ตอนที่ 15 雪春 剣星
ตอนที่ 15
雪春 剣星
เรื่องทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีกขั้น
ความตื่นตระหนกของเฟย์นะเมื่อเห็นสภาพของแฟนหนุ่มอีกครั้ง รวมกับการมีแผลเลือดไหลยิ่งทำให้มีไอวิญญาณสีดำรั่วออกจากจุดนั้นมากยิ่งขึ้น เธอเหมือนคนกำลังร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาน แต่ไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้อีกแล้ว
เจ้าหน้าที่กองปราบวิญญาณทุกคนเริ่มถอยหลังออกมาอีกหลายเมตร เมื่อเริ่มรู้สึกได้ถึงแรงดูดพลังชีวิตที่มากยิ่งขึ้นกว่าเก่า บางคนถึงกับเริ่มทรุดเพราะตั้งรับไม่ทัน จนต้องช่วยกันลากออกจากจุดนั้นไปให้แพทย์วิญญาณช่วยดูอาการ
ฟอแกนด์เดินไปหาหัวหน้าหน่วย K-2 และ K-1 กับ K-3 ที่เพิ่งมาถึง การพูดคุยถกเถียงอย่างเคร่งเครียดเริ่มต้นขึ้นและจบลงในระยะเวลาไม่นาน
ยิ่งเมื่อมีรายงานเพิ่มเติมว่าคลื่นวิญญาณสีดำที่ดูดพลังชีวิตแผ่ขยายบริเวณเป็นวงกว้างมากขึ้น และเริ่มมีผู้คนธรรมดาได้รับผลกระทบมากยิ่งขึ้นจนนำตัวส่งโรงพยาบาลกันแทบไม่ทันแล้ว หัวหน้าหน่วย K-2 ผู้รับผิดชอบภารกิจนี้โดยตรงแต่แรกตัดสินใจโทรหาผู้บัญชาการสูงสุดในทันที
ทางศูนย์บัญชาการในกองปราบเองก็ติดตามสถานการณ์นี้อยู่แล้วตั้งแต่มีการเรียกรวมพล โทรศัพท์ถูกเปิดลำโพงคุยเพื่อให้ทุกคนได้ยินอย่างพร้อมเพรียง
หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคนทั้งเมืองจะตกอยู่ในอันตราย รวมถึงเจ้าหน้าที่กองปราบวิญญาณทุกคนด้วยเช่นกัน อันที่จริงเรื่องนี้จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่ายนิดเดียวหากเลือกมีใครสักคนกล้าที่จะเลือกหนทางอันโหดร้าย
หน่วยไล่ล่าวิญญาณกำจัดเพียงแค่วิญญาณไม่เคยทำร้ายคน หน่วยไล่ล่าคนก็กำจัดแต่คนร้ายไม่ใช่กับเด็กสาวที่อาจไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใครแบบนี้ ทุกคนจึงไม่มีใครกล้าลงมือกับเฟย์นะที่อยู่ในสถานการณ์นี้อย่างแน่นอน
แต่เมื่อเธอถูกระบุว่าเป็นภัยวิญญาณขั้นร้ายแรงสูงสุด และไม่มีวี่แววว่าจะหาทางออกที่ดีกว่านี้ได้แล้วล่ะก็...
“คำสั่งวิสามัญฆาตกรรมได้รับอนุญาต”
ทันทีเสียงคำสั่งของผู้บัญชาการสูงสุดดังขึ้นผ่านโทรศัพท์ หัวหน้าหน่วยทุกคนก็หันไปมองฟอแกนด์ราวกับยกภารกิจนั้นให้หัวหน้าหน่วยที่รับผิดชอบด้าน ‘คน’ เป็นผู้จัดการ ฟอแกนด์ถอนใจออกมาอย่างไม่พอใจนัก แต่ก็ไม่ได้พูดหรือบ่นอะไรก่อนจะหันหน้าไปยังเป้าหมาย
ในตอนนั้นเอง เคนเซย์เรียกอาวุธออกมาขวางตรงหน้าฟอแกนด์ที่หยิบอาวุธออกมาแล้วเช่นกัน
“หยุดนะ! ใครคิดจะทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นผมก็จะไม่เกรงใจเหมือนกัน!”
