บทที่ 23 จุดอ่อนของฟาร์ชูลัน
บทที่ 23 จุดอ่อนของฟาร์ชูลัน
มิตรย่อมไม่อาจก่อเกิดขึ้นได้ในยามที่ต้องชิงชัยกันเอง
ไม่รู้ว่ามีใครเคยพูดเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ไว้บ้าง แต่ฟาร์ชูลันนึกถึงประโยคนี้ขึ้นมาได้ตงิด ๆ อาจเป็นเพราะเธอกำลังเจอเข้ากับตัวเองกระมัง
คนที่แวะเข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตรด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ตอนนี้กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ รวมหัวกันเพื่อจะกำจัดเธอเสียแล้ว
“เดิมทีจะใช้เวทบาเรียปกป้องอัญมณีเอาไว้แล้วใช้เวทตรวจจับเพื่อค้นหาตำแหน่งของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นทีละคน แต่พอตรวจเข้าจริงกลับเจอว่ามีสามคนอยู่ใกล้ ๆ” ฟาร์ชูลันเอ่ยเสียงเรียบนิ่งแต่กลับแฝงไว้ด้วยความเย็นชาอย่างถึงที่สุด “ก็ไม่นึกเลยว่าจะโดนรุมจากพวกคุณซะได้”
ในระยะที่ห่างออกไปมีร่างของหญิงสาวสองคนที่ยืนอยู่เคียงกัน นั่นคือเฮเลน เซรีน และชายอีกคนที่เธอไม่รู้จักชื่อ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อฮิวแมน
“เวทมนตร์นี่ช่างแปลกประหลาดจริง ๆ ไม่นึกว่าจะโดนจับตัวได้เร็วขนาดนี้ ทั้งที่กะจะเชือดเงียบ ๆ สักหน่อยนะ” เฮเลนเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน เธอปัดป้องเศษฝุ่นเศษดินตามเนื้อตัวที่สกปรกมอมแมมไม่เหลือคราบความงามอีกต่อไป
กลับกันที่ตอนนี้เซรีนมีสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างแรง
“บังอาจทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพแบบนี้ อภัยให้ไม่ได้!” เธอเปล่งพลังปราณอสรพิษออกมาทันที “หัดทำความเคารพรุ่นพี่หน่อยก็ดีนะนังหนู!” กล่าวจบก็ฟาดปราณใส่พื้น มีธารน้ำที่เต็มไปด้วยพิษไหลทะลักออกมาแล้วพุ่งเข้าจู่โจมไปที่ฟาร์ชูลันทันที
สายธารมรสุม!
“รุ่นพี่ก็ไม่ควรเสียมารยาทกับรุ่นน้องนะคะ” ฟาร์ชูลันไม่เพียงตอบกลับเท่านั้น เธอหยิบการ์ดออกมาอีกหนึ่งใบแล้วโยนใส่ก้อนพิษที่กำลังพุ่งเข้ามา เมื่อมันกระทบเข้ากับการ์ดของฟาร์ชูลันก็เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง แต่เป็นการระเบิดที่ตีย้อนกลับไปด้านหลังหาตัวผู้ใช้งานแทน แน่นอนว่าพิษนี่ไม่มีผลต่อตัวผู้ใช้งานอยู่แล้ว ทางด้านเฮเลนเองก็สามารถหลบหลีกได้ทั้งหมด
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ” ฟาร์ชูลันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “ฉันจะสอนให้พวกเธอรู้สักนิดละกันว่าถ้ากล้ามารุมฉันล่ะก็ ต้องเตรียมใจยอมรับความอับอายที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไว้ด้วย”
“เหอะ! เป็นแค่ยัยเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อย่าอวดดีไปหน่อยเลย” เซรีนในตอนนี้สลัดคราบคนที่เคยอยู่ในห้องรวมของผู้เข้าแข่งขันไปหมดแล้ว ใบหน้าที่เกรี้ยวกราดทำเอามองเห็นเหมือนกับว่าเป็นคนละคน เธอในตอนนั้นยังดูงดงามอยู่นะ แต่ตอนนี้ทำไมถึงดูน่าเกลียดขึ้นขนาดนี้กัน
“ข้าจะหาทางเปิดจังหวะให้” ฮิวแมนกล่าวพร้อมกับพุ่งเข้าหาฟาร์ชูลันในสภาพที่ร่างกายห่อหุ้มไว้ด้วยปราณพยัคฆ์ เขาเข้าจู่โจมฟาร์ชูลันโดยไม่คิดให้เธอตั้งหลักได้ ทางด้านฟาร์ชูลันนั้นดูเหมือนจะเชื่องช้าแต่กลับเคลื่อนไหวได้รวดเร็วจนสามารถหลบหมัดของฮิวแมนได้หมด
เวทเสริมสมรรถภาพร่างกาย!
