บทที่ 12 : เรื่องของเจ้าหมาโง่ 1
บทที่ 12 : เรื่องของเจ้าหมาโง่ 1
ในฤดูร้อนที่อบอ้าว ชายหนุ่มในเสื้อยืดบาง ๆ และกางเกงขาสั้นถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงรบกวนที่ดังมาจากไม่ใกล้ไม่ไกล อากาศที่ร้อนจัดทำให้แม้จะถูกรบกวนการนอนกลางวันแต่เขาก็ยังคงไม่ยอมลุกไปไหน ได้แต่นอนจ้องเพดานด้วยสายตาที่เหมือนกับปลาที่ตายไปแล้ว
“บ๊อก บ๊อก บ๊อก”
“หนวกหูชะมัด” เขาว่าแล้วก็หยิบพัดกระดาษที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาพัดใบหน้า หวังขับไล่ความร้อนแล้วความหงุดหงิดออกไป แต่มันก็แทบไม่ช่วยอะไรเลย
“บ๊อก บ๊อก บ๊อก” เสียงเดิมยังคงดังลอยมาไม่หยุด
“หมาที่ไหนวะ เดี๋ยวพ่อเตะลอย” เขาบ่นขณะที่เริ่มสะลึมสะลือ
“บ๊อก บ๊อก บ๊อก บ๊อก”
“...”
“งี้ดดด งี้ดด งี้ด” จากเสียงเห่ากลายเป็นเสียงร้องน่าสงสารแทน และมันยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกรำคาญยิ่งกว่าเดิม
“ไม่ใช่แค่หมาแล้ว เจอเจ้าของเมื่อไหร่จะเตะให้ลอยทั้งคู่เลย”
ชายหนุ่มในสภาพที่ดูไม่จืด หัวเหอกระเซอะกระเซิง หน้าไม่ล้าง และนุ่งกางเกงเกือบหลุดก้น ยืนทำหน้าเบื่อโลกอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง มันคือบ้านข้าง ๆ ที่เป็นต้นตอของเสียงกวนใจของเขา ชายหนุ่มกดออดหน้าบ้านครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไร้ผลไม่มีใครออกมาแม้แต่คนเดียว
“ตายยกครัวไปหมดแล้วรึเปล่านะ รึว่าไปทำงานกันหมดแล้วทิ้งหมาเอาไว้ฟระ” ชายหนุ่มหัวเสีย เขากดออดรัวขึ้น แต่ผลก็ยังเหมือนเดิม
“บ๊อก บ๊อก บ๊อก” เสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นเพียงแค่ลูกหมาดังออกมาจากด้านหลังบ้าน มันทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจตะโกนออกไป
“มีใครอยู่ไหมครับ” ซึ่งก็ยังเงียบกริบ
“ผมซาโตยะ ที่อยู่ข้างบ้านนี่เอง มีใครอยู่ไหมครับ” หนุ่มหัวกระเซิงพยายามอย่างที่สุดที่จะสุภาพแต่ความอดทนของเขามีไม่มากนัก
“ไม่อยู่บ้านกันหมด แล้วดันทิ้งลูกหมาไว้เนี่ยนะ เฮงซวยจริง ๆ”
“พ่อหนุ่ม!” เสียงคุณป้าแถวละแวกนั้นทักมาจากบ้านฝั่งตรงกันข้าม
“ครับป้า”
“บ้านนั้นเขาไม่อยู่หรอก เรียกไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกจ๊ะ” คุณป้าผู้รอบรู้เรื่องทุกอย่างของชาวบ้านชวนคุย ชายหนุ่มลูกครึ่งอย่างซาโตยะเป็นคนเดียวในย่านนี้ที่เธอแทบไม่เคยคุยด้วย เธอจึงถือโอกาสนี้ทำความรู้จักซะเลย
ซาโตยะแกล้งทำเป็นไม่สนใจคำถามทั้งหลายทั้งแหล่ที่เธอยิงมาและลากเธอกลับมาในประเด็นที่เขาอยากรู้ “เค้าไปทำงานกันทั้งบ้านเลยเหรอครับ”
“อ๋อ ไปเที่ยวต่างประเทศกันทั้งบ้านเลยน่ะ เห็นว่าได้โบนัสก้อนโตก็เลยขนกันไปเที่ยวทั้งบ้านเลย…”
จากนั้นป้าผู้รู้ก็ยังพูดเป็นต่อยหอยไม่หยุด แต่ซาโตยะไม่ได้สนใจเขารู้สึกกังวลแทนเจ้าหมาที่ถูกทิ้งไว้หลายวันแล้วโดยไม่มีใครเหลียวแล
“ไม่มีคนมาดูแลมันเหรอ”
“วันสองวันแรกก็เห็นมาอยู่หรอกนะ แต่บ้านนั้นคงไม่ค่อยสนใจหมาเท่าไหร่หรอกมั้ง เห็นว่าลูกชายได้มาจากแฟนเก่า แต่พอเลิกกัน เจ้าลูกชายตัวดีก็เลยไม่สนใจมัน...”