“ถอยไป ไอ้เด็กบ้า”
แม้ฟอแกนด์จะออกคำสั่ง แต่เคนเซย์ก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
“หัวหน้า! เธอเป็นแค่คนบริสุทธิ์ไม่เหมือนคนร้ายที่พวกเราเจอมานะ!”
“คิดว่าฉันอยากทำรึไง เพื่อนนายคงไม่ดีใจหรอกถ้าได้สติขึ้นมาแล้วรู้ว่า ตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนทั้งเมืองต้องตาย แม้แต่นายหรือฉันก็อาจจะไม่รอดจนไปอยู่ปลอบใจหรืออธิบายเรื่องราวให้เธอฟังแล้วด้วยซ้ำ มองดูรอบๆ ซะ เห็นมั้ยว่าแม้แต่คนในกองปราบวิญญาณยังเริ่มยืนกันไม่ไหวแล้ว ถอยไป!”
ในช่วงเวลาที่บรรยากาศกดดันจนถึงขีดสุด เสียงของเอ็ดเวิร์ดก็ดังขึ้นในหัวของเคนเซย์อีกครั้ง วิธีการสุดท้ายที่ท่านรองนึกออกแต่ไม่ได้เอ่ยขึ้นแต่แรก จนกระทั่งได้เห็นท่าทางของเคนเซย์ที่เหมือนจะยอมแลกชีวิตของตัวเองเพื่อเด็กสาวคนนั้น แม้ว่าจะต้องสู้กับฟอแกนด์ก็ตาม
...ยังมีอีกวิธี เคนเซย์ แต่นายต้องตัดสินใจเอาเอง...
เคนเซย์เบิกตาโตขึ้นหันไปมองเอ็ดเวิร์ดอย่างคาดไม่ถึง เขาอยากจะโทษด่าตัวเองสักล้านครั้งว่าทำไมถึงได้โง่จนนึกอะไรไม่ออกขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องทุกอย่างก็อาจจะแก้ไขได้ตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องให้หัวหน้ายิงเธอแบบนั้นแล้ว
“ผมจะจัดการเอง ทุกคนห้ามยุ่งเด็ดขาด!”
ตะโกนบอกทุกคนจบเคนเซย์ก็หันหลังกลับ ใช้ดาบของตัวเองกรีดที่นิ้วชี้มือขวาเป็นแผลลึกจนมีเลือดไหลหยด เขาหยิบสร้อยคอออกมาร่ายคาถาประจำตระกูล จี้สร้อยคอสีแดงปรากฏเป็นร่างของวิญญาณนกไฟสีเพลิงออกมา เคนเซย์กระโดดขึ้นไปบนนั้นก่อนจะพุ่งแหวกไอวิญญาณสีดำเข้าไปหาเฟย์นะในทันที
“เคนเซย์!”
