บทที่ 13 : เรื่องของเจ้าหมาโง่ 2
บทที่ 13 : เรื่องของเจ้าหมาโง่ 2
ช่วงสายของวันที่ร้อนที่สุดวันหนึ่งของปี ชายหนุ่มนอนหมดรูปแผ่หลาในสภาพกึ่งเปลือย ข้างกายของเขามีเพียงพัดลมซอมซ่อที่ต่อให้เปิดจนถึงเบอร์สุดท้ายแล้วก็ยังทำได้แค่ส่งลมร้อนออกมาอย่างแผ่วเบา อีกด้านของเขามีลูกสุนัขนอนแลบลิ้นสลับกับหายใจแรง ๆ เพื่อระบายความร้อน
เป็นสภาพที่ดูไม่ได้ของทั้งเจ้านายและลูกสุนัข
“นี่ซาโตยะ วันนี้จะมีคนมาส่งของ อยู่รับให้แม่ด้วยนะ” เสียงผู้หญิงมีอายุดังมาจากบริเวณหน้าบ้าน คนถูกไหว้วานไม่ได้ขยับกายได้แต่ขานรับทั้งที่ไม่มอง
“คร้าบบบบบ” เสียงตอบรับที่เต็มไปด้วยความเกียจคร้านลอยออกมาจากห้องนั่งเล่น
“แล้วก็อย่าเอาแต่นอนด้วย ถึงช่วงนี้จะไม่มีเรียนก็ออกไปหางานพิเศษทำบ้างก็ได้ เราน่ะอยู่มหาวิทยาลัยแล้วนะ อย่ามัวแต่ลอยชายไปมา” แม่ของซาโตยะบ่นไปเรื่อย “เอ๊ะ เห็นรองเท้าแม่รึเปล่า ก็ว่าวางไว้ตรงนี้นี่นา”
“อื้ออออ” ลากเสียงยาวโดยที่ไม่ฟังใจความสำคัญของประโยคสักนิด
“แล้วก็หมาน่ะ เอามาเลี้ยงแล้วก็ดูแลดี ๆ ด้วยล่ะ อย่าลืมพามันไปฉีดยาให้ครบ”
“...” ซาโตยะยิ่งเงียบ เขาแทบจะสลบไปเพราะความร้อนอยู่แล้ว แต่เสียงของแม่ก็ดึงเขาให้มีสติอีกครั้ง
“นี่ซาโตยะ ได้ยินแม่พูดรึเปล่า”
“คร้าบบบบบ”
เธอถอนหายใจ หญิงวัยกลางคนส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่ายเมื่อได้ยินคำตอบรับแบบไม่ได้สนใจ เธอรู้ดีว่าเจ้าลูกบ้าของตัวเองคงไม่คิดกระดิกตัวออกไปหางานพิเศษทำหรอก แค่จะออกนอกรั้วบ้านยังยากเลย ส่วนเรื่องดูแลหมาอาจจะเป็นเรื่องเดียวที่เธอพอจะวางใจได้ เพราะตั้งแต่ซาโตยะเอามันมาเลี้ยง เจ้าสุนัขก็ติดเขาแจอย่างกะเป็นพ่อลูกกัน และดูเหมือนมันจะโตเอา ๆ เพราะซาโตยะเลี้ยงมันอย่างดี ถึงปากและท่าทีจะดูไม่ใส่ใจก็เถอะ
“อ่ออ อย่าลืมนะ อยู่รับของด้วย” เธอพูดทิ้งท้ายก่อนจะปิดประตูดังปัง แล้วชายหนุ่มก็เคลิ้มหลับไปอีก
เขาฝันแปลก ๆ มันเป็นความฝันถึงโลกในอนาคตที่ล่มสลาย ทุกแห่งทุกหนมีแต่พื้นดินที่แตกระแหงจากความแห้งแล้ง ป่าถูกปกคลุมด้วยเมือกเหลวสีดำ สัตว์หลายชนิดก็แปรสภาพไป โลกทั้งโลกกลายเป็นนรกบนดิน
ซาโตยะในชุดบอดี้สูทสีดำยืนอยู่เบื้องหน้าของสัตว์ประหลาดที่มีสีเดียวกันนับร้อย ในมือของเขามีทอนฟาอาวุธรูปร่างเหมือนท่อนไม้ที่มีด้ามจับยื่นออกมา เพียงแค่ทอนฟาอันนี้มีพลังงานบางอย่างสีฟ้าน้ำเงินแล่นแปลบปลาบอยู่ที่ด้านที่ใช้มันฟาดศัตรู ทำไมอาวุธที่เขาชื่นชอบที่สุดถึงได้มาอยู่ในมือก็สุดที่เขาจะคาดเดา
