ตอนที่ 15: ประโยชน์ต่างๆ ของบรอธ
ตอนที่ 15: ประโยชน์ต่างๆ ของบรอธ
เฮเซคียาห์ปรึกษากับบรอธจนคิดแผนสร้างที่พักได้สำเร็จ
เขาลงแรงและเวลา ตัดต้นหญ้าสีเหลืองในทุ่งหน้าป่าหนามจนเหี้ยนเตียน และวางหญ้าสีเหลืองซ้อนทับกันเป็นกอง ตั้งใจตากหญ้าทั้งหมดให้แห้งด้วยแสงอาทิตย์ แต่บรอธกลับทำให้เขาแปลกใจ มันทำตัวมีประโยชน์โดยเขาไม่ต้องขอร้อง มันเริ่มทำตัวให้ร้อนและนาบไปตามกองหญ้าชั้นบน เร่งให้หญ้าสดแห้งเร็วขึ้น
เฮเซคียาห์วางแผนว่า จะเอาหญ้าสีเหลืองแห้งๆ ตัดเป็นขนาดเท่าๆ กัน มามัดเป็นฟ่อนด้วยเชือกซึ่งฟั่นมาจากหญ้าอีกชนิดหนึ่ง หลังจากนั้นตั้งใจจะนำฟ่อนหญ้ามาก่อเป็นกำแพงที่พัก
“บรอธ ฉันอยากได้หญ้าเหลืองๆ อีก แกบอกหน่อย มีใกล้ๆ ที่ไหนอีกไหม”
“นายไปทางด้านหน้านายนั่นแหละ เดินไปครึ่งวันก็ถึง”
“แกช่วยขนได้ไหม แบบว่าขยายตัวเองให้ใหญ่หน่อย ให้ฉันเอาหญ้าใส่ แล้วแกก็บินกลับมาที่นี่”
“...”
“แกบินเร็วๆ ได้ บินทั้งวัน หลายๆ เที่ยว เราคงขนหญ้ากลับมานี่ได้เยอะน่าดู”
“แต่ฉันไม่ใช่กล่องใส่ของนะคีห์”
“รู้ แต่ก็นะ ไหนๆ ตัวแกก็ใส่ของได้นี่” เฮเซคียาห์พินิจมองบรอธ มือกระชับด้ามจับของมีดที่อยู่ในมือ “ช่วยๆ กันหน่อย”
“เอาก็เอา” บรอธไม่ต่อปากต่อคำ
พวกเขาออกเดินเท้ากันทั้งที่เหน็ดเหนื่อย เฮเซคียาห์รับรู้ได้ว่าหัวใจของเขาเต้นแรงขณะเดิน เหงื่อของเขาผุดพรายตามใบหน้าและบนแผ่นหลัง
เงาของบางอย่างทาบลงมาบนร่าง เฮเซคียาห์เงยหน้าขึ้นแทบในทันทีเมื่อสัมผัสได้ว่าบนท้องฟ้ามีความเคลื่อนไหว
สายน้ำโปรยลงมาประพรม
“พวกวิหคเหมันต์” เฮเซคียาห์หยีตามอง
เขาคิดถึงวิหคเหมันต์ที่ได้รับประทานไข่ของมันไปก่อนหน้านี้ เจ้าตัวนั้น ไม่รู้ว่ากลับคืนสู่ท้องฟ้าแล้วหรือยัง
“จะกินไข่มันอีกเหรอ ดูเหมือนไม่มีตัวไหนในพวกนั้นกำลังจะออกไข่นะ”
“ไม่”
เฮเซคียาห์พาบรอธเดินต่อ
เมื่อถึงจุดที่เขาพบเข้ากับหญ้าสีเหลือง เฮเซคียาห์เริ่มตัดหญ้าอย่างขะมักเขม้น พอเขาตัดมากองได้กองหนึ่ง ก็บอกให้บรอธขยายตัวจนกว้างเท่ากับแขนโอบรัดได้พอดีหนึ่งรอบ เพื่อจะบรรจุหญ้าลงไปด้านในนั้น
“ฉันคิดอะไรดีๆ ออกละ” เฮเซคียาห์ยิ้ม “เดี๋ยวแทนที่เราจะมัดหญ้าเหลืองๆ พวกนี้ เราอัดมันเป็นก้อนดีกว่า”
“ไม่เห็นมีเครื่องมือ”
เฮเซคียาห์มองบรอธแล้วยกมุมปากข้างหนึ่งอย่างเจ้าเล่ห์
“เดี๋ยวแกก็รู้ว่าฉันจะทำยังไง”
“ไม่! ไม่!” บรอธบินไปรอบๆ หนีเฮเซคียาห์ที่ไล่ตาม “ไม่! เด็ดขาด!”
