ตอนที่ 13 หยดน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งลอเลียน
ตอนที่ 13 หยดน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งลอเลียน
เซน่าทวนคำว่า “หยดน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งลอเลียน? มันคืออะไร?”
จอมเวทจันทราเธด้ากล่าวว่า “เป็นของวิเศษที่มีพลังระดับพระเจ้า”
เซน่าถามด้วยความสนใจ “มันเป็นยังไง?”
เซน่าทราบดีว่าผู้เชี่ยวชาญด้านของวิเศษและศาสตราวุธแบ่งของวิเศษในโลกนี้เป็นสี่ระดับ คือ ระดับธรรมดา หายาก ตำนานและระดับพระเจ้า หากสิ่งของหรืออาวุธใดได้รับยกย่องเป็นระดับพระเจ้า มันย่อมมีพลังมากพอที่จะพลิกฟ้าสะเทือนดินได้
“พวกท่านทำอะไรกัน?” เสียงบุรุษหนุ่มดังขึ้น
เป็นโคโล่เพิ่งตื่นนอนจากผงสู่นิทรา เขาเดินออกมาจากบ้านจอมเวทจันทรา
โคโล่เห็นเซน่าจึงถาม “เจ้าใส่ชุดดำ? ไหนเจ้าบอกว่าจะตัดชุดไปให้พ่อ?”
เซน่านึกถึงตนเป็นเรดิกัลได้เพียงข้ามคืนก็ต้องกลับเป็นสตรีอีกบวกกับโคโล่มาขัดจังหวะนางในเรื่องสำคัญ จึงรู้สึกขุ่นเคืองยิ่ง ตอบเสียงเข้มว่า “ไม่ใช่ธุระของเจ้า”
โคโล่เกาหัวบ่นขึ้น “เจ้าอารมณ์เสียอะไรอีก?”
เธด้ากล่าวว่า “พวกเจ้าตามข้ามา”
จอมเวทจันทราพาโคโล่และเซน่าเข้ามาในบ้านของนาง จากนั้นกล่าว “เฟรีอา” และโบกไม้กายสิทธิ์สีเงินคราหนึ่ง หนังสือโบราณเล่มหนาหน้าปกสีน้ำตาลเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นหนังสือลอยมาถึงมือเธด้า นางวางหนังสือไว้บนโต๊ะ หนังสือเล่มนั้นหน้าปกเขียนด้วยตัวอักขระแปลกประหลาด โคโล่และเซน่าไม่เคยเห็นมาก่อน
โคโล่กล่าวถามขึ้น “นี่คือหนังสืออะไร?”
จอมเวทจันทราเธด้ากล่าวว่า “สงครามมรณะเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน”
โคโล่กล่าวว่า “ท่านหมายถึงมหาสงครามศักดิ์สิทธิ์เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน?”
จอมเวทจันทราส่ายหน้ากล่าวว่า
“เวลานั้นทุกเผ่าพันธุ์รบพุ่งทำสงคราม ซากศพเกลื่อนกลาดเต็มสรมภูมิ โลหิตไหลนองเอ่อล้นดุจน้ำในมหาสมุทร บางเผ่าพันธุ์ถึงกับหมดไปจากผืนพิภพนี้ เจ้ายังกล้าใช้คำว่าศักดิ์สิทธิ์?”
