บทที่ 15 : สมรภูมิ
บทที่ 15 : สมรภูมิ
เสียงสะเทือนเลือนลั่นของสายฟ้าดังขึ้นไม่หยุดระหว่างที่มหาจอมเวทในร่างของผู้ปกปัก ร่ายมหาเวททำลายล้างแห่งอัสนี ดวงตาของนางส่องประกายแสงสีน้ำเงินเข้ากับออร่าละอองเวทเข้มข้นที่เอ่อล้นจนเห็นเป็นสายรอบกาย
สายฟ้ามากมายนับไม่ถ้วนถล่มฟาดฟันเข้าใส่เหล่าโกเล็มไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สร้างความเสียหายให้กับพวกมันอย่างต่อเนื่องและพร้อมกันก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่เหล่าชาวบ้านซึ่งบัดนี้บางส่วนเลิกคิดที่จะอพยพออกไปแล้ว เพราะภาพที่เห็นนั้นดูทรงพลังและชวนให้เชื่อมั่น ว่าบัดนี้เทรียลจะต้องปลอดภัยภายใต้ความคุ้มครองของมหาราชินีผู้งดงาม ทรงอำนาจและเปี่ยมไปด้วยเมตตา เป็นที่รักของประชาชนทุกคนไม่แบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ต่อให้สิ่งที่นางทำอยู่นั้นจะเป็นการทำลายป่าอาเคนในบริเวณนั้นจนราบเป็นหน้ากลองทั้งยังเกิดไฟป่า หรือเข่นฆ่าเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ในป่านั้นจนเหี้ยนก็ไม่มีใครสนใจ เพราะรู้ว่านางทำไปเพื่อปกป้องทุกคนในหมู่บ้านเอาไว้
ในชั่วขณะของละครฉากใหญ่ที่ถูกกำกับไว้โดยผู้แสดงเอง องค์ราชินีหยุดมหาเวทอัสนีลงเมื่อสังเกตเห็นว่าเหล่าเจ้าหน้าที่ของสมาคมเริ่มการเคลื่อนไหวของตัวเองที่ด้านล่างนั้นแล้ว
นางฉีกยิ้มมุมปากแล้วแค่นเสียงลมหายใจเล็กน้อย คล้ายว่าบทที่วางไว้จะผิดไปนิดหน่อย กระนั้นมันก็ไม่สำคัญอะไรนักเพราะตัวเอกสำคัญของละครเรื่องนี้ได้ฤกษ์แสดงแล้ว และถึงเวลาที่ตัวประกอบฉากจะต้องลงจากเวที
อาภรณ์สีดำขลิบริมแดงที่ปลิวไสวบนอากาศซึ่งเคยส่องประกายออร่าเป็นละอองเวทเข้มข้น บัดนี้ค่อยๆ อ่อนแสงลงท่ามกลางสายของทุกคนในหมู่บ้าน ก่อนนางจะเปลี่ยนชุดอาคมพร้อมใช้ใหม่ แล้วเริ่มถ่ายโอนพลังเวทในตัวให้หลั่งไหล่เข้าไปในคทาแห่งความเป็นไปซึ่งถูกเรียกนาม ว่าเอเลเมนโต้
กระบวนการถ่ายพลังเวทนั้นใช้เวลาเพียงครึ่งนาที ทว่ามันคือครึ่งนาทีสำหรับมหาจอมเวท เปรียบเทียบกับผู้ใช้ศาสตร์แห่งเวทมนตร์ทั่วไป ให้การถ่ายพลังเวทมนตร์เป็นการเทน้ำจากแก้ว เช่นนั้นสำหรับมหาจอมเวทก็คงเป็นการทำลายกำแพงเขื่อน
พลังเวทที่ไหลออกจากร่างของนางเพียงเสี้ยววินั้นอาจมากกว่าที่ผู้ฝึกเวทรีดเร้นออกมาใช้ทั้งชีวิต ลำพังพลังเวทมนตร์จำนวนนั้นของนาง ไม่ต้องร่ายเป็นผลลัพธ์อาคมใดๆ แค่บีบอัดให้เป็นรูปธรรมก็สามารถระเบิดเทรียลได้ครึ่งหมู่บ้านแล้ว