ข้างกายของเขาเป็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน นอกจากจะสวมใส่ชุดที่คล้ายกันแล้วเขาก็ยังถือหอกที่มีพลังงานสีน้ำเงินบนคมหอกไม่แตกต่างจากที่ซาโตยะครอบครองอยู่
“นิดฮอก” ชายหนุ่มที่มองเห็นหน้าไม่ชัดพูดขึ้น เป็นชื่อประหลาดแต่ซาโตยะก็เคยได้ยินมาก่อน มันคือมังกรในความเชื่อของชาวนอร์ส มันอาศัยอยู่ในดินแดนนรก “นิฟล์เฮม” และคอยกัดกินรากของต้นอิกดราซิล ต้นไม้ที่โอบรับโลกทั้งโลกตามความเชื่อเอาไว้
จากนั้นสองหนุ่มก็พุ่งออกไป สัตว์ประหลาดแบบเดียวกันแต่ตัวเล็กกว่าพยายามเข้ามาหยุดทั้งคู่ แต่ทั้งสองก็สู้ประสานกันได้อย่างไร้ที่ติ เมื่อคนนึงบุกอีกคนจะคอยระวังหลังให้ เมื่อฝ่ายหนึ่งตั้งรับการโจมตีอีกฝ่ายก็จะช่วยกำจัดศัตรูให้ พวกเขาเดินหน้าไม่หยุดแม้ว่าสัตว์ประหลาดสีดำมาโถมเข้ามาตัวแล้วตัวเล่า
ซาโตยะและสหายที่เขาไม่รู้จักกระโดดหลบหางที่คมกริบของนิดฮอก เจ้ามังกรดำพยายามใช้พลังบางอย่างแต่เพื่อนของเขาเคยมีประสบการณ์กับมันมาแล้ว เขากำลังจะทำอะไรบางอย่าง…
“บ๊อก บ๊อก บ๊อก บ๊อก บ๊อก บ๊อก” เสียงดังกวนโสตประสาทบังคับให้ซาโตยะตื่นขึ้นจากความฝัน แต่มันไม่ใช่เสียงของเจ้า “บากะอินุ” ที่ยังคงนอนขดตัวซุกอยู่ข้าง ๆ มันคือเสียงโทรศัพท์ของเขาเอง
“ไอ้เสียงน่ารำคาญนี่มันใช้ปลุกดีจริง ๆ เลยแฮะ” ซาโตยะบ่นขึ้นลอย ๆ เขาอัดเสียงบากะอินุใช้เป็นโทรเข้าเพราะอ้างว่ามันบังคับให้เขาต้องรับเพราะทนฟังไม่ได้
“คร้าบบบบ”
“บ้านคุณมิโดริคาวะใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ ส่งของใช่ไหมครับ”
“ช่วงบ่ายโมงถึงบ่ายครึ่งไม่ทราบว่ามีคนอยู่รับของไหมครับ”
ซาโตยะขยี้ตาแล้วหันไปมองนาฬิกา เข็มสั้นและยาวกำลังจะไปบรรจบกันที่เลขสิบสองในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เขาอ้าปากหาวหวอดก่อนที่จะตอบกลับไป “มีครับ มาส่งของได้เลย ว่าแต่ของที่สั่งนี่อะไรนะครับ”
“ตู้ครับ ตู้ของแจ๊สแอนด์โคเฟอร์นิเจอร์ครับ ถ้าหลงทางเดี๋ยวจะติดต่อไปอีกนะครับ” พนักงานพูดจบก็ตัดสายไป
“แม่นะแม่… ร้อนจะตาย แทนที่จะซื้อเครื่องปรับอากาศ ดันไปซื้อตู้มาทำไมอีกว้า” ถึงจะทำท่ามากบ่นกระบิดกระบวนแต่ซาโตยะก็ฝืนลุกขึ้นไปอาบน้ำและรออีกนานจนในที่สุดเสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น
“ช่วยเซ็นรับตรงนี้ด้วยครับ” หนุ่มหน้าตายยื่นเอกสารมาให้พร้อมกับชี้ไปที่ตำแหน่งที่ต้องเซ็นรับ ซาโตยะรู้สึกเหมือนเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อนแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมาก
“แล้วมาส่งของหนัก ๆ แบบนี้ นี่มาคนเดียวเหรอครับ”
“นั่นน่ะสิครับ ผมเพิ่งมาทำงานวันแรกซะด้วย ก็คิดอยู่ว่าทำไมถึงโดนปล่อยให้ออกมาส่งของคนเดียว”
“ก็คงจะ… รับน้องสินะครับ เอาเถอะ เดี๋ยวผมช่วยยก” พูดจบซาโตยะก็เดินอ้อมไปด้านหลังรถที่เปิดรอไว้อยู่แล้วแต่หนุ่มคนส่งของก็ปฎิเสธเป็นพัลวัน เขายกตู้ที่กำลังของคนเพียงคนเดียวไม่มีทางยกได้ง่าย ๆ อย่างหน้าตาเฉย ทำเอาซาโตยะต้องขอลองยกดูบ้างแล้วก็พบว่าเขาเองก็เกือบจะยกมันไม่ขึ้น
“หน้าตาดูไม่น่าจะหนักขนาดนี้เลย”
“ร้านเราใช้วัสดุอย่างดีครับ รับรองว่าแข็งแรงมาก มันก็เลยหนักนิดหน่อย” ชายคนส่งพัศดุพูดแบบนั้นแต่เขากลับยกมันง่าย ๆ ราวกับมันไร้น้ำหนัก ทำเอาซาโตยะที่ค่อนข้างจะภูมิใจเรื่องกำลังแอบเสียความมั่นใจไปเล็กน้อย
โครมมมม!
เสียงดังที่ไม่รู้ที่สาเหตุดังจากในบ้านและตามมาด้วยเสียงเห่าของลูกหมา ซาโตยะและคนส่งของมองหน้ากันเหมือนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วซาโตยะก็วิ่งนำเข้าไปก่อน ภาพที่เห็นคือห้องนั่งเล่นที่มีสภาพดูไม่จืด ประตูไม้ที่ปกติจะถูกเปิดเอาไว้อยู่เสมอมีสภาพร่อยรอยการทุบจากภายนอก เจดีย์หินขนาดเล็กที่เดิมตั้งอยู่ในสวนล้มอยู่กลางห้องนั่นน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสภาพเช่นนี้ขึ้น
ใครบางคนไม่รู้ว่าประตูแค่ถูกปิดเอาไว้เฉย ๆ จึงทุ่มเจดีย์หินใส่เพื่อหวังเข้ามาในบ้าน
“แล้วลูกหมาล่ะ” ซาโตยะวิ่งตามออกไปที่สวน เขาเห็นชายคนหนึ่งวิ่งหนีไป มือข้างหนึ่งของเขามีถุงผ้าที่มีขนาดใหญ่พอที่จะใส่ลูกสุนัขลงไปได้ไม่ยาก เขาเห็นซาโตยะกับคนส่งของแล้วก็รีบปีนข้ามรั้วออกไปในทันที
ซาโตยะวิ่งตามไปด้วยความเร็วราวกับติดปีก เขากระโจนเพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็ไปจนเกือบถึงจุดที่หัวขโมยเคยอยู่ ชายหนุ่มไม่เสียเวลาแม้แต่น้อยกับกำแพงที่สูงเกือบสองเมตรครึ่งเขากระโดดครั้งเดียวก็ข้ามมันไปได้ แต่ทั้ง ๆ ที่โจรและลูกหมาอยู่ห่างออกไปเพียงเอื้อมมือ เขาก็คว้าไว้ไม่สำเร็จเพราะอีกฝ่ายมีพรรคพวกพร้อมรถมอเตอร์ไซค์จอดรอไว้แล้ว
ชายหนุ่มออกวิ่ง มือของเขาเกือบจะคว้าคอเสื้อคนร้ายไว้ได้ แต่เมื่ออีกฝ่ายบิดจนสุดแรงม้าระยะห่างของเขาและรถก็ห่างออกไปเรื่อย ๆ
ปรี๊นนนนน
เสียงแตรรถของรถขนส่งนั่นเอง ชายส่งของยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างแล้วพูดอย่างรวดเร็ว “รีบขึ้นมาเร็ว”