เซน่าไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ ซาอูก็ไม่เคยเล่าให้นางฟังจึงรู้สึกสนใจยิ่ง ส่วนโคโล่เคยได้ยินไซนอสผู้เป็นอาจารย์เขาเล่าให้ฟังมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นหนังสือประหลาดนี้มาก่อน
เธด้าจ้องมองหนังสือสีน้ำตาลจู่ ๆ มันก็เปิดเองได้ราวกับมีชีวิต
คาถา “เฟรีอา” เป็นวิชาเวทโบราณที่เสกให้สิ่งของมีชีวิต คล้ายกับคอร์แซคใช้เวทมนตร์ปลุกเสกหินให้มีชีวิตเป็นโกเลมไฟ เพียงแต่เวทเฟรีอาเสกให้สิ่งของมีชีวิตได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่ก็รวดเร็วกว่าการปลุกเสกโกเลมไฟที่ต้องใช้เวลานับเดือน
เห็นหนังสือสีน้ำตาลเปิดออกทีละหน้าเต็มไปด้วยอักขระโบราณที่อ่านไม่ออก แต่บางหน้าเมื่อเปิดพบภาพเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ต่างรบพุ่งทำสงคราม โลหิตหลั่งไหลดุจธารา แม้จะเป็นเพียงแค่ภาพวาดแต่ก็สยดสยองสุดทนดู จอมเวทจันทราค่อย ๆ เล่าเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในตำรา
“เจ็ดร้อยปีก่อนมีราชวงศ์หนึ่งนามโทเบียเจียนก่อสร้างมหาอาณาจักรเรเวียสขึ้น ทั่วทั้งพิภพไม่มีเผ่าพันธุ์ใดไม่ยอมสยบ อสูร ยักษ์ มังกร มนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ ชาวสมุทร ต่างส่งมอบบรรณาการให้ไม่ขาดสายเพื่อรักษาอาณาจักรตนและหลีกเลี่ยงทำสงคราม”
“ในยุคนั้นอาณาจักรเรเวียสมีกษัตริย์พระนามไทดัล พระองค์ได้ทำการยกย่องตนเองเป็นกษัตริย์ที่เหนือกษัตริย์ทั้งปวง ตั้งตนเองเป็นมหาจักรพรรดิปกครองดินแดนอย่างโหดเหี้ยม สังหารผู้ต่อต้านขัดขืน”
จากนั้นภาพในหนังสือปรากฏบุรุษใบหน้าสี่เหลี่ยม ผมและขนคิ้วสีขาวโดยเฉพาะผมยาวถึงหน้าอก แต่ใบหน้ายังหนุ่มแน่น ไม่อาจคำนวณวัดอายุได้ เขาสวมชุดเกราะสีเงิน นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ทำด้วยเงินอย่างงดงาม โดยมีขุนนางทั้งปวงต่างคุกเข่าถวายความเคารพ
“วันหนึ่ง มหาจักรพรรดิไทดัลต้องการรวบรวมดินแดนเหนือใต้ให้เป็นหนึ่งจึงมีราชโองการสั่งให้กษัตริย์ทุกอาณาจักร ผู้นำทุกเผ่าพันธุ์ปลดตนเองจากตำแหน่งและยอมรับไทดัลเป็นผู้ปกครองแต่เพียงผู้เดียว พระองค์จะส่งคนตนไปปกครองอาณาจักรเหล่านั้น การต่อต้านขัดขืนจึงเกิดขึ้นทั่วดินแดนเหนือใต้”
“แต่ราชวงศ์โทเบียเจียนมีรากฐานยาวนานก่อตั้งมาถึงแปดร้อยปี กำลังทหารกล้าแกร่งกว่าทุกอาณาจักร ที่ใดที่ทหารเรเวียสเหยียบย่ำไปถึง ความปราชัยก็จะเกิดแก่ฝ่ายตรงข้าม”
“พระเมธีอาห์พระเจ้าผู้ทรงสรรค์สร้างโลกนี้ทรงเล็งเห็นถึงกาลอวสานแห่งพิภพ จึงเลือกชายหนุ่มผู้หนึ่งอายุเพียงสิบหกปีมีนามว่า ”เดเรน“ซึ่งเป็นเพียงลูกชาวบ้าน เดเรนเป็นชาวเมืองอีรอส บิดาของเดเรนเป็นทหารที่ตายในสงครามต่อต้านจักรพรรดิไทดัล ส่วนมารดาเขาเป็นผู้มีจิตเมตตาและศรัทธาต่อพระเจ้า นางจึงสอนเดเรนให้สวดขอพรพระเจ้าให้ช่วยรักษาผืนพิภพคืนความสงบสุขแก่ทุกสรรพชีวิต”