“นั่นมันอะไร... นี่พวกท่านคิดจะทำบ้าอะไร!” เสียงของจระเข้หนุ่มดังขึ้นที่ด้านล่าง เมื่อเขาได้เห็นว่าหมู่บ้านนี้กำลังเป็นบ้ากันไปใหญ่ เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่ของสมาคมที่น่าจะรู้ถึงความอันตรายของหุ่นสงครามดี ตอนนี้ไม่ใช่แค่ให้อิสระกับฮอรัสเท่านั้น แต่ยังให้หยิบยืมอาวุธอย่างดาบขนาดสั้นคู่หนึ่งเพิ่มความอันตรายให้กับมันมากขึ้นไปอีก
และถึงแม้ว่าตอนนี้ฮอรัสจะไม่มีท่าทีเป็นภัยเหมือนก่อน เพียงแค่ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าสมาคม เหม่อมองออกไปยังเหล่าโกเลมที่ตอนนี้เคลื่อนเข้ามาใกล้หมู่บ้านด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมเพราะไม่มีสายฟ้าคอยสร้างปัญหา
พร้อมกันนั้นข้างๆ ของร่างหุ่นก็ยังมีชาวช่างชราตัวเล็กหนวดเฟิ้ม ยืนแบกค้อนปั้นหน้าดุดันกวาดสายตาสำรวจบริเวณเตรียมพร้อมรบ
เช่นกันกับพ่อครัวของสมาคมซึ่งกำลังนั่งใช้แท่งโลหะยาวลับมีดรูปร่างประหลาดอยู่ เหมือนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับเขาเท่าไหร่นัก ทั้งโกเลมยักษ์ที่ใกล้เข้ามาและบนฟ้าที่มีมหาจอมเวทในร่างอาภรณ์ที่ทรงพลังที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์มังกรเมื่อยี่สิบปีก่อน ราวกับโลกนี้มืดบอดไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับเขาอีกแล้ว มองไปพ่อครัวผู้นั้นดูจะแสดงออกเหมือนหุ่นเสียยิ่งกว่าหุ่นสงครามตัวจริงด้วยซ้ำไป
“คร๊อกคัส... นั่นฝ่าบาทกำลังจะทำอะไร” ตอนนั้นเองที่จิ้งจอกสาวฮารุปาดเลือดกำเดาของตัวเอง พลางสะกิดเรียกจระเข้หนุ่มให้เงยหน้ามองฟ้า เห็นสิ่งเดียวกับที่นางเห็น เพราะตอนนี้แม้แต่สัญชาตญาณจิ้งจอกอันเฉียบคมก็กำลังพยายามบอกนางว่าบนฟ้านั้นอันตรายยิ่งกว่าหุ่นสงครามข้างล่างนี้หลายเท่า
“เราบอกไม่ได้ ทุกอย่างมัน... ยุ่งเหยิงเหลือเกิน” จระเข้หนุ่มกล่าวอย่างติดขัด ไม่รู้ว่าควรจะต้องอะไรในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะความวุ่นวายที่กำลังประเดประดังเข้ามาจนพะวักพะวนไม่ถูกเรื่อง ทั้งต้องคุ้มกันชายหนุ่มและฮารุ ตัวเขาเองก็ยังไม่หายจากความบาดเจ็บ ไหนจะเรื่องหุ่นสงคราม เรื่องหมู่บ้านนี้ ไหนจะเรื่ององค์ราชินีที่กำลังร่ายมนตร์ประหลาดบางอย่างอยู่บนท้องฟ้าอีก
และตอนนั้นเอง เหมือนรู้ใจ เมื่อเสียงเข้มของช่างเหล็กใกล้ๆ ดังขึ้นพูดถึงสิ่งที่เขากำลังรู้สึก