“อุปกรณ์อื่นไม่มี เข้าใจไหม” เฮเซคียาห์หอบเล็กน้อย แต่ยิ้มหน่อยๆ
เขาตั้งใจจะใช้บรอธเป็นบล็อกสำหรับอัดหญ้าให้เป็นก้อน โดยตั้งใจว่าจะใช้เท้าเหยียบลงไปภายในตัวของบรอธ บนกองหญ้าที่ถูกจับยัดใส่ในตัวบรอธจนเต็ม
“อย่าเอาเท้าเหม็นๆ ของนายมายัดใส่ตัวฉัน”
“พูดเหมือนมีจมูกอย่างนั้นแหละ อย่างมากที่สุดนายก็เห็นแค่แบคทีเรียบนเท้าของฉันเท่านั้น” เฮเซคียาห์หัวเราะด้วยความรู้สึกสนุกชอบกล
บรอธบินสูงขึ้นไปหลบบนต้นไม้ใหญ่
เฮเซคียาห์เตะต้นไม้นั้นหนึ่งที แต่บรอธไม่ยอมลงมา
“เดี๋ยวฉันไปหาก้อนหินมาแทนแล้วกัน ดีไหม” เฮเซคียาห์อารมณ์สดใสขึ้นหลังจากในช่วงหลายวันนี้มีแต่ความเบื่อหน่ายและซึมกะทือ “ไปช่วยหาก้อนหินด้วยกันดีกว่า”
“เดี๋ยวฉันไปหามาให้” บรอธอาสาเอง
“โอ๊ะ!” เฮเซคียาห์ร้องออกมา บรอธเทหญ้าแห้งใส่ศีรษะของเขา และบินเผ่นไปอย่างรวดเร็ว
เฮเซคียาห์สังเกตหญ้าซึ่งถูกเทใส่ศีรษะ มันมีความแตกต่างออกไปจากหญ้าแห้งผ่านการตากแดด เขาก้มลงไปเก็บแล้วขยี้มันในมือ พบว่ามันแห้งกว่าเดิม
“หินไม่ต้องดีกว่า แค่ฉันก็พอ” บรอธบินมาอยู่ด้านหลังโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง
เฮเซคียาห์หันขวับไปมอง
“แกทำอะไรกับหญ้าพวกนี้” เขาเอามือยีหญ้า แล้วยื่นมาตรงหน้าเศวตศาสตรา
“อบแห้ง”
“เป็นตู้อบได้ด้วยเหรอ”
“อย่ามองฉันแบบนั้น” บรอธเรืองแสงสีเหลือง “สายตาน่ากลัวมาก นายกำลังมีแผนการชั่วร้าย”
“ฉันแค่คิดว่าแกอบเนื้อได้ด้วยไหม เราน่าจะลองอบทุกอย่างเลยนะ”
“ขอเถอะ ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อมาทำเรื่องแบบนี้”
“ฉันอาจจะปรารถนาลึกๆ ที่จะเป็นพ่อครัวอยู่ก็ได้ แล้วจริงๆ แกเกิดมาเพื่อสิ่งนี้” เฮเซคียาห์มีอารมณ์พูดล้อเล่นกับอีกฝ่าย