“เดเรนได้รับการสั่งสอนจากมารดาจึงมีศรัทธาต่อพระเจ้าและสวดมนต์ขอให้เกิดความสงบสุขแก่ผืนพิภพทุกค่ำคืน พระเมธีอาร์เห็นความงดงามในจิตใจของเดเรนจึงส่งเหล่าเทวทูตสวรรค์ไปฝึกสอนวิชาดาบและเวทมนตร์ให้สี่ปี ทั้งยังมอบดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีพลังของพระเมธีอาร์ให้ เหตุการณ์นี้เกิดที่เมือง ”อีรอส“ดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มนั้นจึงได้ชื่อว่าดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งอีรอส”
เล่าถึงตอนนี้ภาพในหนังสือปรากฏชายหนุ่มผู้หนึ่งผมสีน้ำตาลถือดาบศักดิ์สิทธิ์โกร่งดาบสีทองขึ้น
“เดเรนวัยอายุยี่สิบปีใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งอีรอสสร้างชื่อเสียงให้ตนเองและประกาศต่อต้านจักรพรรดิไทดัล ด้วยพลังฝีมือและดาบศักดิ์สิทธิ์ของเดเรนเป็นที่นับถือของผู้เป็นมิตรและสร้างความครั่นคร้ามต่อศัตรู”
“เดเรนใช้เวลาสิบห้าปีจึงรวบกองกำลังทหารและพันธมิตรทั้งเอลฟ์ คนแคระ ชาวสมุทร มังกร และเผ่าอสูรบางเผ่าเข้าร่วมด้วย กองกำลังเดเรนมีไพร่พลประมาณสองแสน เขานำทัพโจมตีอาณาจักรเรเวียสจนถึงเมืองหลวงของอาณาจักรที่มีชื่อว่าลอเลียน ลอเลียนแป็นเมืองหลวงที่งดงามที่สุดในดินแดนเหนือใต้ยุคนั้นและเป็นแหล่งรวมความรู้และอารยธรรม”
“มหาสงครามเริ่มขึ้น จักรพรรดิไทดัลนำกองกำลังถึงห้าแสนออกมาทำสงครามด้วยพระองค์เอง พระองค์ถือตรีศูลแห่งโดเมก้าซึ่งเป็นตรีศูลที่มีพลังระดับพระเจ้าไม่ต่างจากดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งอีรอส ศรีศูลโดเมก้านี้เชื่อกันว่าเป็นอาวุธของซาตานนามว่าอีวิวแมสเป็นผู้ประทานให้”
เซน่ากล่าวขัดว่า “ศรัทธาทำให้คนงมงาย ความไม่รู้ทำให้คนหวาดกลัว เรื่องความศรัทธาในพระเจ้าและความเกรงกลัวต่อซาตานล้วนแต่แต่งขึ้นเพื่อหลอกเด็กเท่านั้น”
เธด้ากล่าวว่า “เจ้าจะรับฟังต่อหรือไม่?”
เซน่าได้แต่เงียบไป
“แสงดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งอีรอสสว่างโชติช่วงไปทั่วสมรภูมิ แม้ยามราตรีมาเยือนสมรภูมิรบยังเจิดจ้าดุจกลางวัน เดเรนกวาดดาบแห่งอีรอสไปที่ใด ทหารเรเวียสและพันธมิตรต่างก็ต้องบาดเจ็บล้มตายทีละหลายสิบคน พลังเวทแห่งแสงของดาบศักดิ์สิทธิ์ทำให้ไม่มีศัตรูใดเข้าใกล้เดเรนได้ เขาเป็นคนเดียวในสมรภูมิที่ไม่ได้รับบาดแผลแม้แต่แมลงกัด”
“จักรพรรดิไทดัลเห็นเช่นนั้นก็ชูตรีศูลแห่งโดเมก้าขึ้นเหนือหัว ทันใดนั้นฟ้าก็ร้องลั่น ดินสั่นสะเทือน แม้แต่อากาศยังปริแตก กองทัพของฝ่ายเดเรนถูกพลังของศรีศูลโดเมก้าก็ล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน ฝ่ายกองทัพของเดเรนแทบแตกพ่ายเมื่อพบพลังของตรีศูลนี้”
“สงครามได้ดำเนินไปถึงสิบวันสิบคืน สุดท้ายเดเรนก็ได้เผชิญกับจักรพรรดิไทดัล ทั้งสองต่างทุ่มเทพลังเวทและฟาดฟันอาวุธวิเศษใส่กัน ดาบศักดิ์สิทธิ์ของเดเรนฟันใส่จักรพรรดิไทดัล แต่จักรพรรดิไทรับได้ด้วยตรีศูลแห่งโดเมก้า จักรพรรดิไทดัลกวาดตรีศูลออก ไม่นานแผ่นดินก็พลันแยกออก จากนั้นเกิดแรงสะเทือนไปในอากาศกระแทกกองทัพของเดเรนหลายร้อยคน ทหารนับร้อยต่างตกไปในรอยแยกแผ่นดินเสียชีวิต”