...ทำไมป้าถึงได้รู้เรื่องพรรณ์นั้นได้ฟระ…
ชายหนุ่มมองไปที่บ้านหลังนั้นด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เขาเลิกสนใจป้าที่ยังคงพูดเรื่อยเจื้อยไม่มีท่าทีจะยอมหยุดง่าย ๆ ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่ความรู้สึกด้านลบ
ซาโตยะทำให้สิ่งที่หลาย ๆ คนไม่เชื่อว่าเขาจะทำ ชายหนุ่มรอจนมั่นใจว่าไม่มีใครเห็นและปีนข้ามกำแพงจากบ้านตัวเองสู่บ้านเป้าหมาย เขาหยิบก้อนหินขนาดพอดีมือขึ้นมาจากพื้นและมองไปที่ตัวบ้านด้วยสายตาที่เหมือนกำลังลังเล
“บ๊อก บ๊อก บ๊อก บ๊อก”
เขาเกือบจะหันหลังกลับไปแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงนั้น ดวงตาของเขาฉายแววน่ากลัวขึ้นมา ส่วนมือก็กำก้อนหินไว้แน่น
“หนวกหูนักนะ เดี๋ยวได้เจอดีแน่ ไอ้หมาโง่”
เพล้งงงง
ซาโตยะใช้ก้อนหินทุบกระจกจนแตก จากนั้นจึงลอดมือเข้าไปเปิดลูกบิดประตูและพาตัวเองบุกเข้าไปในบ้าน เขาเดินตามเสียงเห่าที่ถูกส่งมาเป็นระยะ จนเข้าใกล้ห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น ห้องเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีช่องระบายอากาศ สายหนังเก่า ๆ ถูกผูกไว้กับท่อและอีกด้านของมันก็มีเจ้าก้อนสีน้ำตาลมอมแมม
มันคือภาพที่คนรักสุนัขต้องปวดใจที่ได้เห็น เจ้าก้อนสีน้ำตาลสกปรกคือลูกสุนัขที่ผอมโซจนเกือบจะเป็นหนังหุ้มกระดูก ขนสีน้ำตาลทองดูเขลอะไปด้วยเศษมูลและคราบฝุ่นจนกลายเป็นสังกะตัง ดูจากร่องรอยกัดสายหนังมันคงพยายามดิ้นรนไม่น้อยแต่สายคงหนาและแข็งเกินกว่าลูกสุนัขตัวเล็ก ๆ อย่างมันจะกัดให้ขาดได้
ไม่รู้ว่าคิดอะไรแต่ซาโตยะก็ตัดสินใจพามากลับมาที่บ้าน หลังจากให้มันกินนมจนอิ่มแล้วเขาก็จับมันอาบน้ำอาบท่า จะเพราะรอยแผลที่เกิดจากสายหนังที่รอบ ๆ คอหรือเพราะมันเกลียดการถูกอาบน้ำก็ตามที เจ้าตัวเล็กดูจะไม่ชอบมันนัก แต่สุดท้ายมันก็ถูกทำความสะอาดอย่างดีก่อนที่ซาโตยะจะพามันไปหาสัตว์แพทย์อีกครั้ง
“ไม่ได้ทำเพราะอยากจะช่วยมันหรอก แต่มันร้องหนวกหูไม่หยุด จะให้ทำยังไง” เขาบอกแบบนั้นกับหมอที่ดูอาการของมัน แน่นอนว่าเขาไม่ได้เล่าในส่วนที่ตัวเองถึงกับบุกรุกบ้านคนอื่นแถมยังทุบประตูเข้าไปอีก
แล้ววันหยุดในช่วงฤดูร้อนของชายหนุ่มก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แทนที่จะได้นอนหลับฟังเสียงลมพัดเอื่อย ๆ เสียงกรุ๊งกริ๊งของโมบายแขวนยามเมื่อถูกพัด นั่งกินแตงโมทั้งลูกแก้ร้อนโดยไม่ต้องสนใจสายตาใคร ตอนนี้เวลาทั้งหมดของเขาได้ถูกเจ้าตัวเล็กที่เขาไปฉวยมาจากข้างบ้านชิงไปเสียหมด