“ไม่ใช่แล้ว ไอ้มนุษย์บ้า! เอาเป็นว่า นายกลับไปรอฉันที่จุดสร้างกระท่อมก่อน เดี๋ยวฉันไปขนเอาหญ้าสีเหลืองที่ตัดแล้วมาให้อีก ฉันจะหดขนาดของตัวเองลงเพื่ออัดหญ้าให้เป็นก้อน นายเข้าใจคำอธิบายของฉันไหม” บรอธดูเอาจริงเอาจัง “ทำแบบนี้ พรุ่งนี้เช้าเราจะมีที่ซุกหัวนอนกันแล้ว”
เฮเซคียาห์พยักหน้า เขาหมุนกายเดินแยกจากบรอธ
ถือโอกาสพักสักหน่อย เพราะเขาออกแรงเหวี่ยงมีด และก้มๆ เงยๆ หลังขดหลังแข็งมาทั้งวัน
“มือนุ่มๆ เป็นปัญหาชะมัด” เฮเซคียาห์ยกฝ่ามือขึ้นมองหลังทิ้งกายลงนั่งกับพื้น ข้างกองหญ้าแห้งสีเหลือง “จะทำงานแทบตายยังไงก็กลับมานุ่มอยู่ตลอด ความสามารถในการรักษาตัวเองเป็นปัญหาได้เหมือนกันแฮะ”
“นั่นเจ็บอยู่เหรอ น่าจะหายแล้วนี่” บรอธทักขึ้น
เฮเซคียาห์หันไปมองมัน มันเปิดฝากล่องออก และพ่นเอาหญ้าสีเหลืองยังไม่แห้งดีออกมา
“ไม่มีอะไรน่าห่วง ก็อย่างที่เห็น หายแล้ว” เฮเซคียาห์ยกฝ่ามือให้บรอธดู
บรอธหมุนกายทรงสี่เหลี่ยมของมัน แล้วบินพุ่งหายลับไปยังอีกด้านหนึ่งของป่าอีกครั้ง
เฮเซคียาห์จับหญ้าสีเหลืองยัดใส่เข้าไปในบรอธจนเต็ม และมองมันนิ่งไป เข้าใจว่าการนิ่งในขั้นตอนนี้คือกำลังอบหญ้าอยู่ แล้วบรอธก็หดตัวเล็กลง ในขั้นตอนนี้ เพื่ออัดหญ้าสีเหลืองให้เป็นก้อน
“ได้อีกก้อนละ” บรอธพูดกับเขา แล้วบินไป พลิกปากกล่องตีลังกาไปอยู่แทนที่ตำแหน่งก้นกล่อง และเปิดฝากล่องเพื่อปล่อยก้อนหญ้าสีเหลืองที่ถูกอัดเป็นแท่งจนแน่น ให้เคลื่อนที่ลงไปกองอยู่บนฐานของกำแพงกระท่อมที่กำลังก่อขึ้น
บรอธบินกลับมาหาเฮเซคียาห์อีก ให้เขายัดหญ้าสีเหลืองเข้าไปด้านในตัวของมัน
“ใกล้แล้วๆ” มันดูร่าเริง
เฮเซคียาห์ได้ยินเสียงเพลงร็อคดังแว่วเข้ามาในหู เพลงโปรดของมูนนี่
“ปิดเพลงนั่น”
“ขอร้องเพลงไม่ได้เหรอ เวลาทำงาน ได้เพลงดีๆ แล้วจะกระปรี้กระเปร่าขึ้นนะ”