ทุกคนร้องเรียกชายหนุ่มอย่างตื่นตระหนกที่เขาเหมือนสิ้นคิดพยายามเข้าไปฆ่าตัวตาย ต่อให้เป็นสายเลือดตระกูลยูคิฮารุที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดก็เถอะ แต่ด้วยพลังวิญญาณสีดำระดับหกแบบนี้ต่อให้มีอีกสิบเคนเซย์ก็ไม่น่าเพียงพอ
“พิธีชำระวิญญาณ”
เสียงของเอ็ดเวิร์ดดังขึ้นบอกกับทุกคน และนั่นยิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ฟังมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะกับยูทากะที่ถึงกับเข่าอ่อนทรุดฮวบลงกับพื้น
เมื่อฝ่าไอวิญญาณที่ดูดพลังชีวิตเข้าไปถึงเฟย์นะได้ เคนเซย์ก็ถึงกับหน้ามืดเหมือนจะวูบหมดสติ ยังดีที่นกไฟของเขากลายสภาพเป็นกรอบสี่เหลี่ยมครอบตัวเขาได้ในทัน
เคนเซย์พยายามเค้นสติอันรางเลือนในช่วงเวลาสั้นๆ ใช้ด้ามจับของดาบผลักเฟย์นะให้นอนหงายลงกับพื้น นิ้วมือเปื้อนเลือดขีดเขียนสัญลักษณ์บางอย่างลงบนหน้าผากของหญิงสาวอย่างเร่งรีบพร้อมกับการร่ายคาถา เกิดวงมนตราเรืองแสงสว่างสีขาวขึ้นโดยรอบคนสองคน
จนเมื่อเคนเซย์ร่ายคาถาพยางค์สุดท้ายจบ ชายหนุ่มก็ก้มหน้าลงจุมพิตที่ริมฝีปากของหญิงสาว ซึ่งมีความเชื่อว่าวิธีนี้จะส่งผ่านพลังงานได้มากที่สุดแล้วนั่นเอง
เคนเซย์ได้แต่บอกกับตัวเองอย่างหนักแน่น อย่างน้อยจนกว่าพิธีกรรมนี้จะเสร็จสิ้นเขาก็ห้ามหมดสติไปเสียก่อน
คุณชายแห่งตระกูลยูคิฮารุเค้นพลังออกจากร่างกายอย่างสุดขีด
เสียงปริแตกบางอย่างในตัวของเคนเซย์ดังขึ้น
เกิดระเบิดแสงสีขาวที่ให้ความรู้สึกอ่อนละมุนขนาดใหญ่กินวงกว้างไปทั่วบริเวณ
เกือบยี่สิบปีก่อน...
ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัดยามค่ำคืนในเดือนสิงหาคม ท้องฟ้าเปิดโล่งเปล่งประกายไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ และเด็กชายคนหนึ่งก็ได้ลืมตาดูโลกพร้อมกับพรสวรรค์อันแสนพิเศษ
ทายาทสายตรงคนแรกของตระกูลในรุ่นปัจจุบัน ผู้ซึ่งเกิดมาพร้อมกับการปะทุพลังวิญญาณทันทีด้วยการปรากฏดาบวิญญาณ สัญลักษณ์ของนักปราบวิญญาณสายสลายพลังวิญญาณเหมือนบรรพบุรุษทุกรุ่น
剣星 ken sei คือตัวอักษรชื่อที่บิดาเป็นผู้ส่งมอบให้แก่บุตรชายตามธรรมเนียมของตระกูล
剣 คือดาบ
星 คือดวงดาว
เด็กชายผู้เกิดมาพร้อมกับดาบในคืนที่มีดวงดาวพร่างพราย
ลักษณะการตั้งชื่อที่คล้ายคลึงกับเจ้าของนามยูคิฮารุ ซึ่งเคยเป็นชื่อของบุรุษต้นสายสกุลผู้สร้างความรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ให้กับตระกูลตั้งแต่แรกเริ่ม จนลูกหลานใช้ชื่อนั้นเป็นนามสกุลสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน
雪春 yuki haru คือนามของผู้ก่อตั้งตระกูล บุรุษซึ่งได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกวิญญาณว่าเป็นนักปราบวิญญาณคนแรกของโลก
雪 คือหิมะ