“โกลเดินริทรีฟเวอร์” ซาโตยะหาข้อมูลจากในอินเทอร์เน็ตจนพบกับเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลของสุนัขพันธุ์ต่าง ๆ ถึงจะดูแค่รูปยากอยู่สักหน่อย แถมคนเกลียดทั้งหมาและแมวแบบเขาก็ไม่เคยสนใจมาก่อน ซาโตยะก็ยังมั่นใจว่ามันคือไอ้พันธุ์ที่ว่าแน่ ๆ
“เป็นสายพันธุ์มีถิ่นกำเนิดในประเทศสกอตแลนด์ มีขนยาวสีเหลือง มีทั้งสีอ่อน สีเข้ม และเหลืองทอง แต่เดิมถูกพรานพัฒนาสายพันธุ์เพื่อใช้ช่วยล่าสัตว์ มีประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยมในการดมกลิ่นและฟังเสียง… ปัดเดี๋ยวสิเว้ย แล้วนี่ตูมานั่งอ่านอะไรอยู่เนี่ย”
...บ้าจริง ไม่ได้กะจะเลี้ยงมันนานขนาดนั้นสักหน่อย กะว่าเจ้าของมาแล้วก็จะเอาไปคืนแล้วก็ด่าเข้าให้สักฉอด…
ซาโตยะมองไปทางลูกหมาที่ตอนนี้ดูต่างจากวันที่เขาเจอมันในวันแรกเหมือนคนละตัว ตอนนี้มันร่าเริง ไม่ได้หวาดกลัวเขาจนตัวสั่น ร่างที่เคยผอมจนเหมือนซอมบี้ในหนังสยองขวัญ ตอนนี้ก็กลับมามีเนื้อหนังพร้อมกับขนใหม่ที่ดูเงางาม
เขามองมันที่กำลังเล่นของเล่นเป็นลูกบอลพลาสติกด้วยความรู้สึกประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน
...ไอ้หมาโง่เอ๊ย…
แล้ววันที่ซาโตยะรอคอยก็มาถึง วันที่ครอบครัวข้างบ้านเดินทางกลับมาจากการท่องเที่ยวที่ยาวนานกว่าที่เขาคิด ซาโตยะไม่ได้กลัวเลยว่าเขาจะโดนต่อว่าที่บุกรุกแถมยังทำลายข้าวของในบ้าน เขาตรงดิ่งเข้าไปโวยวายเรื่อง “เจ้าหมา” พร้อมกับส่งมันคืน
“นายชอบมันเหรอ” ลูกชายเจ้าของบ้านที่อายุน่าจะพอ ๆ กับซาโตยะถามแบบท่าทางรำคาญ
“พูดอะไรน่ะ ฉันเข้าไปช่วยมันไม่งั้นมันจะอดตายอยู่ในบ้าน” ซาโตยะพูดอย่างโมโห
“แต่นายก็เลี้ยงอย่างดีเลยนะ อย่างน้อยก็ดีกว่าที่ฉันเลี้ยงแน่ ๆ” คำพูดของเขาทำเอาซาโตยะรู้สึกจุก “เรื่องที่นายบุกรุกและพังประตูน่ะ พวกเราไม่เอาเรื่องก็ได้ แต่รับมันไปทีเถอะ ให้ฉันเลี้ยงมันอาจจะอดตายจริง ๆ เข้าสักวันก็ได้” โดยไม่รอคำตอบของอีกฝ่าย ลูกชายเจ้าของบ้านก็ปิดประตูใส่หน้าซาโตยะทิ้งให้เขายืนงงอยู่ตรงนั้น
“อะไรวะ อย่ามาทำเหมือนทิ้งขว้างสิ่งของสิโว้ย” ซาโตยะตะโกนใส่ประตูแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ กลับออกมาอีก เมื่อเห็นว่าลูกชายเจ้าของบ้านหมายความตามที่พูดแน่แล้ว ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงอะไร
“บ๊อก บ๊อก” เสียงเห่าของเจ้าหมาที่เจ้าของเดิมไม่แยแสดังเรียกซาโตยะเมื่อเห็นเขาเปิดประตูรั้วบ้าน มันวิ่งเข้ามาหาก่อนจะกระดิกหางระรัวด้วยความดีใจ ดูเหมือนมันจะรอเขาอยู่ตรงประตูตลอดที่ชายหนุ่มออกจากบ้านไป