ซาโตยะไม่เสียเวลาลังเลแม้แต่น้อย เขาตอบรับความช่วยเหลือจากชายที่เพิ่งจะพบแถมไม่รู้แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนาม แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือแบบไหนเขาก็ยินดีรับมันไว้ทั้งหมด ที่ต้องทำในตอนนี้คือตามหัวขโมยไปให้ทัน
“มันจับหมาผมไป” ซาโตยะพูดด้วยความร้อนรน เขากระโจนขึ้นรถทันทีส่วนคนขับเมื่อเห็นซาโตยะปิดประตูเรียบร้อยก็รีบเร่งเครื่องตามเป้าหมายไปในทันที
“โจรสมัยนี้แม้แต่หมาก็ยังขโมยรึเนี่ย” หนุ่มคนส่งของร้อง “เวรกรรม เริ่มงานวันแรกก็ซวยเลย”
“ขอบคุณนะ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก” หนุ่มคนส่งของว่าพลางหยิบหมวกพนักงานมาใส่ “บางทีทั้งหมดอาจจะเป็นความผิดผมก็ได้”
“หืมมม คุณหมายความว่ายังไง”
“ผมเป็นตัวซวยไงล่ะ” เขาซ่อนสายตาในหมวกที่โดนดึงลงมาปิด “เคยไปช่วยผู้หญิงโดนฉุด ยังโดนผู้หญิงคนนั้นเข้าใจผิดจนถูกแทง แถมยังเกือบติดคุกแน่ะ”
ซาโตยะทำหน้าไม่ถูก เขาอยากจะพูดปลอบคนส่งของจิตตกคนนี้ว่าเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเขาเลย แต่อาจจะเป็นเพราะซาโตยะไปมีเรื่องกับนักเลงเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน และตอนนี้เขาก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะไปปลอบอะไรใครได้ เพราะตัวเองก็กำลังกังวลใจกลัวว่ารถหัวขโมยจะทิ้งห่างจนลับสายตาไป
แต่แทนที่เจ้าหัวขโมยจะพยายามขับหนีจนหายไป ราวกับมันกำลังล่อพวกเขาอยู่ มันพาพวกเขาลัดเลาะเข้าไปในซอยเปลี่ยว จากนั้นก็พาไปหยุดที่หน้าโกดังร้าง ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะแบกถุงที่มีลูกหมาวิ่งเข้าไปในโกดัง ส่วนอีกรายก็บึ่งรถหนีไปอีกด้าน คนส่งของจอดรถหน้าโกดัง
“นี่มันขับล่อมาชัด ๆ” ชายคนส่งของที่ติดร่างแหมาด้วยเปรยขึ้น
“คุณรออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวผมมา” โดยไม่รอคำตอบซาโตยะปิดประตูรถและวิ่งตามเข้าไปในโกดังทันที
ภายใต้แสงสลัวและกลิ่นอับ ที่กลางห้องมีชายวัยเกือบจะกลางคนนั่งอยู่บนลังไม้ สองมือของเขากำลังลูบอยู่บนตัวลูกหมาที่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอย่างใจเย็น เขามองลูกสุนัขด้วยรอยยิ้มที่ซาโตยะคิดว่าไม่ได้แสดงออกถึงความเอ็นดูแน่ ๆ
“มิโดริคาวะ ซาโตยะ ได้ยินเรื่องของนายมาไม่น้อยเลยนะ” ซาโตยะไม่ได้ฟังเจ้านั่นพร่ำเพ้อ สายตาเขามองไปที่บากะอินุที่ร้องเสียงแผ่วเมื่อเห็นเจ้านายของมัน
“ปล่อยหมาซะ” ซาโตยะกล่าว น้ำเสียงสั่นเพราะเริ่มจะหมดความอดทน
“นายรู้รึเปล่าว่าฉันเป็นใคร”
ซาโตยะส่ายหน้า