春 คือฤดูใบไม้ผลิ
เด็กชายผู้กำเนิดในวันที่หิมะตกหลงเวลาท่ามกลางวสันตฤดูอันอบอุ่น
พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งของเคนเซย์นั้น ถูกคาดหวังว่าอาจเทียบเท่าได้กับพลังของบรรพบุรุษต้นตระกูล เพราะแม้ว่าทายาทสายตรงจะปะทุพลังวิญญาณตามช่วงอายุที่เหมาะสมกันทุกรุ่นก็จริง แต่หาได้มีใครปะทุพลังตั้งแต่กำเนิดแบบนี้เลยแม้แต่คนเดียว
เด็กชายไม่ได้ถูกทะนุถนอมดูแลเป็นพิเศษราวกับเป็นสิ่งสำคัญห้ามแตะต้อง ตรงกันข้าม... เขาถูกฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่เริ่มจำความได้ถึงแนวทางการใช้และควบคุมพลัง รวมถึงทักษะการฟันดาบอันเป็นชื่อเสียงของวงตระกูล
จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งเคนเซย์มีอายุเจ็ดขวบ เด็กชายได้เข้ารับการทดสอบพลังที่ศูนย์วิจัยของกองปราบวิญญาณ การทดสอบในระดับสูงสุด ที่หมิ่นเหม่กับความสามารถของเคนเซย์ที่ยังอายุเพียงแค่นั้น ความพยายามเค้นพลังเพื่อการเอาชนะบททดสอบตามประสาเด็กๆ ทำให้เกิดการปริแตกของพลัง จนผนังห้องทดสอบอันหนาแน่นทนทานระเบิดแตกออกไม่เหลือชิ้นดี
นับแต่นั้นมา พลังของเคนเซย์ก็ถูกผนึกไว้เกือบครึ่งหนึ่งด้วยวิธีการแบบโบราณของตระกูล เพื่อป้องกันตัวเองและผู้อื่นในยามที่เคนเซย์ไม่สามารถควบคุมสติได้ เขาเริ่มเข้าทำงานที่กองปราบวิญญาณในช่วงที่เกิดวิกฤติขาดคนอย่างหนักในขณะที่มีอายุเพียงเก้าปี ถูกเปลี่ยนสังกัดเพียงครั้งเดียวจากหน่วย K-1 ไปยังหน่วย K-0 ตอนอายุสิบสี่ หากนับตามอายุงานแล้ว เคนเซย์ก็นับได้ว่าเป็นรุ่นพี่ของเฮคเตอร์หรือแม้แต่ชาเกลได้เลยทีเดียว
ทดแทนกับการเติบโตมาด้วยการฝึกฝนพลังอย่างหนัก ในด้านการใช้ชีวิตเคนเซย์ก็สุขสบายดีมีทุกอย่างที่เด็กชายคนหนึ่งพึงอยากได้เพราะเกิดในตระกูลที่มั่งคั่ง การได้เข้าทำงานเข้าสังคมกับผู้ใหญ่มากมายตั้งแต่อายุยังน้อย อาจนับได้ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เขารอดพ้นจากการเป็นเด็กนิสัยเสียเลยทีเดียว
การทำงานทำให้เคนเซย์ได้รู้ว่าตัวเองต้องฝึกฝนพลังมากมายไปเพื่ออะไร ยิ่งเมื่อเขาก็สามารถนำมันมาใช้งานจริงได้ เด็กชายก็ยิ่งพยายามฝึกฝนตัวเองตลอดเวลาเพื่อให้เก่งกาจยิ่งขึ้น และต่อให้ถูกเอ็นดูจากผู้ใหญ่มากแค่ไหน แต่สังคมทำงานก็มีสิ่งที่เรียกว่าความรับผิดชอบ นั่นคือสิ่งที่ฝึกเคนเซย์ไม่ให้กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจและรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำอยู่เสมอ
ครั้งหนึ่งเมื่อยังสังกัดหน่วย K-1 ขณะที่เดินไต่บนกำแพงรั้วบ้านออกลาดตระเวนตรวจตราความเรียบร้อยของพื้นที่ และเข้าโหมดพลังวิญญาณไว้จนมนุษย์ทั่วไปไม่อาจมองเห็น ตอนนั้นเอง...ที่เด็กชายวัยสิบสองได้พบกับเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันคนหนึ่ง ซึ่งกำลังฝึกดาบไม้ท่ามกลางสายฝนที่รินลงมาแผ่วเบา เธอคงอยู่ในสวนข้างบ้านของตัวเอง