“ทันใดนั้น เดเรนใช้พลังดาบศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด เกิดแสงสีขาวเจิดจ้าทั่วสมรภูมิ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเห็นการต่อสู้ของทั้งสองชัดตา ได้ยินแต่เสียงอาวุธทั้งสองปะทะกันจนไม่อาจนับจำนวนครั้งได้ เสียงอาวุธดังกังวานแม้แต่ผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสมรภูมิยังได้ยิน”
“ตั้งแต่โลกนี้ถือกำเนิดไม่มีการสัปประยุทธ์ใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว การต่อสู้ดำเนินไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่ทราบเดเรนใช้วิธีใดในที่สุดก็ปลงพระชนม์ไทดัลได้ในที่สุด”
“ฝ่ายของเดเรนได้ชัย แต่เดเรนหาได้หยุดเพียงเท่านั้น เขาไม่ต้องการให้กองทัพอาณาจักรเรเวียสอำนาจขึ้นมาอีกจึงสั่งประหารชีวิตฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดในสมรภูมิรวมทั้งพันธมิตรของเรเวียส เสียงร้องโหยหวนของสิ่งมีชีวิตนับแสนที่ต้องถูกพรากวิญญาณไปดังขึ้นทั่วสมรภูมิลอเลียน”
“ทันใดนั้นท้องฟ้าที่มืดมิดพลันเปิดออก แสงสว่างสีทองสาดส่องมายังพื้นปฐพี เห็นชายชุดขาวปรากฏกาย ผิวพรรณของเขาเปล่งแสงสว่างสีทองเจิดจ้า ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าบุรุษผู้นี้ได้ชัดตา”
“พระเมธีอาร์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งเสด็จมา!”
“เดเรนคาดว่าต้องเป็นพระเมธีอาร์ไม่ผิดแน่ เดเรนและกองทัพพันธมิตรหรือแม้แต่ศัตรูที่หลงเหลือต่างคุกเข่าถวายความเคารพ เดเรนถวายรายงานด้วยความยินดีว่าพวกเขาได้ปราบกองทัพของจักรพรรดิไททัลได้สำเร็จตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว”
“พระเมธีอาร์ทรงไม่ตรัสตอบ พระองค์ได้กระทำสิ่งที่เหนือคาดหมายผู้คนในสมรภูมิ นั่นก็คือ…”
“หลั่งน้ำตา”
“น้ำตาของพระเจ้าเมธีอาร์หลั่งไหลให้กับความสูญเสียวิปโยคในผืนพิภพ โลหิตที่ไหลนองดุจธารา ซากศพที่สุมกองดุจขุนเขา แม้จะมีเพียงแค่น้ำตาหยดเดียว แต่ก็มากพอที่ทำให้ผู้ได้เห็นเหตุการณ์ต่างหลั่งน้ำตาตามด้วยความโศกสลด ทั้งหมดต่างคิดถึงผู้เสียชีวิตในการศึก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้องหรือแม้แต่สหาย ในบรรยากาศแห่งความเศร้านั้น ต่อให้เป็นเจ้าอสูรที่มีจิตใจแข็งแกร่งกว่าหินผาก็ยังต้องหลั่งน้ำตาออกมา”
“ไม่นานพระเมธีอาร์ทรงจากไป เหลือเพียงแต่หยดน้ำตาเรืองแสงสีทองที่ตกสู่พื้นดินโดยไม่แห้งเหือดเหมือนเช่นน้ำตาปกติทั่วไป เนื่องจากเดเรนเป็นผู้นำทัพของฝ่ายพันธมิตร จึงได้รับเกียรติให้เก็บหยดน้ำตาแห่งพระเจ้าไว้”