“โอลิเวอร์ เคนเนดี หัวหน้าแก๊งค์บลัดดีสโตน เคยได้ยินบ้างไหม”
คราวนี้เขาพยักหน้าแทน บลัดดีสโตนเป็นแก๊งค์อันธพาลชื่อดังที่มีอิทธิพลในย่านนี้ พวกนักเลงกระจอกที่เขากระทืบไปก่อนหน้านั้นก็ดูเหมือนจะเป็นกลุ่มย่อย ๆ ที่อยู่ใต้แก๊งค์นี้อีกที ชื่อของโอลิเวอร์เองก็โด่งดังอยู่พอตัว เขามีญาติชื่อโอเวนที่มีชื่อเสียงในวงการศิลปะการต่อสู้และมีข่าวลือว่าโอลิเวอร์ผู้นี้ก็ร้ายกาจไม่ต่างกัน
“พวกเราเป็นอันธพาลก็จริง แต่มันก็มีกฎเล็ก ๆ ที่ต้องรักษาไว้ ลูกน้องโดนหยามแบบนี้ นายคงเข้าใจนะ” โอลิเวอร์กล่าว บากะอินุพยายามจะดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขน แต่เขาก็รั้งมันเอาไว้ในขณะที่อีกมือก็ลูบตัวสั่น ๆ ของมันไปด้วย
“ไม่ต้องพูดมากหรอก ถ้าอยากจะสู้ก็มาสู้กัน แต่ปล่อยหมาไป มันไม่เกี่ยวอะไรด้วย” ซาโตยะยกมือปราม เขาเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายแค่เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงัก
“ไม่เกี่ยวงั้นเหรอ” เสียงโอลิเวอร์เปลี่ยนไปกลายเป็นเสียงที่โหดเหี้ยมจากมือที่เคยลูบเจ้าตัวน้อยที่กำลังสั่นเทาก็เปลี่ยนมาเป็นมือที่จับมันไว้แน่นจนบากะอินุร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“อะไรที่เป็นของรักของแก มันก็เกี่ยวกันทั้งนั้นน่ะแหละ” เขาตะคอกพร้อมกับใช้สองแขนยกเจ้าตัวน้อยขึ้น ซาโตยะเบิกตากว้าง เขาตะโกนออกมาสุดเสียง
“อย่าาา!!!” ซาโตยะพุ่งออกไปแต่ไม่ทันแล้ว โอลิเวอร์ทุ่มร่างเล็ก ๆ ในมือของเขาลงกับพื้น เสียงดัง “ตุบบ” ที่ไม่ได้ดังอะไรมากมายเลยสะเทือนเข้าไปในอกของชายหนุ่มราวกับโลกของเขาถูกทุบจนแหลกสลาย ซาโตยะวิ่งปรี่เข้าไป เขารีบนั่งลงกับพื้นและช้อนร่างสีน้ำตาลขึ้นอย่างช้า ๆ
“ไอ้บัดซบ” มือยังกุมเจ้าตัวเล็กที่ร้องครางอยู่ในอ้อมกอด แต่ซาโตยะก็หมุนตัวกลับมาฟาดเท้าใส่โอลิเวอร์ได้ทันควัน แต่ก็น่าเหลือเชื่อไม่ต่างกัน ความเร็วที่ถ้าเป็นคนธรรมดาคงไม่มีทางหลบได้ อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวออกได้ทันท่วงที
“มุมแบบนั้นยังเตะออกมาได้อีก อย่างกับพวกฝึกคาโปเอร่ามาเลย” โอลิเวอร์หัวเราะเพราะเริ่มสนุก เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีใครมีฝีมือคู่ควรที่จะให้เขาลงมือด้วยตัวเอง
“ตายซะเถอะ” ซาโตยะรัวลูกเตะใส่ มันทั้งเร็วและฉวัดเฉวียนราวกับหวดด้วยแส้ แต่โอลิเวอร์ที่มีประสบการณ์ต่อสู้ไม่น้อยก็ใช้สองมือปัดออกไปได้