เด็กผู้หญิงกับดาบไม้คือสิ่งที่ทำให้เคนเซย์สนใจจนหยุดยืนดู เนิ่นนานผ่านไปแม้ฝนจะเริ่มลงเม็ดแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอก็ยังยืนฝึกอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงของคนที่น่าจะเป็นพ่อของเธอมาบังคับให้เธอเลิกฝึกและกลับเข้าบ้าน เด็กหญิงถูกเรียกว่าเฟย์นะ นั่นคงจะเป็นชื่อของเธอนั่นเอง
เคนเซย์แอบหัวเราะเมื่อเด็กหญิงทำท่างอแงเหมือนอยากฝึกต่อ ความน่ารักกับเรือนผมสีบลอนด์ทองสะดุดตานั้นชวนให้รู้สึกอยากมองก็จริง แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเคนเซย์ไว้ได้นับชั่วโมง คือสายตาและสีหน้าความมุ่งมั่นในการตั้งอกตั้งใจซ้อมของเธอมากกว่า เขาไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงคนไหนเอาจริงเอาจังกับการฝึกฟันดาบไม้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้ใครบังคับแบบนี้มาก่อนเลย
นับจากนั้น...เคนเซย์ก็มักจะมาแอบมองเธอทุกครั้งที่ได้รับมอบหมายให้ออกลาดตระเวนตรวจตรา เป็นช่วงสามเดือนที่เขาอยากตื่นมาทำงานให้เร็วที่สุด ทั้งๆ ที่เคยรู้สึกเบื่อที่จะต้องออกมาทำงานจุกจิกแบบนี้
ถึงไม่นับเรื่องความมุ่งมั่นในการฝึกเคนโด้แล้ว ความเข็มแข็งของเฟย์นะก็ไม่ธรรมดาจนทำให้เคนเซย์ทึ่งเสมอ ดูเหมือนคุณแม่ของเธอจะป่วยหนักเป็นอะไรบางอย่าง คงป่วยเรื้อรังมานานทีเดียวจนกระทั่งจากไปในปลายฤดูหนาวปีนั้น
เธอคงเป็นคนที่มีพลังวิญญาณสูงพอตัว ราวกับว่าพลังของเธอคอยดึงดูดให้ดิคเคนส์ปรากฏขึ้นแถวนั้นอยู่เสมอในยามที่เศร้าเสียใจ แน่นอนว่านั่นก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรงของเขาที่จะคอยกำจัดวิญญาณร้ายเหล่านั้น
หลังจากคุณแม่ของเธอเสียไป เขาเห็นเฟย์นะแอบร้องไห้แต่ก็ไม่เคยเห็นฟูมฟายกระจองอแงเลยสักครั้ง ก่อนจะใช้การฝึกดาบฆ่าเวลาให้ความเสียใจผ่านไป
สิ่งเหล่านี้ปลอบประโลมจิตใจของเคนเซย์ได้อย่างคาดไม่ถึง เขารู้สึกเหมือนได้พบกับเพื่อนคนสำคัญที่มีอะไรบางอย่างคล้ายคลึงกับตนเองอย่างที่สุด ความรู้สึกว่าอยากรู้จักเธอคนนั้นมากมายขึ้นทุกวัน และในขณะที่ลังเลว่าจะเข้าไปทักทายทำความรู้จักกับเธออย่างไร อยู่ๆ เด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งที่เหมือนเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกลที่ไหนสักแห่งก็ปรากฏตัวขึ้น
“ทิมมม”
เสียงเรียกชื่อนั้นดังขึ้นอย่างออดอ้อนน่ารักเสมอ