“นั่นไม่ได้เรียกว่าร้อง แต่นายเล่นซ้ำเลย” เฮเซคียาห์แปลกใจ แต่ก็ไม่เท่ากับความหงุดหงิดใจ “ฉันไม่อยากได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนั้น”
“โอเค งั้นเปลี่ยนเป็นอะคูสติก เพลงโปรดของนายแล้วกัน”
“ขอบใจ” เฮเซคียาห์ตอบแบบเซื่องซึม
เขาอยากเจอมูนนี่
เขาอยากเจอจริงๆ
“Baby shark doo doo doo doo doo doo…”
“บรอธ...” เฮเซคียาห์เอ่ยอย่างเคืองๆ
“ขอโทษ ขอโทษ พอดีคงมีอะไรผิดพลาดในการบันทึกชื่อเพลง” บรอธเงียบไปครู่หนึ่งและเล่นเพลงอะคูสติก
เฮเซคียาห์ดันอยากนอนขึ้นมา
“เงียบไปเถอะ” เขากระแทกกระทั้นมือ ยัดหญ้าสีเหลืองใส่ในตัวมัน
พวกเขาทั้งคู่สร้างกระท่อมด้วยกันต่อในความเงียบ สองแรงแข็งขัน
จวบจนดึก เฮเซคียาห์เริ่มปวดเมื่อยตามตัวรุนแรง เขาจึงเดินไปล้มเผละลงนอนบนกองหญ้าที่เขาปูไว้ โดยไม่พูดเอ่ยราตรีสวัสดิ์กับบรอธ เสียงบรอธดังขึ้นในหัว แนะนำเขาให้ไปทำธุระหรือล้างหน้าสักหน่อย แต่เขาปล่อยให้ตัวเองหลับไปทั้งแบบนั้น
เฮเซคียาห์พอกดินเหนียวทั่วทั้งตัวกระท่อมเพื่อให้เป็นชนวนป้องกันทั้งความร้อนและความหนาว แล้วเขาปล่อยบรอธให้เกลี่ยผนังดินเหนียว ด้วยการเสียดสีตัวของมันเองขัดกับดินเหนียว เพื่อให้ได้พื้นผนังดินเหนียวซึ่งเรียบแน่น
ตัวสีขาวของบรอธ ตอนนี้เปื้อนไปด้วยดิน ดูขะมุกขะมอม
เฮเซคียาห์นั่งลงถักหญ้าเพื่อเอาไว้คลุมเป็นหลังคากระท่อม
“คำถาม: นายจะอยู่ที่นี่นานสุดแค่ไหน”
“ก็เรื่อยๆ เคยบอกไปแล้วนี่”
“แต่ควรกำหนดขอบเขตไว้ดีกว่านะ ฉันเสียดายเวลาแทนนาย ถ้าจะต้องหมดไปกับการอยู่อย่างเฉาๆ ในป่านี่”
“จนกว่าฉันจะมีผมหงอกเส้นแรกขึ้นก็แล้วกัน”
“นานเกินไป นานมากแน่ๆ เพราะถึงนายจะแก่ขึ้นตอนกลางคืนแต่นายก็กลับไปเด็กลงตอนกลางวันอยู่ดี ตกลงมันจะมีวันนั้นไหม”
“น่าจะอีกห้าถึงหกร้อยปี”
“นี่นายไม่กลัดมัน อยากเจอเพศตรงข้ามกับเขาบ้างเลยหรือไง”
“อ้า...”