เธอร่ายเวทนี้ใส่ตัวเองเพื่อเพิ่มพูนประสาทสัมผัสการเคลื่อนไหวทุกอย่าง รวมถึงกล้ามเนื้อด้วย ทำให้การหลบหลีกการจู่โจมพวกนี้เป็นไปได้อย่างง่ายดาย เธอมองเห็นหมัดของฮิวแมนเหมือนกับมันลอยเข้ามาหาเธออย่างช้า ๆ เท่านั้นเอง
“แข็งแกร่งจริง ๆ! นี่ขนาดโดนรุมสามเธอยังคุมสถานการณ์ไว้อยู่ ทั้งที่ทั้งสามคนเป็นถึงนักเรียนเกรดแปดของสถาบัน!”
ผู้บรรยายพูดไปด้วยก็ตื่นตระหนกไปด้วย จริง ๆ เขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้มาเห็นภาพแบบนี้ เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงตัวคนเดียวจะสามารถรับมือกับนักเรียนเกรดแปดได้เพราะแค่มีเหตุผลว่าตัวเองคือแม่มดที่ไม่มีใครรู้จักแค่นั้น
ถ้าหากแม่มดคนอื่นก็แข็งแกร่งแบบนี้เหมือนกันล่ะ? มันจะน่าปวดหัวแค่ไหนกันนะ
“หมัดปฐพีคำราม!” ฮิวแมนส่งเสียงดังลั่นพร้อมกับปล่อยหมัดที่เต็มไปด้วยพลานุภาพที่ร้ายกาจ เขาทำลายส่วนพื้นดินที่ฟาร์ชูลันยืนอยู่เพื่อทำให้เธอเสียหลัก “ตอนนี้แหละ!”
เฮเลนอาศัยจังหวะที่ฟาร์ชูลันเสียหลักรีบเค้นพลังปราณอินทรีย์ของตนออกมาแล้วยิงใส่ฟาร์ชูลันเป็นลักษณะของลำแสงเส้นเล็ก ๆ จำนวนหลายเส้น เธอรัวแสงใส่โดยไม่กะให้อีกฝ่ายได้หยุดหาจังหวะร่ายเวทมนตร์โต้กลับได้
เวทมนตร์จะอย่างไรก็คือเวทมนตร์ อย่างน้อยต้องอาศัยกระบวนการร่ายเสียก่อนจึงจะสามารถใช้ออกมาได้ ถ้าหากเล่นงานตรงจุดนี้ได้ล่ะก็ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไปแล้ว
แต่ทว่า...เพียงแค่ฟาร์ชูลันเหวี่ยงการ์ดขึ้นใบสองใบ ก็ปรากฏเวทมนตร์ขึ้นต้านรับการจู่โจมทุกรูปแบบเอาไว้ เธอบินขึ้นไปบนฟ้าด้วยคาถาลอยตัวก่อนจะหยิบการ์ดอีกใบหนึ่งขึ้นมาแล้วโยนมันขึ้นไปเหนือศีรษะ ปรากฏวงแหวนเวทมนตร์ขนาดใหญ่ในพริบตาเดียว
“เป็นไปได้ยังไง ยัยนั่นไม่ได้ร่ายเวทซะด้วยซ้ำ!”
หากมองการกระทำที่ผ่านมาอาจจะพอเข้าใจได้ว่าการไม่ได้ร่ายเวทเลยน่าจะมาจากการที่ใช้แต่เวทเล็ก ๆ หรือเวทที่ถนัดใช้จึงทำให้เกิดความชำนาญจนอาจไม่ต้องร่ายเวทนานนัก แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป วงแหวนเวทใหญ่ขนาดนั้นต่อให้ไม่เคยเจอมาก่อนก็ควรจะรับรู้ได้ว่ามันต้องใช้เวลาเตรียมการนานกว่านี้ ไม่ใช่ว่าจู่ ๆ ก็ใช้ได้เลย นี่มันจะบ้ากันเกินไปแล้ว
“ศาสตร์แห่งเวทธาตุลำดับแรก พันธะภูผา”
บางสิ่งบางอย่างค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นมาจากบนพื้นดิน มันค่อย ๆ ยืดยาวและขยายขนาดออกมาเป็นสัดส่วนจนมองเห็นเป็นร่างกายคล้ายมนุษย์ ดวงตากลมโบ๋เป็นรูค่อย ๆ ถูกเติมเต็มด้วยผืนดินจนนูนออกมาเป็นรูปเป็นทรง ส่วนสูงมากกว่าสองเมตรและมีจำนวนมากถึงสามตัว
“โกเล็มแห่งพันธะสัญญา...จงใช้พลังที่มีกำจัดศัตรูทั้งสามนั่นด้วย”
เหล่าโกเล็มที่ถูกสร้างขึ้นจากผืนดินเริ่มเคลื่อนไหวตัวเองอย่างเชื่องช้า พวกมันเพ่งโฟกัสไปยังศัตรูทั้งสามที่ยังมีสีหน้าประหลาดใจอย่างถึงที่สุด
“โกเล็ม? ไอ้ของแบบนั้นมัน...”