“อะไร หืม...” ซาโตยะย่อตัวลงระดับเดียวกับมัน สุนัขโกลเดินตัวเล็กกระโดดเกาะขาของเขา แลบลิ้นยาวออกมาพลางหอบใส่ ซาโตยะถอนหายใจอย่างรู้ทัน แม้จะไม่ชอบหมาหรือแมวก็ตามที แต่ก็ยอมลูบหัวของมันอยู่แบบนั้น “ดูท่าเราคงต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน”
“บ๊อก บ๊อก” เจ้าหมาโง่ที่ซาโตยะตั้งชื่อให้เหมือนจะฟังรู้เรื่อง หางเล็ก ๆ นั่นกระดิกอย่างดีใจ มันเลียมือของเขาอย่างรักใคร่ก่อนจะเห่าใส่ซาโตยะหนวกหู
“เออน่า รู้แล้ว ๆ หยุดเลียสักที” ซาโตยะไม่ได้ยิ้ม เขารีบชักมือออก เจ้าหมานั่งลงกับพื้นใช้ดวงตาสีดำจ้องเจ้าของใหม่ไม่วางตา
ซาโตยะเดินเข้าบ้านชี้ไปที่พื้นเมื่อเจ้าสุนัขจะวิ่งตามเข้าไป เจ้าหมาโง่ยอมนั่งอยู่กับที่พร้อมทำหน้าหงอยแต่เมื่อซาโตยะกลับมาพร้อมอาหารในถ้วยและวางตรงหน้ามัน มันก็ดีใจยกใหญ่ก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
ด้วยบทสรุปที่ไม่คาดฝันนี้ ชีวิตประจำวันของซาโตยะจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หน้าร้อนที่ควรจะได้พักผ่อนอย่างที่หวังจบลงด้วยการที่มีเจ้าตัวเล็กที่ซุกซนเข้ามาในชีวิต
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะแตกต่างจากเดิมไปซะทีเดียว…
บ่ายแก่ ๆ วันหนึ่ง ในตรอกเล็ก ๆ ที่ห่างใกล้จากสายตาและความพลุกพล่าน กลุ่มวันรุ่นหลายสิบชีวิตกำลังรวมตัวกันที่นั่น โดยมีซาโตยะเป็นศูนย์กลางของความสนใจ
“ได้ยินมาว่า แกช่วยดูแลหมอนี่ให้อย่างดีเลยนี่หว่า” วัยรุ่นที่มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีกว่าเป็นพวกนักเลงหัวไม้ เข้าไปกอดคอวัยรุ่นอีกคนที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกวัยรุ่นคนแรกลากตัวไปยืนหน้าซาโตยะที่กำลังทำหน้าเอาเรื่อง
“ไอ้หมอนี่มันมาแกล้งหมาของฉัน” ซาโตยะเสียงแข็งใส่โดยไม่ได้หวั่นเกรงเลยว่าเขากำลังอยู่ในวงล้อมของคนที่ไม่เป็นมิตร
ตัวหัวโจกที่มีผ้าปิดปากสะบัดหน้าส่งสัญญาณให้ลูกน้อง จากนั้นก็มีสี่คนที่รู้หน้าที่เดินแยกออกมา ทั้งสี่เดินวนรอบ ๆ พร้อมกับส่งเสียงขู่ไปด้วย
แต่สีหน้าซาโตยะไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ออกจะเป็นใบหน้าที่เบื่อหน่ายด้วยซ้ำ