“...” บรอธเงียบไป คงคาดหวังคำตอบจากเฮเซคียาห์อย่างจริงจัง
“ก็มี ว่าแต่แกล่ะ จะตกหลุมรักกล่องเศวตศาสตราอันอื่นได้หรือเปล่า แล้วมันจะสปาร์คกันยังไง”
“ไม่ ฉันไม่มีความรักแบบนั้น”
“ก็ดีไป ถ้าทำได้ก็ดูวิตถารเกินไปละ”
เปรี๊ยะๆๆๆ
เศวตศาสตราช็อตไฟฟ้าใส่เฮเซคียาห์อย่างแรง เขาร้องลั่น
“ไอ้...” เฮเซคียาห์ผรุสวาทใส่บรอธ
บรอธไม่สนใจ ตั้งใจทำงานเกลี่ยดินเหนียวของมันต่อไป
“ตอนนี้เราต้องหาอะไรสักอย่างมาทำหน้าต่างกับทำประตู” เฮเซคียาห์มองช่องบนกำแพงกระท่อม
ถ้าเขาหาของมาใส่ปิดไม่ได้ แม้อยู่ในกระท่อม เขาจะยังถูกรบกวนจากลมเย็นๆ และสายฝนได้อยู่
“วิเคราะห์: หนังสัตว์สามารถใช้ได้”
“เออ ดีเหมือนกัน” เฮเซคียาห์หมุนกายไปมองกระบือตัวยักษ์ที่เขาล้มมาได้เมื่อเช้าและลากมาไว้
เขาตรงเข้าไปและชำแหละกระบืออย่างรวดเร็ว เฮเซคียาห์ปลาบปลื้มกับฝีมือแล่เนื้อของตัวเอง เขาเชื่อมั่นว่าเขาสามารถทำอาหารอร่อยๆ ได้เทียบชั้นกับมูนนี่แล้วตอนนี้ และไม่แน่ว่า ถ้าเขาเปิดร้านอาหาร ร้านอาหารของเขาต้องประสบความสำเร็จมากๆ
เฮเซคียาห์แยกเอาหนังกระบือไปตากแดด
เนื้อเอามาทาขี้เถ้า เพราะไม่เช่นนั้นแมลงวันมักมาตอม แมลงวันตัวเล็กๆ ไข่ของมันจะฟักออกมาเป็นตัวหนอนน่าขยะแขยง
“คืนนี้ทำหม้อไฟดีกว่า” บรอธเปิดประเด็นเรื่องอาหาร
“เนื้อย่างดีกว่า”
“ตามใจ เนื้อย่างก็เนื้อย่าง ยังไงฉันก็กินไม่ได้อยู่แล้ว”
“ฉันถามหน่อย ทำไมกล่องเศวตศาสตราทุกกล่องถึงว่างเปล่า” เฮเซคียาห์ปัดมือสองข้างเข้าหากัน เลือดกระบือเต็มสองฝ่ามือ เขาได้กลิ่นคาวของมัน และมือก็เหนอะเหนียว
“คำตอบ: ไม่รู้ ไม่มีแหล่งข้อมูล”
“ในบรรดาผู้ใช้เศวตศาสตรา ไม่มีใครรู้เรื่องของคนที่เป็นผู้สร้างเศวตศาสตราขึ้นมาเลยเหรอ”
“ไม่มีข้อเท็จจริง มีแต่เรื่องเล่า นายอยากฟังไหม”
“เช่นว่า อะไรบ้าง”
“เศวตศาสตราอาจเป็นของขวัญจากพระเจ้าให้กับมนุษย์”
“อันนี้ฉันว่าตื้นไป เห็นชัดๆ ว่าพวกแกเป็นผลของการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี” เฮเซคียาห์ลูบตรงปลายคางของเขา เมื่อเช้าเขาโกนหนวดไป และทำมีดบาดแก้มเข้าอีกเช่นเคย แต่แผลพวกนั้นหายไปแล้ว
“รายงาน: ตำนานหนึ่งเกี่ยวกับเศวตศาสตรา มีการกล่าวกันไว้ว่า คนครอบครองเศวตศาสตราที่พูดได้ คนนั้นคือ คนที่พระเจ้าส่งมาปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นไท”
“อันนี้พูดจริงพูดเล่น”
“ก็เขาเล่าลือกันมา มีบันทึก”
“ใครกันนะ เขียนนิยายออกมา” เฮเซคียาห์ส่ายหน้า
ป่าหนามที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ มีความเคลื่อนไหว มันเปิดทางออกทำให้เฮเซคียาห์หันไปเห็นบางอย่างด้านใน น่าจะเป็นกระท่อมของเดเมียน
เฮเซคียาห์กำลังคิดว่าเขาจะวิ่งฝ่าเข้าไปดีไหม
ฟุ่บ!