เหมือนเธอแปลงร่างตัวเองให้กลายเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาเมื่ออยู่กับเด็กผู้ชายที่ชื่อทิม บ้านของพวกเขาอยู่ติดกัน เหมือนจะรู้จักกันมาตั้งแต่จำความได้ เป็นคนที่เฟย์นะสนิทและไว้ใจที่สุด เธอแสดงทุกอารมณ์ที่เขาไม่เคยเห็นตลอดสามเดือนมานี้ เมื่ออยู่กับเจ้าทิมนั่นในเวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์เท่านั้นเอง
ความสนิทสนมที่เฟย์นะมีต่อเด็กชายคนนั้นสร้างความหงุดหงิดให้กับเคนเซย์อยู่ตลอดเวลา ท้ายที่สุด...เมื่อหมดเวลาของหน้าที่ลาดตระเวนเขาก็ตัดสินใจจะลืมเรื่องราวของเด็กหญิงชายคู่นั้นไป
แต่แล้วโชคชะตากลับเล่นตลก เมื่อเคนเซย์เข้าโรงเรียนเดียวกับสองคนนั้นในระดับมัธยมต้น และภาพนั้นก็ตามหลอกหลอนเขาไม่หยุดจนกระทั่งขึ้นมัธยมปลาย ซึ่งสถานภาพของเฟย์นะกับทิมก็ได้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นคู่รักกันไปเรียบร้อยแล้ว แม้จะไม่เคยอยู่ห้องเรียนเดียวกันสักครั้งตลอดระยะเวลาหกปี แต่ก็มีภาพของสองคนนี้ให้เห็นตำตาทุกวัน
เฟย์นะยังคงไปชมรมเคนโด้หญิงและหมั่นฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตายเสมอมา เธอคว้าแชมป์รายการต่างๆ ของการแข่งขันประเภทหญิงมาได้มากมาย สำหรับเคนเซย์แล้ว ผู้หญิงที่เนื้อตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อในชุดฝึกเคนโด้ช่างมีเสน่ห์จนเขาไม่อาจละสายตาไปไหนได้เลย
เธอไม่ใช่คนที่เก่งกาจไปหมดทุกอย่าง และหลายครั้งที่เคนเซย์ได้เห็นว่า ความมุ่งมั่นที่พยายามจะทำบางอย่างตามกิจการเทศกาลโรงเรียน หรือพวกกีฬาสีในแต่ละปีให้สำเร็จต่างหาก ที่น่าประทับใจกว่าความสวยของเธอเป็นไหนๆ ไม่ว่ามองจากด้านไหน หรือเมื่อไร ผู้หญิงคนนี้ก็คือแฟนสาวในอุดมคติของเขาอยู่เสมอมา
เคนเซย์เองก็มีเพื่อนผู้หญิงมากมายที่มาสารภาพรักกับเขาไม่ขาด เคยมีสองหรือสามครั้งด้วยซ้ำที่เขาลองตกปากรับคำคบหาคบหาดูใจกันไป แต่ทุกอย่างก็มักจะจบลงในเวลาไม่นาน เพราะเขาไม่สามารถหาเวลาออกเดตกับใครได้เหมือนคู่รักทั่วไป รวมถึงเขาก็ไม่อดทนพอที่จะตอบรับการเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีต่างๆ จากพวกเธอเหล่านั้น
ไม่เคยมีอะไรที่ทำให้เขาอดทนได้นอกจากการแอบมองมองเฟย์นะ แม้ว่ายิ่งมองจะยิ่งหงุดหงิดก็ตาม แต่ทุกครั้งที่เธอเดินผ่านหน้า เคนเซย์ก็ไม่สามารถห้ามสายตาไม่ให้เหลียวมองตามเธอคนนั้นได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ชีวิตของคุณชายแห่งตระกูลยูคิฮารุผู้มากด้วยพรสวรรค์และความสามารถทางโลกวิญญาณ ใช้ชีวิตสุขสบายอยากได้ก็อะไรทุกสิ่งก็มาอยู่ในมือได้ง่ายๆ เสมอ เรื่องของเฟย์นะเป็นปมความคาใจเพียงหนึ่งเดียวที่ติดอยู่ในใจเคนเซย์ตลอดเวลา สิ่งที่ทำให้เขาตระหนักและเข้าใจถึงคำว่า ‘พ่ายแพ้’