คนแรกบุกเข้าไปตรง ๆ จากด้านหน้าและถูกชายหนุ่มตอกส้นใส่กลางหัวในพริบตา เขาล้มกระแทกพื้นและไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาอีก ส่วนคนที่สองและสามก็มีสภาพไม่ได้ดีไปกว่ากัน รายหนึ่งต่อยเฉียดหน้าซาโตยะไปและโดนศอกถองสวนกลับ รายต่อมาก็โดนเตะเต็มปากจนฟันหน้าร่วงไปทั้งแถบ และคนสุดท้ายก็โดนเตะข้อพับจนหน้าคะมำหมดสภาพไป
“เป็นแกจริง ๆ ด้วยสินะ ไอ้ที่เขาลือว่ามีเด็กลูกครึ่งผิวเหลืองถล่มแก๊งค์นึงซะยับ” หัวหน้าที่มีผ้าปิดปากถามโดยไม่ได้คิดว่าเขาจะตอบกลับ
จากนั้นพวกนักเลงที่เหลือก็เริ่มเข้าไปตะลุมบอน บางคนไม่เข้าไปมือเปล่า พวกเขาใช้ทั้งมีด ไม้ หรือแม้แต่โซ่เป็นอาวุธ แต่ไม่ว่าจะงัดอะไรออกมาก็ดูไม่ได้ทำให้ซาโตยะร้อนใจใด ๆ
หัวหน้าของอันธพาลจากที่เคยมองดูสถานการณ์อย่างใจเย็น เขาเริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นจำนวนสมาชิกที่เคยมีมากกว่าสามสิบชีวิตลดลงอย่างรวดเร็วในขณะที่ซาโตยะแทบจะไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ
“เฮ้ยย นี่มันไม่ใช่แล้ว…”
ซาโตยะยังคงสู้ต่อไปเขาหลบโซ่ที่ฟาดไปมาได้ราวกับกำลังสนุกอยู่
“เรื่องแบบนี้มันจะมีอยู่จริงได้ยังไง” ความร้อนรนทำให้เขาถึงกับหลุดปากออกมา
ซาโตยะหมุนตัวทิ้งส้นใส่ลูกน้องคนสุดท้ายที่ยกไม้ขึ้นรับ ไม้หน้าสามหักสะบั้นราวกับไม้จิ้มฟันที่ถูกสับด้วยมีดอีโต้ มันไม่ได้ช่วยป้องกันความเสียหายใด ๆ ได้เลย หลักฐานก็คือจมูกที่แหลกยับของลูกน้องคนนั้นก่อนที่เขาจะทรุดลงไปกองกับพื้น
“มากันแค่นี้ ยังกล้ามาหาเรื่องฉันอีกนะ” ซาโตยะเหยียดยิ้มใส่ชายที่มีผ้าปิดปากที่ตอนนี้กลัวจนแทบจะฉี่ราด
“ยะ อย่าเข้ามาจะโว้ย ไอ้ปีศาจ”
“เฮ้ เฮ้! พวกแกมาหาเรื่องเองนะโว้ย” ชายหนุ่มแสดงสีหน้าน่ากลัวออกมา เขาเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับยกเท้าขึ้นเตรียมจะกระหน่ำใส่อีกฝ่ายจนกว่าจะสาแก่ใจ
“บ๊อก บ๊อก บ๊อก บ๊อก”
เสียงสุนัขดังขึ้น แต่บริเวณนั้นไม่มีสุนัขอยู่เลย ชายผู้มีปากปิดปากเหลียวมองจนรอบเหมือนเพื่อจะหาตัวช่วยแต่เขาก็ไม่พบอะไร
เสียงนั้นดังมาจากกระเป๋ากางเกงของซาโตยะนั่นเอง ชายหนุ่มวางเท้าที่ยกขึ้นมากลับที่เดิม เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดปิดเสียงเตือนทิ้ง
“ลืมไปเลยว่า ตั้งเตือนเอาไว้เพราะจะไปซื้ออาหารให้เจ้านั่น ตายล่ะหว่า ร้านจะปิดรึยังเนี่ย”
“หา....”
“เอาเถอะ วันนี้ถือว่าแกดวงดีรอดไปได้” ซาโตยะพูดจบก็หันหลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปทิ้งให้ชายผู้มีผ้าปิดปากนั่งงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“เวรเอ๊ย ร้านอยู่ตั้งไกล จะวิ่งไปทันไหมเนี่ย”