ดงหนามเคลื่อนปิดทางอย่างรวดเร็ว
“เธอกำลังคิดว่าจะวิ่งเข้าไปใช่ไหม นี่อยากจะคุยกับฉันจริงๆ สินะ” เมเดียนมาอยู่ตรงหน้าเฮเซคียาห์
เฮเซคียาห์อ้าปากค้าง แต่เขารีบระงับความตกใจ
“เรายังพอเจรจากันได้ไหม ไม่ว่ายังไงผมต้องให้คุณช่วย” เขาขอร้องเมเดียน
“ตื้อจริง แล้วนี่เธออยู่คนเดียวเหรอ เพื่อนอีกสองคนล่ะ”
“พวกเขาไม่อยู่แล้ว” เฮเซคียาห์นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายไม่ทันสังเกต “เหลือแต่ผม”
“เด็กน้อยที่น่าสงสาร อย่ามาเสียเวลาที่นี่เลย” เมเดียนหายตัวไป
เฮเซคียาห์มองรอบตัว แล้วเขาก็เห็นเมเดียนไปโผล่อยู่ไกลลิบ
เขาเรียกชื่ออีกฝ่าย ตะโกนให้รอ และออกวิ่งตามไล่หลัง แต่วิ่งไปเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดลงเพราะรู้ว่า มันไม่มีประโยชน์ในการไล่ตามคนที่เคลื่อนที่ได้เร็วยิ่งกว่าความเร็วของแสง
เฮเซคียาห์สะพายเป้สัมภาระขึ้นบนไหล่ทั้งสองข้าง เขาต้องการเดินทางไปยังหมู่บ้านของมนุษย์แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปแต่อยู่ใกล้ดาร์คเฮลฟอเรสที่สุด เพื่อหาหนังสือหรือสิ่งของ มาช่วยให้การใช้เวลาอยู่ในป่าของเขาไม่น่าเบื่อเกินไป ใจของเฮเซคียาห์ยังตั้งมั่นอยู่กับการหวังให้เมเดียนช่วยเหลือเขา
บรอธยืนยันว่าเมเดียนเป็นคนเดียวจริงๆ ในโลก ไม่มีใครอีกแล้วจะพาเขาเข้าไปถึงตัวของราชินีเอสเธอร์ในเมืองหลวงได้
“นั่นนายจะไปไหน”
เสียงหนึ่งทักถามขึ้นเมื่อเฮเซคียาห์ตลบประตูหนังสัตว์ขึ้น
เขาหันไปมองต้นเสียงอย่างแปลกใจ
“เมเดียน คุณออกมาพบผมเหรอ”
“บรอธส่งโทรจิตหาฉัน มันบอกว่าเธอกำลังจะออกจากกระท่อม”
“บรอธ?” เฮเซคียาห์ไม่ได้นึกถึงเรื่องการให้บรอธส่งโทรจิตไปหาเมเดียนมาก่อน
“อธิบาย: ฉันคิดว่าเขาควรรู้ว่าเดี๋ยวนายก็กลับมาใหม่”
“เดี๋ยวนะ ตลอดเวลานายส่งโทรจิตหาเขาได้ตลอดอย่างนั้นเหรอ คือฉันก็เห็นนะว่านายคุยกับทุกคนได้เหมือนๆ กับที่คุยกับฉัน แต่ฉันเคยคิดว่าการสื่อสารระหว่างนายกับคนอื่นจำกัดระยะว่าต้องอยู่ใกล้ๆ เสียอีก” เฮเซคียาห์หงุดหงิด “แล้วไม่มีการบอกฉันเรื่องนี้ว่านายส่งโทรจิตได้ไกลมากๆ ฉันไม่ได้เอะใจมาก่อน”