“อย่าพึ่งเสียสมาธิ! มันก็แค่ก้อนดินเท่านั้นแหละ”
เฮเลนปล่อยพลังปราณอินทรีย์ออกไปเพื่อจู่โจมใส่โกเล็มตัวหนึ่ง พลังของเธอกระแทกเอาร่างดินนั้นกระจุยกระจายไปในพริบตาเดียว สร้างรอยยิ้มบนใบหน้าเธอขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน
แต่เศษร่างโกเล็มที่แตกกระจายไปนั้นก็กลับมาฟื้นฟูก่อรูปลักษณ์จนกลายสภาพเป็นเหมือนเดิมในทันที
“พิษคงไม่มีผลกับไอ้พวกนี้ งั้นคงต้องใช้การโจมตีจากพิษที่ส่งผลกับร่างกายภายนอก” เซรีนเค้นพลังปราณอสรพิษออกมา ก่อนจะวิ่งโถมเข้าไปด้านหน้าและเข้าไปฟัดกับโกเล็มหนึ่งในสามตัวทันที เธอใช้ฝ่ามือที่หุ้มไปด้วยพิษร้ายฟาดใส่โกเล็มหลายต่อหลายครั้ง โกเล็มซึ่งเคลื่อนไหวเชื่องช้าไม่อาจโจมตีเธอได้ทัน
จะอย่างไรพวกเธอก็คือนักเรียนเกรดแปดซึ่งเป็นระดับชั้นที่สูงที่สุด ถ้าจะมาพ่ายแพ้เด็กเกรดหนึ่งคนเดียวมันคงจะดูขายหน้ามากเกินไปหน่อย
ฮิวแมนตรงเข้าไปหาโกเล็มตัวหนึ่งและใช้ปราณพยัคฆ์เข้าห้ำหั่นชนิดที่ไม่ยอมโดนโจมตีอย่างเด็ดขาด ส่วนเฮเลนยังคงยืนนิ่งดูเพื่อนทั้งสองกำลังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายโดยที่ตนยังไม่ได้ทำอะไรเลย
“เคยอ่านในหนังสือมา...รู้สึกว่าโกเล็มที่สร้างขึ้นด้วยพลังเวทจะถูกทำลายก็ต่อเมื่อขาดการหล่อเลี้ยงพลังเวทจากผู้สร้าง” เฮเลนหันไปมองทางฟาร์ชูลันที่จนถึงตอนนี้ก็ยังลอยอยู่เหนือเวหา
เท้าของเฮเลนค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นจากพื้นดิน หากผู้ใช้ปราณบรรลุถึงระดับขั้นเทวการุณจะสามารถลอยตัวเหนือพื้นได้ราวกับเป็นเรื่องปกติ พอเมื่อมารวมกับผู้ที่ครอบครองปราณอินทรีย์ด้วยแล้วยิ่งทำให้เคลื่อนไหวบนอากาศได้อย่างแคล่วคล่องว่องไวเป็นอย่างยิ่ง
จริง ๆ พลังของปราณอินทรีย์จะแสดงอำนาจได้อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่ออยู่บนอากาศนี่แหละ
“ไม่ช่วยเพื่อนสู้กับโกเล็มของฉันจะดีเหรอ มันจะไม่ไหวเอานะ”
“แม่มดฟาร์ชูลัน ข้ายอมรับในฝีมือของเจ้า...แต่อย่าดูถูกนักรบปราณให้มากนักจะดีกว่า” เฮเลนตอบกลับสั้น ๆ สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ บรรยากาศรอบตัวเธอเต็มไปด้วยรังสีประหลาดที่คุกรุ่นไปด้วยไอสังหาร ออร่าสีอำพันหลั่งไหลออกมาจากร่างกายทั่วทุกรูขุมขน
“ข้าจะให้เจ้าได้เห็นพลังที่แท้จริงของข้า”
สุดยอดวิชาแห่งปราณอินทรีย์
“ดรรชนีเวหาพิภพเมฆา”
เมื่อเอ่ยชื่อสุดยอดวิชาออกมา พลังปราณที่ปรากฏอยู่ก็เปล่งอานุภาพขึ้นราวฟ้ากับเหว!