“เดเรนตัดสินใจไม่ประหารผู้ใดเพิ่มอีก เขาไว้ชีวิตคนของราชวงศ์โทเบียเจียนและได้จับคุมขังไว้ เมื่อล้มอาณาจักรเรเวียสได้ ทุกเผ่าพันธุ์ต่างแบ่งดินแดนกัน เหล่าอสูร มังกรเลือกอยู่ในแดนเหนือ ชาวสมุทรกลับลงสู่ใต้ สุดท้ายเดเรนขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์อาณาจักรแห่งหนึ่งในแดนใต้ เขาตั้งชื่อราชวงศ์ว่าเฮฟเว่นซาวด์และตั้งชื่ออาณาจักรว่าโกลด์เด้นกราวด์”
“ส่วนหยดน้ำตาแห่งพระเจ้าผู้ทรงศักดิ์สิทธิ์นั้น เดเรนได้เก็บรักษาไว้อย่างดีและตั้งชื่อเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในสมรภูมิลอเลียนว่าหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งลอเลียน”
เซน่าและโคโล่ได้รับฟังตำนานโบราณอย่างเคลิบเคลิ้ม แต่เซน่ายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครี่งถามว่า
“ตำนานนิทานโบราณจะเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง?”
เธด้ากล่าวว่า “ตำนานเหล่านี้หาใช่แค่คำลือหรือเรื่องแต่ง อย่างน้อยดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งอีรอสซึ่งเป็นของเดเรนก็ตกทอดสู่ทายาทซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรโกลด์เด้นกราวด์คนปัจจุบัน”
เซน่ากล่าวถามว่า “ใคร?”
เธด้าตอบว่า “ฟินเดล กษัตริย์หนุ่มน้อยที่มีอายุเพียงสิบแปดปี”
เซน่าถามว่า “แล้วหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งลอเลียนจะล้างคำสาปของ..ของบิดาข้าได้อย่างไร?”
เซน่ากล่าวเท็จเพราะไม่อยากให้โคโล่รู้ความจริงที่นางถูกสาป
เธด้าอธิบายว่า “สรรพคุณของหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ ในตำราโบราณของเหล่านักบวชกล่าวว่าสามารถรักษาได้ทุกสรรพโรคเพราะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หลั่งออกมาจากพระวรกายของพระผู้เป็นเจ้า ต่อให้ร่างกายส่วนใดพิการก็สามารถหายได้ โรคที่รักษาไม่หายก็สามารถหายขาด แม้แต่คนตายก็สามารถทำให้ฟื้น อย่าว่าแต่คำสาปอันเล็กน้อยของซาอู”
เซน่าถามว่า “หากหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์มีสรรพคุณดีเลิศเพียงนี้ ทำไมไม่มีผู้ใดใช้มัน?”
เธด้าอธิบายว่า “ภายหลังที่เดเรนเก็บหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งลอเลียนไว้ ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าเดเรนเก็บไว้ในที่ใด ตัวเดเรนเองก็อาจสำนึกในบาปที่กระทำในช่วงสงคราม ไม่คิดจะใช้หยดน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อตนเองในยามใกล้เสียชีวิต ก่อนตายเดเรนก็ไม่ได้บอกที่ซ่อนของหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ทายาทหรือผู้ใดล่วงรู้ ป้องกันการแก่งแย่งช่วงชิง เวลาผ่านไปถึงเจ็ดร้อยปีผู้คนก็ต่างลืมเลือนเรื่องนี้ไปทีละน้อย บางคนก็เชื่อว่าเรื่องหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงแค่นิทานกล่อมเด็กทารกก่อนเข้านอน”
เซน่าถามว่า “แล้วหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งลอเลียนยังอยู่ที่อาณาจักรโกลด์เด้นกราวด์หรือไม่?”