เขาเองก็เคยลองคิดที่จะพยายามดูสักครั้งเผื่อว่ามันอาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ทุกครั้งเพียงแค่มอง... ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์ของเฟย์นะกับทิมนั้นช่างแข็งแกร่ง ความผูกพันอันแน่นแฟ้นที่เคนเซย์มองไม่เห็นเลยว่า เขาจะเข้าไปแทรกตรงกลางระหว่างสองคนนั้นได้อย่างไร
จนแล้วจนรอด... ชายหนุ่มก็เลือกที่จะใช้การฝึกซ้อมดาบกับการทำงานต่อไป เพื่อทำให้ยุ่งจนลืมภาพแสนหงุดหงิดเหล่านั้นแทน
และท้ายที่สุด... เมื่อต้องมาเจอกันอีกสี่ปีในสถาบันกองปราบปรามแห่งชาติ เคนเซย์ก็ต้องยอมรับความจริงในที่สุดว่าเขาไม่เคยเลิกแอบมองเฟย์นะได้เลย เขาเลิกพยายามที่จะลืมเฟย์นะไปแล้วอย่างถาวร จะเป็นยังไงต่อก็ให้มันเป็นไป เขาจะไม่ดื้อ ไม่พยายามฝืนอะไรอีกแล้ว
คนเรานี้ก็ช่างบ้าบอ เป็นทุกข์อยู่ตั้งนานจนสุดท้ายเมื่อทำใจได้ว่า การแอบชอบคนมีเจ้าของแล้วมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้อย่างแท้จริง พอเปลี่ยนมุมมองเลิกคิดอยากเป็นเจ้าของ แค่ได้แอบมองแบบรู้สึกเป็นห่วง อยากเห็นเธอยิ้มได้ทุกวัน กลับเป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุขในใจอย่างง่ายดาย แม้ความหงุดหงิดเวลาได้เห็นเจ้าทิมนั่นจะไม่เคยหายไปก็เถอะ
เขารู้ว่าตัวเองไม่มีหวังอะไรอีกแล้ว สักวันเมื่อถึงวันเวลาที่เหมาะสมก็คงจะมีอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาเลิกมองเฟย์นะไปได้เอง และแม้ว่าเคนเซย์จะไม่ได้ใจกว้างขนาดอวยพรให้ทั้งคู่ แต่เขาก็ไม่เคยภาวนาขอให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย...
ระเบิดแสงสีขาวที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นกินวงกว้างไปทั่วบริเวณ
ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อทุกคนเห็นได้ว่าแสงสว่างดับหายไป ไอพลังวิญญาณสีดำที่พุ่งพล่านออกมาจากร่างกายของหญิงสาวผมสีบลอนด์ทองก็อันตรธานหายไปด้วยเช่นกัน
พี่ชายของเคนเซย์ทุกคนในหน่วยเคซีโร่ รวมถึงยูทากะรีบรุดวิ่งเข้าไปดูสถานการณ์
เฟย์นะนอนหงายแน่นิ่งหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอราวกับเพียงแค่นอนหลับไปตามปกติ ที่หน้าผากไม่มีร่องรอยสัญลักษณ์ซึ่งเขียนด้วยเลือดอีกแล้ว สิ่งนี้เป็นข้อยืนยันว่าพิธีชำระวิญญาณที่เคนเซย์ทุ่มเทด้วยชีวิตเพื่อร่ายคาถานี้ขึ้นประสบผลสำเร็จด้วยดี
เคนเซย์นอนคว่ำหมดสติโดยหงายใบหน้าหันข้างซบอยู่ที่ซอกคอของเฟย์นะ การทำพิธีชำระวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกหลานของเหล่าตระกูลคนสำคัญ ที่จะต้องใช้พิธีกรรมนี้สืบทอดพลังแห่งจิตวิญญาณจากรุ่นสู่รุ่น สิ่งนี้แสดงให้ทุกคนเห็นได้ว่าหญิงสาวคนนี้มีความสำคัญต่อเคนเซย์มากมายแค่ไหน
เพราะตลอดชั่วชีวิตของนักปราบวิญญาณคนหนึ่ง
พวกเขาจะสามารถทำพิธีนี้ได้เพียงครั้งเดียว กับคนคนเดียวเท่านั้น...