“เพิ่งจะเคยถูกคำสาปของเนเนตล่ะสิ...” ชาวช่างชราเอ่ยเรียบๆ ในลำคอ สร้างความแปลกใจแก่สองนักผจญภัย
เขาว่าโดยไม่ละสายตาจากเหล่าโกเลม ด้วยรู้ว่าพริบตาที่ละจากอสูรพวกนี้ บางสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายอาจเกิดขึ้นได้ด้วยคำสาปแห่งองค์ราชินีอย่างที่เอ่ยออกไป
"นางทำให้ทุกสิ่งรอบตัวกลายเป็นความยุ่งเหยิง สิ่งที่นางแตะต้องจะผุพัง ความศรัทธาจะกลายเป็นแค่ลมเป่าหู เหตุการณ์ใดว่าเลวร้ายก็จะเลวร้ายลงไปอีก มันเป็นเช่นนี้เสมอ อีกหน่อยพวกเจ้าก็จะเริ่มชินไปเอง... แต่ตอนนี้รีบพาสหายเจ้าไปหาที่ปลอดภัยซะดีกว่า พวกเจ้าไม่ใช่นักรบ ไม่ใช่ในสมรภูมินี้” เขากล่างขยายความต่ออย่างเข้าใจ เพราะไม่ว่าใครก็คงไม่เชื่อแน่ว่าสาวงามผู้ทรงอำนาจนางนี้จะปั่นป่วนชีวิตของผู้คนได้ขนาดนั้น
แต่ถ้ามองในด้านหนึ่ง ปกติชน คนทั่วไปที่ใช้เหตุผลอธิบายวิถีการดำเนินชีวิตได้อย่างธรรมดา คงไม่มีทางที่จะก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดเดียวกับมหาจอมเวทได้อยู่แล้ว โลกที่นางยืนอยู่นั้นแตกต่าง มันไม่ใช่โลกที่สามัญสำนึกของคนทั่วไปจะเข้าถึง
และในชั่วขณะนั้นเองที่ฮอรัสเริ่มเคลื่อนไหว เขากำมีดในมือทั้งสองข้างแน่นขึ้นจนเกิดเสียงปริแตกของด้ามจับไม้ ก่อนที่พริบตาต่อมาละอองผงสีม่วงจะไหลออกมาฝ่ามือเข้าห้อมล้อมเกาะกินใบมีดนั้นเอาไว้ ทำให้มีดโลหะค่อยๆ ผุกร่อนกลายเป็นเศษผง ต่อหน้าต่อตาคนที่สร้างมันขึ้นคือช่างเหล็กชราซึ่งตอนนี้ขมวดปมคิ้วแสดงความไม่พอใจขึ้นมา
แต่พอได้เห็นว่าอาวุธที่ตนให้ยืมนั้นกำลังแปรสภาพแล้วหลอมรวมเข้ากับร่างกายของหุ่นกลายเป็นคมมีดที่มีกลไกเคลื่อนไหวในข้อมือ ก็ทำให้ความโกรธกลายเป็นความสนใจ
“ยืนยันภารกิจปกป้องหมู่บ้าน...” ฮอรัสเอ่ยเสียงเรียบในลำคอ พร้อมกับใช้กลไกใหม่ในข้อมือให้ชักใบมีดออกมา แล้วกระโจนตรงไปยังเป้าหมายที่เขาเห็น คือโกเลมในสภาพเสียหายหกตนและเหล่าบลัดคลอว์บางส่วนที่รอดจากสายฟ้ามาได้
‘พิพากษา!’ ทว่าเป็นเวลาเดียวกันนั้นที่เสียงกระซิบดังขึ้นอย่างแผ่วเบาจากปากของสาวงามที่ลอยอยู่ฟ้า
แล้วในชั่วพริบตาท้องฟ้าเหนือบริเวณที่โกเลมยืนอยู่ก็พลันแหวกออกราวกับแก้วที่แตกร้าว เกิดแสงสว่างขาวจ้าสาดลงมาอาบร่างของพวกโกเล็ม พร้อมกันความสว่างของมันทำให้ทั่วทั้งพื้นที่ขาวโพลนไปชั่วขณะ ทุกสายตาที่มองอยู่ต่างก็ต้องหลับตาหันหน้าหนีด้วยความเจิดจ้าคล้ายว่าจะสามารถทำให้เวลากลางคืนหายไปจากโลกได้ตลอดกาล