“ถ้าเอะใจว่าทำได้ ก็จะให้บรอธส่งโทรจิตหาฉัน แล้วคิดว่าฉันจะถูกโน้มน้าวได้ง่ายๆ และเปลี่ยนใจอยากช่วยนายหรือไง” เมเดียนยกมือขึ้นกอดอก มองเฮเซคียาห์อย่างประเมินท่าที
เฮเซคียาห์เงียบเสียง
“นี่กำลังจะไปที่หมู่บ้านใกล้ๆ ใช่ไหม ถ้าเรื่องแค่นี้ ฉันช่วยได้”
เฮเซคียาห์เงยหน้าขึ้น เมเดียนจู่ๆ โผล่พรวดมาอยู่ในระยะประชิด
มือของเมเดียนยกขึ้นมากระชากแขนของเขา เฮเซคียาห์อุทาน เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกลากลงไปในหลุมที่มืดมิดและลึกสุดจะหยั่งถึง เขาร้องตะโกนเสียงดังลั่นแต่เสียงนั้นสะท้อนก้องไปมาราวกับอยู่ในถ้ำ และทันใดนั้นรอบตัวก็โอบล้อมด้วยแสงสว่างจ้าสีขาว
เฮเซคียาห์กะพริบตา เขารีบหยุดแหกปาก กักเสียงไว้ในคออย่างกะทันหัน
“เอามือลง ท่าตะเกียดตะกายนั่น มันน่าตลก” เมเดียนเอ่ยกับเขา
เฮเซคียาห์ลดมืออย่างช้าๆ งุนงงกับสภาพรอบตัว ผู้คนยืนอยู่ข้างแผงขายของไม่ไกลออกไปยกมือปิดปาก ดูเหมือนกำลังหัวเราะเยาะเขาที่เมื่อครู่ตะกายอากาศให้ดูแถมยังร้องลั่นอย่างไม่มีมาด
“ที่นี่มัน...”
“หมู่บ้านเซนต์กิลเจน” เมเดียนเอ่ยออกมา และเดินนำหน้าเฮเซคียาห์ไป
เฮเซคียาห์ก้มมองร่างกายของเขา และเอี้ยวคอมองเป้สัมภาระด้านหลังของตัวเองที่ติดมาด้วย
เขามองไปรอบๆ เพื่อสำรวจตัวหมู่บ้านอีกครั้ง และเริ่มไม่สบายใจ เมื่อสบตาเข้ากับบางคนซึ่งกำลังมองเขาอยู่อย่างหาเรื่องและไม่ไว้วางใจ
เฮเซคียาห์นึกถึงผ้าคลุมในกระเป๋า เขาควรปกปิดร่างกายและเส้นผมของเขา
“ตามฉันมานี่”
เมเดียนที่เดินนำไปก่อน หันมาตะโกนเรียกจากในฝูงชน
“บรอธ? บรอธล่ะ” เฮเซคียาห์มองหาเศวตศาสตราของเขา
“เมื่อกี้มันไม่ได้โดยสารมาด้วย แต่เธอโทรจิตหามันได้ เธอน่าจะเชื่อมต่อกับมันตลอดเวลา” เมเดียนพาตัวเขาเทเลพอร์ตมาโผล่ใกล้เฮเซคียาห์และดึงแขนเฮเซคียาห์ พาเฮเซคียาห์เทเลพอร์ตไปยังสุดมุมถนนอย่างรวดเร็ว
เฮเซคียาห์อ้าปาก และอาเจียนออกมา
“แข็งแรงหน่อยพ่อหนุ่ม แล้วออกเดินไปด้วยกัน ฉันจะพาเธอไปร้านหนังสือดีๆ”