“แกนี่มันน่ากลัวยิ่งกว่าที่เขาลือซะอีก แต่ประสบการณ์มันยังผิดกัน” โอลิเวอร์พยายามชกโดยเล็งไปที่สองมือที่เขายังกุมร่างโชกเลือดของเจ้าตัวเล็กเอาไว้ มันทำให้ซาโตยะต้องหลบจนเกือบเสียจังหวะ
ชายหนุ่มลังเลใจที่จะสู้ต่อ ในสภาพแบบนี้ต่อให้เขาเอาชนะได้แต่เจ้าลูกหมาก็อาจจะไม่รอด ซาโตยะถอยห่างออกมา ที่แขนของเขารู้สึกถึงของเหลวอุ่นร้อนที่ไหลออกมาจากเจ้าหมาน้อย ยิ่งทำให้เขาคิดว่าการเลือกสู้ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ โอลิเวอร์ยิ้มเยาะเมื่อเห็นซาโตยะเม้มปากอย่างครุ่นคิด
“เป็นอะไร คงไม่ใช่คิดจะหนีหรอกนะ” เหมือนเดาใจได้ โอลิเวอร์ดักคอซาโตยะ จากนั้นเขาก็ปิดทางเลือกของซาโตยะด้วยการเรียกคนของตัวเองที่ซุ่มรออยู่ให้ออกมา “ขอโทษนะ ไม่ได้พูดสักคำว่าจะดวลกันตัวต่อตัว”
แล้วเกือบสิบนาทีของการตะลุมบอนก็เริ่มขึ้น ซาโตยะในตอนนี้ไม่เหลือเศษเสี้ยวความปราณีใด ๆ อีก เขาเตะอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน โจมตีในแบบที่ไม่เคยกล้าทำเพราะกลัวอีกฝ่ายจะตาย แต่ตอนนี้เพื่อปกป้องชีวิตเล็ก ๆ ที่กำลังจะเลือนหายไปในอ้อมแขน เขาจึงเปลี่ยนตัวเองเป็นปีศาจร้าย
โอลิเวอร์เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน แต่มันเป็นของลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง ราวกับสัตว์ประหลาดที่อยู่ในอีกมิติหนึ่งอาละวาด ทีละเล็กทีละน้อยเขาเริ่มคิดว่านี่อาจจะเป็นความคิดที่แย่ที่สุดที่มายุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่ง ในขณะที่มองลูกน้องของตัวเองโดนซัดจนหงายไปทีละคน แววตาของซาโตยะไร้ซึ่งความเมตตาใด ๆ
“ไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดขนาดนี้เลย” โอลิเวอร์ว่าพลางยกปืนขึ้นเล็งไปทางซาโตยะที่กำลังสู้ติดพันจนไม่รู้ว่าอยู่ในวิถีการยิงแล้ว ในขณะที่นิ้วกำลังจะเหนี่ยวไกนั้นเอง
“ขอโทษนะครับ” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นจากข้างหลังทำให้โอลิเวอร์ต้องหันปืนไปทางทิศนั้นแทน เขาตกใจจนเกือบจะเผลออุทานคำหยาบเพราะอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ที่มีถุงกระดาษคลุมหัว
กร๊อบบบ
มันคือเสียงของไหล่โอลิเวอร์ที่ถูกตบจนบิดยับและตามมาด้วยเสียงของปืนที่ตกกระเด็นสไลด์ไปตามพื้น ชายประหลาดที่สวมถุงกระดาษโจมตีโดยที่เขามองไม่ทันด้วยซ้ำ
...ที่นี่ไม่ได้มีสัตว์ประหลาดอยู่ตนเดียว…
มันคือความคิดสุดท้ายก่อนที่สติจะดับวูบไปเพราะส้นเท้าของซาโตยะที่ฟาดเข้าท้ายทอยอย่างแม่นยำ