“พลังปราณระดับห้า!”
อากาศรอบข้างเฮเลนมีลักษณะเหมือนเป็นรูโหว่ปรากฏขึ้นมาหลายรู และทุกรูก็มีแสงสว่างสีเหลืองอ่อนฉายแสงออกมาชั่วครู่ก่อนจะพุ่งตัวออกมาเป็นเส้นแสงที่มีขนาดไม่เท่ากัน เล็กสุดก็เทียบเท่าปลายเข็ม ใหญ่สุดก็เทียบเท่าท่อนแขนของผู้ชายล่ำ ๆ ปริมาณแสงอันมีมหาศาลนั้นกระหน่ำจู่โจมใส่ฟาร์ชูลันราวกับปืนกลแกตลิ่งก็มิปาน
บาเรียของฟาร์ชูลันแม้จะต้านรับแสงเหล่านั้นไว้ได้ แต่เมื่อต้านทานไปนานมากเข้าก็เริ่มปริแตกออกจนเผยให้เห็นเป็นรอยร้าวขึ้นมา สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเป็นความตื่นตระหนกระคนตกใจขึ้นมาทันที
แย่ล่ะสิ
บาเรียของฟาร์ชูลันถูกโหมกระหน่ำจู่โจมใส่จนแตกกระเจิงราวเศษกระจก กลุ่มแสงก้อนนั้นทะลวงเข้าใส่ร่างของเธอจนตัวงอเป็นกุ้ง แสงที่ตามมาอีกหลายเส้นก็อัดทะลวงเข้าใส่ฟาร์ชูลันอย่างหนักหน่วงอีกเช่นกัน ความเจ็บปวดเหมือนโดนต่อยด้วยแรงหมัดของผู้ชายที่คูณขึ้นมาอีกไม่รู้กี่เท่าถาโถมใส่ฟาร์ชูลันจนแทบจะรับความเจ็บปวดนี้ไม่ไหว นี่ถ้าหากไม่ได้ร่ายเวทเสริมสมรรถภาพทางกายไว้กับตัวเองตั้งแต่ตอนแรกก็คงจะเสร็จไปตั้งแต่ดรรชนีแสงเส้นแรกแล้ว
ฟาร์ชูลันถูกโจมตีจนกระเด็นลงมาด้านล่าง โกเล็มของเธอเมื่อขาดการหล่อเลี้ยงด้วยพลังเวทก็สลายหายไปเป็นเศษดินทันที เฮเลนกลับมายืนบนพื้นอีกครั้งก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
“พลาดท่าจนได้นะแม่มด ทุกอย่างนี้มันเกิดจากความมั่นใจของเจ้าทั้งนั้น”
“อั่ก...แค่ก ๆ” ฟาร์ชูลันกระอักเอาก้อนเลือดออกมา เธอร่ายเวทรักษาให้กับตัวเองเป็นการชั่วคราว แม้ว่าจะสามารถใช้เวทได้หลากหลายก็ตาม แต่กับเวทรักษานั้นนับเป็นเวทที่เธอถนัดน้อยมากที่สุดในบรรดาเวททั้งหมดด้วยกัน อาการบาดเจ็บที่เธอได้รับจึงทำได้เพียงประคองรักษาเอาไว้แค่ชั่วคราวเท่านั้น
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้าและค่อย ๆ เพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ
“สังเกตมาตั้งแต่ตอนที่เจ้าหนีนักข่าวมาที่ห้องแล้วล่ะ ทั้งที่ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็ใช้เวทมนตร์ได้หลายรูปแบบ แต่ทำไมแค่หนีนักข่าวถึงได้เหนื่อยหอบขนาดนั้น” เฮเลนทำสีหน้าครุ่นคิดในขณะที่กำลังมองดูฟาร์ชูลันที่พยายามรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองอยู่เรื่อย ๆ เซรีนกับฮิวแมนเมื่อไม่มีคู่ต่อสู้แล้วก็เดินตามมาสมทบกับเฮเลนทันที
“จริงสินะ ข้าว่ามันก็ดูจะเหนื่อยเกินจริงไปหน่อย” เซรีนกล่าวเสริมอีกเสียง
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้ แต่พอพวกเจ้าพูดมาก็เริ่มรู้สึกแบบเดียวกัน” จริง ๆ ฮิวแมนคิดว่าผู้หญิงน่าจะเป็นแบบนั้นกันทุกคน แต่พอเซรีนกับเฮเลนฉุกคิดเรื่องพวกนี้เขาก็เลยรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นเรื่องไม่ปกติขึ้นมาเหมือนกัน