เธด้าพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าเชื่อว่ายังอยู่ในอาณาจักรโกลด์เด้นกราวด์ หากจะสืบค้นก็ต้องเริ่มที่นี่ก่อน”
เซน่ากล่าวว่า “หากแม้แต่ทายาทของเดเรนยังไม่รู้ที่ซ่อน แล้วจะเริ่มสืบจากที่ใด?”
เธด้ากล่าวว่า “ในพระราชวังของกษัตริย์แห่งอาณาจักรโกลด์เด้นกราวด์ มีวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งชื่อวิหารแห่งเมธีอาร์ ที่นั่นมีนักบวชและผู้ทรงภูมิความรู้ให้เจ้าเริ่มสืบค้นจากที่แห่งนั้นก่อน”
เซน่ากล่าวว่า “ท่านรู้เรื่องหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์อย่างละเอียดปานนี้ได้อย่างไร?”
เธด้ากล่าวว่า “หากเจ้าชอบอ่านตำราตั้งแต่เล็ก คงไม่มีคำถามเช่นนี้ออกมา”
เซน่าถูกเธด้าย้อนกลับเช่นนี้ได้แต่นิ่งเงียบไป
เซน่าครุ่นคิดในใจ
“หากหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งลอเลียนไม่มีจริงหรือรักษาเราไม่ได้ เราไม่เสียแรงเปล่าหรือ?”
แต่หวนนึกถึงความแค้นของนางกับซาอูแล้ว ความคิดก็ประดังขึ้นมา
“ต่อให้หยดน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งลอเลียนไม่มีจริง แต่ดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งอีรอสนั้นมีจริงแน่นอน เราเองก็เคยได้ยินซาอูเอ่ยถึง กษัตริย์หนุ่มฟินเดลอะไรนั่นอายุเพียงสิบแปดปี หากเราใช้โอกาสคืนวันเพ็ญกลับคืนร่างเดิมไปช่วงชิงมาก็ไม่น่าจะยากอะไร อย่างน้อยต่อสู้กับเด็กหนุ่มยังง่ายกว่าซาอูมากนัก ด้วยพลังของเราในร่างเดิมรวมกับดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งอีรอส ย่อมสามารถสังหารซาอูได้ไม่ยาก”
เมื่อกำหนดแผนการได้เช่นนี้ เซน่าก็ตกลงใจเข้าสู่อาณาจักรโกลด์เด้นกราวด์
ได้ยินโคโล่กล่าวขึ้นบ้าง “แล้วศรีศูลแห่งโดเมก้าเล่ามันอยู่ที่ใด?”
เธด้าจ้องมองโคโล่กล่าวว่า “ทำไมเจ้าถึงอยากรู้?”
โคโล่กล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นว่า “พ่อฆ่าตายเพราะตรีศูลนี้!”
ครานี้เซน่าเองก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย แม้จะอยู่ด้วยกันนับเดือนแต่นางก็ไม่เคยซักถามประวัติของโคโล่มาก่อน
เธด้ากล่าวว่า “ภายหลังที่เดเรนชนะศึกกับจักรพรรดิไทดัล ก็จับเชื้อพระวงศ์ซึ่งเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของราชวงศ์โทเบียเจียนไปคุมขัง ตรีศูลแห่งโดเมก้าก็ถูกเก็บไว้ในที่มิดชิด แต่วันหนึ่งเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์โทเบียเจียนสามารถออกมาจากที่คุมขังได้ คนผู้นั้นลอบเอาตรีศูลโดเมก้าไปด้วยจากนั้นก็หายสาบสูญไป แม้เดเรนจะส่งทหารนับหมื่นออกตามล่าแต่ก็ไม่ได้รับข่าวคราวแม้แต่น้อย”
เธด้ากล่าวต่อว่า “แต่สองปีก่อนบุรุษผู้หนึ่งนามเพโดกัสถือศรีศูลแห่งโดเมก้าประกาศศักดา รวบรวมกองกำลังยกทัพบุกตีอาณาจักรโกลด์เด้นกราวด์ จนราชาเธเรนต้องยกทัพไปรับศึก ราชาเธเรนต่อสู้จนสิ้นพระชนม์กลางสมรภูมิ ส่วนเพโดกัสได้รับบาดเจ็บและหายสาบสูญไป ผู้คนในแดนใต้ต่างสงสัยว่าเพโดกัสคือทายาทของราชวงศ์โทเบียเจียนที่ล่มสลายไปเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน”
โคโล่ด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า “เพโดกัสเป็นมันเอง!”
