูกและผู้ที่มีโครงกระดูกพิเศษมักดูถูกคนอื่นที่มีโครงกระดูกด้อยกว่าพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงกระดูกปกติ
หลี่ฟูเฉินอยู่ห่างออกไป แต่การซุบซิบนินทาของพวกเขา ยังคงหาทางเล็ดลอกเข้าไปในโสตประสาทของเขา
หลี่ฟู่เฉินหัวเราะเบา ๆ
ดูเหมือนไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ในอนาคต ที่หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำตัดสินเหล่านี้ได้ แต่มันไม่สำคัญ ไม่มีใครรู้ว่าแม้เขามีโครงกระดูกที่เลวร้ายที่สุด แต่เขามีคุณภาพดวงจิตวิญญาณโดยกำเนิดเหนือกว่าโครกระดูกระดับ 3 ดาวมานานแล้ว
ครึ่งเดือนผ่านไป พวกเขามาถึงยังถนนที่กว้างขวาง เต็มไปด้วยผู้ขับขี่และม้าที่หลั่งไหลเข้ามาราวกับสายน้ำ
“นี่คือนิกายคังเหลียนเหรอ”
หลี่ฟู่เฉินสามารถมองเห็นทิวเขาหลายลูกได้จากระยะไกล ภูเขาเหล่านั้นมียอดเขาที่เรียวเสียงแทงทะลุท้องฟ้าเหมือนลูกธนู ยอดเขาบางส่วนเบ่งบานด้วยดอกไม้สีม่วงและเต็มไปด้วยดอกไม้สีแดง บางที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี เปล่งประกายแสงแห่งธรรมชาติ บางที่มีน้ำตกที่เหมือนเคราสีขาวห้อยลงมา
ทุกยอดเขาเหล่านี้ ทุกคนมีสายตาเดียวกัน นั่นคือวัดบนยอดเขา
ความกลัวที่หลั่งไหลจากภายในใจของพวกเขาเริ่มก่อตัว.......
FB PAGE @ indy novels ติดตา