“คุณโดนหนักเอาเรื่องเลยนะครับ” มนุษย์หัวถุงกระดาษถอดถุงที่คลุมหัวออกและเผยว่าเขาคือชายคนส่งของนั่นเอง “รีบไปโรงพยาบาลเถอะ” เขาว่ากวาดสายตามาที่ร่างที่เต็มไปด้วยแผลและเลือดของซาโตยะ
“เจ้านี่อาการหนักกว่า ต้องพามันไปหาหมอก่อน” หนุ่มคนส่งของเข้าใจว่าเขาสื่ออะไร ดูจากที่เขากอดมันไว้ราวกับของรัก เจ้าหมาตัวนี้คงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขาแน่ ๆ
“ผมไม่ควรจะอยู่ที่นี่ แย่ล่ะ… รถมีจีพีเอสด้วย จริง ๆ อยากจะพาไปส่งนะ แต่ผมต้องรีบไปแล้วล่ะ” หนุ่มคนส่งของว่าอย่างร้อนรน เขารีบหมุนตัวทำท่าจะเดินออกไปเมื่อเห็นซาโตยะค่อย ๆ เดินตามออกมา
“ขอบใจนะ สักวันฉันจะตอบแทนเรื่องในวันนี้แน่” ซาโตยะพยายามประคองสติ ดูเหมือนว่าซี่โครงของเขาจะหักและมันทำให้เขาเริ่มหน้ามืด เขาแทบจะมองไม่เห็นพื้น รู้สึกว่าตัวเองล้มพับลงไปได้ทุกเมื่อ แต่เขาไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น แขนของเขากอดเจ้าลูกหมาไว้แนบแน่นแม้ว่าลมหายใจของมันจะแผ่วลงไปทุกทีก็ตาม
“เฮ้ อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ” เขาะพยายามเรียกซาโตะที่หน้าซีดลงก่อนจะสบถออกมาเมื่อซาโตยะค่อย ๆ ทรุดลงไป “บ้าจริง เดี๋ยวไปส่งก็ได้ รอแป๊บนะ” แล้วเพื่อนใหม่ที่ยังไม่ทันรู้จักชื่อก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ซาโตยะรู้สึกประหลาด ทั้งที่เสียเลือดไปเยอะ ทั้งที่รู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้นิดเดียวแต่เขากลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าตัวเล็กที่บาดเจ็บไม่แพ้กันในอ้อมแขน ความคิดที่ว่าต้องพาไปรักษาให้ได้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้น แต่แล้วสติของเขาก็ดับวูบ แสงสีขาวได้โอบล้อมเข้ามาจากทุกด้านแล้วความเจ็บปวดเลือนหายไป
หนุ่มคนส่งของวิ่งกลับมาอีกครั้งเพื่อจะบอกว่าเขาถอยรถมารออยู่ที่หน้าประตูแล้ว แต่ว่าแสงสว่างวาบทำให้เขาต้องยกมือขึ้นบังหน้า จากนั้นร่างสองร่างที่เคยอยู่ตรงนั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตา
“อา… เรื่องแบบนี้เหมือนเคยได้ยินมาก่อนในรายการผีทางวิทยุ… นี่ตูโดนผีหลอกกลางวันแสก ๆ สินะ”
...ชิบห...แล้วไง…
ที่ดิกนิตี เวลาหลายปีก่อนที่กิลเลนจะถูกดึงตัวไป ผู้ถูกเลือกยี่สิบชีวิตได้ถูกดึงมาที่นี่ แต่ว่าสิ่งที่สร้างความแตกตื่นให้กับพวกเขาไม่ใช่แค่สถานที่ไม่คุ้นตาแต่เป็นร่าง ๆ หนึ่งที่นอนจมกองเลือด ในอ้อมกอดของเขามีลูกสุนัขตัวเล็ก ๆ ที่มีสภาพไม่ได้ดีไปกว่ากัน
“ต้องรีบรักษาโดยด่วน! ทั้งคู่เลย!” แมดเดอลีนตะโกน