เซน่าไม่เคยเห็นโคโล่เดือดดาลเช่นนี้มาก่อน นางถามว่า “โคโล่ พ่อเจ้าตายได้อย่างไร?”
โคโล่เล่าว่า “สิบปีก่อน ตอนนั้นข้าอายุเพียงเก้าปี เพโดกัสกำลังรวบรวมกองกำลังเพื่อต่อต้านราชวงศ์โกลด์เด้นกราวด์ เกณฑ์คนในหมู่บ้านข้าไปเป็นทหารของมัน แม้แต่เด็กอายุไม่ถึงสิบปียังไม่ละเว้น พ่อของข้าเป็นผู้นำของชาวบ้านขัดขืนคำสั่งมันจึงถูกมันสังหารด้วยตรีศูลแห่งเมโดก้า ส่วนแม่ข้าพาข้าหนีไป ระหว่างทางโชคดีได้พบกับอาจารย์ไซนอสผู้มีพระคุณ ต่อมาแม่ข้าป่วยเสียชีวิต ข้าจึงอยู่กับอาจารย์ไซนอสเรื่อยมา”
โคโล่ถามว่า “ท่านเธด้า ท่านทราบข่าวคราวของเพโดกัสหรือไม่?”
เธด้ากล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดทราบที่อยู่ของเพโดกัส แต่มันมักปรากฏกายพร้อมกับความมืดยามราตรี แม้ผู้ที่ขอเข้าพบมันก็ต้องพบเจอมันท่ามกลางความมืดมิด ไม่อาจเห็นใบหน้ามันชัดตา ผู้คนจึงตั้งฉายามันว่า ”บุรุษในเงามืด“ แต่ข้าเชื่อว่ามันต้องกลับมาล้างแค้นอาณาจักรโกลด์เด้นกราวด์อีกแน่ เจ้าฝึกฝีมือรอวันชำระแค้นแทนบิดาให้ดีแล้วกัน”
โคโล่พยักหน้าเข้าใจ เขาทราบว่าฝีมือตนตอนนี้ยังห่างไกลกับเพโดกัสมากเกินไปแทบไม่ต่างกับหยดน้ำหนึ่งหยดกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
เซน่ากล่าวว่า “ข้าตกลงใจแล้วจะไปสืบหาที่อยู่ของหยดน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งลอเลียน”
โคโล่กล่าวว่า “ข้าจะตามไปด้วย”
เธด้าจ้องตาเซน่ากล่าวถามว่า “เจ้าแม้จะมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เล่ห์กลร้ายกาจไม่ต่างจากจิ้งจอก แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนแอ เวทมนตร์ก็ไม่มี คิดจะบุกเข้าไปอาณาจักรที่ประวัติยาวนานถึงเจ็ดร้อยปีมียอดนักรบและจอมเวทคับคั่ง ไม่เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเปล่า?”
เซน่ากล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องไป”
เธด้ากล่าวว่า “เห็นแก่เจ้ามีศัตรูคนเดียวกัน ข้าก็ไม่อยากเห็นเจ้าเสียชีวิตอย่างไร้ค่า”
เซน่าถามว่า “ท่านจะทำอย่างไร?”
เธด้ากล่าวว่า “ข้าจะสอนสิ่งหนึ่งให้แก่เจ้า”
เซน่าถามว่า “สอนอะไร?”
เธด้ากล่าวเน้นทีละคำว่า “เพลงดาบเงาจันทรา”
----------------
เพลงดาบเงาจันทรา มันคืออะไร? ใช่เพลงดาบที่เซน่ายังยอมรับว่าสู้ไม่ได้ไหม? อยากรู้ต้องตามตอนต่อไปโลด รับรองมีฉากบู๊ให้ชมกันอีกแล้ว