เมื่อสิ้นแสงนั้นทุกคนก็พยายามลืมตาขึ้นปรับแสงให้มองเห็น เพราะนอกจากแสงที่สว่างวาบขึ้นมาแล้วก็ไม่มีเสียงหรืออะไรที่จะบอกได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับโกเลมเหล่านั้น
“นี่มัน... เวทมนต์อะไรกัน” คร็อกคัสที่เป็นชาวเกล็ดปรับม่านตาได้เร็วกว่าเผ่าพันธุ์อื่นเอ่ยออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะไม่ว่าเวทมนตร์ที่องค์ราชีนีใช้นั้นจะเป็นอะไร แต่มันทรงพลังจนบดขยี้โกเล็มยักษ์ทั้งหกตนจนกลายเป็นแค่เศษก้อนกรวดที่กองกันอยู่ในหลุมขนาดใหญ่ยักษ์ห่างออกไปจากหมู่บ้านแค่ไม่เท่าไหร่
“นั่งปีศาจคนนั้นไม่มีทางปล่อยให้มันจบง่ายๆ แบบนี้แน่... นี่อาจจะแค่เริ่มต้น” ช่างเหล็กเอ่ยออกมาอย่างขัดแย้ง ระหว่างที่เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของชาวบ้านดังขึ้น สรรเสริญองค์ราชินีที่สามารถปกป้องหมู่บ้านเอาไว้ได้ แล้วพลันร่างงดงามที่ลอยอยู่ก็ผล็อยร่วงหล่นลงมาในสภาพสะบักสะบอมหมดสภาพ
ไอเวทที่เคยเข้มข้นแผ่ออกมาบัดนี้หมดสิ้นไม่เหลือให้เห็น บ่งบอกว่านางอาจใช้มันจนหมดสิ้นไปแล้วเพื่อการร่ายมนตร์เมื่อครู่ คร๊อกคัสที่เห็นดังนั้นก็ละความสนใจจากคำพูดของชาวช่างชราแล้วออกไปรับตัวองค์ราชินีของเขาทันที
แต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นอย่างที่ชาวช่างชราคิดเอาไว้ไม่มีผิด เหตุการณ์ที่มีมหาจอมเวทเข้าข้องเกี่ยวไม่มีทางจบลงง่ายดายเช่นนี้แน่ และการที่เขาเห็นนางร่วงหล่นจากฟ้าเพียงเพราะร่ายมนตร์นี้ครั้งเดียว ทั้งที่เขาเคยเห็นนางทำได้มากกว่านี้หลายเท่า ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเอลีอานั้นพูดถูก เรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของมหาจอมเวทแน่ การทำลายป่าทั้งป่าบดขยี้โกเล็มยักษ์ทีเดียวหกตนพร้อมกันอาจเป็นเพียงแค่การจัดฉากให้การมาอยู่ที่นี่ของนางน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงเขาเองก็ยังไม่รู้
จนกระทั่งตอนนั้นเองที่สายตาของเขามองออกไปเห็นร่างของหุ่นสงครามที่นั่งคุกเข่าพยายามลุกขึ้นจากหลุมใหญ่ยักษ์นั้นในสภาพเละเทะแบบที่เขาไม่เคยเห็น เมื่อบัดนี้ชิ้นส่วนภายนอกแทบจะสลายสิ้น เหลือแต่โครงเหล็กและชิ้นส่วนภายในที่เสียหายอย่างหนักจนไม่น่ารอดได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป้าทำลายของเวทมนตร์อันทรงพลังนั้นไม่ใช่พวกโกเลมทว่าเป็นเขา