“แล้วยังไงกันล่ะ” ฟาร์ชูลันที่รักษาอาการบาดเจ็บได้ระยะหนึ่ง เริ่มลุกขึ้นมายืนเตรียมสู้อีกครั้ง
“ก็ไม่รู้สิ แค่คิดว่าวิธีสู้ของเจ้ามันแปลก ๆ” เฮเลนปรายตามองไปที่ร่างกายของฟาร์ชูลันอย่างถี่ถ้วนตั้งแต่หัวจรดเท้า “เวทใหญ่ ๆ เจ้าก็น่าจะมีใช้แต่กลับไม่ใช้ทั้งที่โดนนักรบปราณเกรดแปดรุมถึงสามคน หนำซ้ำยังส่งโกเล็มที่แม้แต่จะจู่โจมพวกข้ายังทำไม่ได้ขึ้นมาสู้ พวกมันทำได้มากสุดก็แค่ถ่วงเวลายืดระยะเวลาต่อสู้ออกไปแค่นั้น”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าประมาทหรืออยากเล่นสนุกแล้วล่ะก็...ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะกำลังหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่างอยู่กระมัง”
เหมือนจะพูดได้ตรงใจพอดี สีหน้าของฟาร์ชูลันมีร่องรอยความหวั่นไหวขึ้นมาในชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง ซึ่งนั่นไม่มีทางหลบพ้นจากสายตาอันเฉียบคมของผู้มีปราณอินทรีย์อย่างเฮเลนไปได้
“ข้ายอมรับว่าพลังเวทของเจ้ามันยิ่งใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าร่างกายเล็ก ๆ นั่นจะเป็นภาระค่อนข้างหนัก ข้าพูดถูกต้องมั้ย”
เหมือนแทงใจดำเข้าเต็ม ๆ ฟาร์ชูลันไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากแสดงออกทางรอยยิ้มแห้ง ๆ บนใบหน้า
“เล่นงานฉันได้ครั้งเดียวถึงกับสร้างเรื่องเป็นตุเป็นตะ นี่คิดว่าตัวเองชนะแล้วหรือไง น่าขำ” ฟาร์ชูลันหยิบเอาการ์ดในกระเป๋าตัวเองออกมาอีกครั้ง “เตรียมรับมื--”
เปรี้ยงง!!
แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ข้อมือของฟาร์ชูลันก็โดนแสงสีเหลืองจู่โจมใส่จนประคองการ์ดไว้ไม่อยู่ การ์ดเหล่านั้นลอยละลิ่วตกลงไปที่พื้นกระจัดกระจาย ส่วนฟาร์ชูลันเองเมื่อถูกจู่โจมกะทันหันก็เริ่มส่งเสียงร้องในลำคอขึ้นมา ความเจ็บปวดรุกรานไปทั่วร่างแม้จะโดนโจมตีแค่ข้อมือเท่านั้น
“เป็นอะไร ทำได้แค่นี้เองเหรอ” เฮเลนพูดเย้ยหยัน
“ฮ่า ๆๆ ขอข้าเล่นด้วยคนซี่” เซรีนเดินเข้าไปหาหญิงสาวรุ่นน้องที่นั่งทรุดอยู่เบื้องหน้า หมวกทรงสูงที่สวมอยู่ปลิวหายไปตั้งแต่ตอนโดนโจมตีบนอากาศก่อนหน้านั้นแล้ว เซรีนจิกผมของอีกฝ่ายแล้วดึงศีรษะขึ้นมาอยู่ในระยะประชิดทางสายตาพอดิบพอดี
“ข้าล่ะชอบนักเวลาได้เห็นสีหน้าของคนที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ จนกระทั่งมันตกอยู่ในสภาพแบบนี้” รอยยิ้มวิปลาสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซรีน ทันใดนั้นเอง
“พิษอมพาต พลังปราณระดับห้า”
รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังหมดความรู้สึกไปอย่างช้า ๆ แม้กระทั่งเปลือกตายังรู้สึกได้ถึงความหนักอึ้งราวกับถูกตุ้มเหล็กถ่วงไว้
“อ...อา...”
ฟาร์ชูลันพยายามส่งเสียงออกมา แต่เปล่าประโยชน์ เธอในตอนนี้ไม่สามารถขยับร่างกายได้อีกต่อไปแล้ว...