ถึงกระนั้นนั้นเวทมนต์ที่ทรงพลังจนสามารถบดขยี้โกเล็มยักษ์ให้แหลกสลายไปได้ในพริบตา ก็ยังไม่เพียงพอจะทำลายหุ่นสงครามให้ถึงขั้นสูญสิ้น
ทว่าฉับพลันนั้นเองที่ก้อนกรวดซึ่งสลายออกมาจากร่างของโกเลมยักษ์เริ่มขยับเคลื่อนไหว พวกมันค่อยๆ ก่อร่างรวมตัวกันกลับขึ้นมาอีกครั้ง แต่ด้วยความเสียหายอันสาหัสทำให้พวกมันสูญเสียส่วนประกอบ รวมทั้งแกนกลางวิญญาณก็แตกแยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้การก่อร่างซ่อมแซมตัวเองกลับมาคราวนี้ไม่ได้ใหญ่ยักษ์เท่าเดิม กลายเป็นเพียงโกเลมที่สูงเพียงสามหรือสี่เมตรเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันมันก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นสามเท่า
พวกมันทั้งหมดมุ่งตรงเข้ามาในหมู่บ้านทันทีโดยไม่สนใจร่างของฮอรัสที่นั่งใกล้ๆ ซึ่งนั่นถือเป็นสิ่งที่ผิดพลาดมหันต์ เพราะถึงแม้หุ่นสงครามตนนี้จะอยู่ในสภาพที่ดูเหมือนหมดสภาพต่อสู้ไปแล้ว ทว่ารูปลักษณ์อันเป็นเปลือกนอกแบบมนุษย์ไม่เคยอยู่รอดในสมรภูมิโบราณกาลได้เกินห้านาที ร่างของหุ่นที่หลงเหลือเพียงโครงโลหะเปลือยเปล่าปกป้องอวัยภายในนั้นต่างหากที่เปรียบได้กับร่างพร้อมรบสำหรับฮอรัส เขาเคยชินกับการต่อสู้ในร่างนี้เสียยิ่งกว่าอะไร
เพียงชั่วพริบตา เขาใช้มือกระดูกขยับยันร่างของตัวเองขึ้นมาแล้วสะบัดใบมีดที่ข้อมือตัดขาโกเลมตัวใกล้จนแตกกระจายเป็นเศษหินพร้อมกันทั้งสองข้าง ทิ้งร่างลงไปดิ้นกับพื้น แล้วตามไปซ้ำด้วยการใช้กำปั้นโลหะบดขยี้เปลือกหินกลางหน้าอกของโกเลมจนแตกละเอียด เผยแกนกลางซึ่งเป็นมณีเพชร
โกเลมที่เหลือพอเห็นว่าหนึ่งในพวกของตนถูกทำลายลงไปได้ก็หันกลับมา ตั้งใจจะจัดการกับตัวปัญหาที่ว่าก่อน แต่แล้วพวกมันกลับต้องขยับถอยห่างเมื่อได้เห็นร่างกายของฮอรัสที่เหลือแต่โครงกระดูกโลหะกับชิ้นส่วนภายใน จ้องมองกลับมาด้วยดวงตาสีนิลข้างซ้ายซึ่งปรากฏรอยร้าวเล็กๆ เป็นความเสียหายและกำลังสั่นระริกจนเกิดเสียงดังกรุ้งกริ้งในกะโหลก
บ่งบอกว่ากระบวนการซ่อมแซมตนเองนั้นกำลังพยายามหาทางซ่อมส่วนสำคัญนั้นอยู่ เพียงแต่ยังขาดวัตถุดิบคือพลังงานแวดล้อมจำพวกเวทมนตร์หรือพลังชีวิตจากสัตว์เล็กสัตว์น้อยอย่างหนอนแมลง
และดูท่าแก่นพลังชีวิตของโกเล็มที่เป็นก้อนหินเคลื่อนไหวได้นั้นจะสูงขั้นกว่าหนอนแมลงเพียงไม่มากนักในฐานะของสิ่งมีชีวิต โกเล็มในมหาสงครามอสูรนั้นสำหรับหุ่นสงครามแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากขวดยาที่วางไว้ทั่วสนามรบเท่านั้นเอง
เขาใช้นิ้วโลหะบีบมณีแกนกลางของโกเลมตนแรกจนแตก สูบเอาพลังชีวิตเข้ามาใช้ซ่อมแซมส่วนสำคัญที่สุดบริเวณดวงตาพลางส่งเสียงประหลาดออกมาตอนที่ธุลีสีม่วงเริ่มทำงานของมัน
ฝ่ายโกเลมเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ พวกมันเริ่มกระจายตัวแยกกันออกไปคนละทิศคนละทางทันที ราวกับสัญชาตญาณอสูรบ้าคลั่งในตัวกำลังเตือนถึงประวัติศาสตร์ในอดีตว่าลำพังการอาละวาดอย่างป่าเถื่อนนั้นใช้ไม่ได้ผลกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
และยิ่งกว่าสัญชาตญาณคือคำสั่งที่ฝั่งหัวพวกมันเมื่อยามข้ามเส้นแบ่งประตูเชื่อมมายังโลกนี้ ว่าภารกิจของพวกมันไม่ใช่การต่อสู้กับตุ๊กตาสงคราม แต่เป้าหมายแท้จริงนั้นอ่อนแอกว่านี้มากและยังปลอดภัยดีอยู่ในหมู่บ้านรอคอยให้พวกมันเข้าไปฆ่าและทำลาย
ฮอรัสที่เห็นว่าพวกโกเล็มมุ่งหน้าแยกกันเข้าไปที่หมู่บ้านเช่นนั้นก็รู้ได้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปกติ โกเลมไม่ควรมีแบบแผนในการทำศึกหรือจู่โจมเว้นแต่จะอยู่ในกองทัพที่มีอสูรระดับจักรพรรดิคอยกำกับสั่งการอยู่ด้วย
รู้เช่นนั้นแล้วเขาก็รีบถีบตัวเข้าปะทะกับโกเลมตัวที่ใกล้ที่สุดแล้วจัดการกระทุ้งอุ้งมือทะลุหน้าอกทำลายแกนกลางทิ้งในทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลาด้วยภารกิจหลักยังคงเป็นการปกป้องหมู่บ้าน แต่อย่างไรถึงจะรวดเร็วเหนือมนุษย์แค่ไหน แต่ลำพังตัวเขาคนเดียวในสภาพที่เสียหายเช่นนี้ก็ไม่สามารถตามหยุดพวกโกเลมที่แยกกันไปได้ครบหมด มีโกเลมที่หลุดออกจากการติดตามของเขาเข้าในหมู่บ้านได้หลายตน
จนกระทั่งฉับพลันนั้นเอง ที่ร่างของโกเลมตนหนึ่งซึ่งเข้าถึงหมู่บ้านได้แล้วจู่ๆ ก็ถูกแยกส่วนออกจากกันเป็นหมื่นๆ ชิ้นราวกับหอมใหญ่ที่ถูกหั่นละเอียดเป็นแว่น พร้อมกับที่ภาพของชายสูงอายุแต่หน้าตายังดูหนุ่มซึ่งปรากฏขึ้นในชุดกันเปื้อน พร้อมมีดรูปร่างประหลาดยาวเกือบสองศอกในมือซึ่งสะท้อนเงาเฉียบคม
“โดนไปขนาดนั้นยังรอด อึดดี... เสร็จเรื่องนี้ เดี๋ยวทำแอมโบรเซีย (Ambrosia) ของฉันให้ทานแล้วกัน” พ่อครัวของสมาคมพูดอย่างแผ่วเบาด้วยเสียงนุ่มมีเสนห์แต่ก็เรียบเฉย เอ่ยถึงแอมโบรเซียซึ่งถูกกล่าวขานกันว่าเป็นสำรับพระเจ้า พลางปั้นหน้านิ่งสนิทเหมือนพยายามจะแข่งกับฮอรัสว่าใครจะนิ่งได้มากกว่ากัน