ตอนที่ 12 สิ่งที่สำคัญ
ตอนที่ 12 สิ่งที่สำคัญ
เขาไม่ได้ยินเสียงของหงเกอแล้ว
เขาถูกพาออกมาไกล...ไกลมากเสียจนเสียงตะโกนยังไปไม่ถึง
ทั้งๆ ที่ตอนนี้ในมือของเขา ยังคงหลงเหลือความอบอุ่นจากอีกฝ่ายอยู่เลยแท้ๆ
เหอไป๋เทียนพยายามออกแรงดิ้น ทั้งร้อง ทั้งปัดป่ายมือไปทั่วหมายจะให้ตนหลุดจากการถูกสิ่งแปลกปลอมจับตัว ทว่าเขากลับคว้าอะไรไม่ได้สักอย่าง สิ่งที่รู้สึกได้มีเพียงแค่ความเย็นยะเยือกชวนขยะแขยงคลื่นเหียนห่อหุ้มร่างกายเอาไว้อย่างแน่นหนาเท่านั้น
ราวกับว่าสิ่งที่ลักพาตัวเขาอยู่นี้เป็นสิ่งไร้ตัวตนไม่อาจจับต้องได้...ไม่สิ ที่ถูกคือมันไม่ยอมให้เขาจับตัวมันได้ต่างหาก
ยิ่งดิ้นบางสิ่งบางอย่างก็ยิ่งเลื้อยสำรวจไปทั่วร่างกาย ราวกับงูเหลือมยักษ์รัดหยอกล้อกับเหยื่อตัวจ้อยแม้จะไม่ได้หมายให้ตายแต่ก็ทำให้หายใจติดขัด ปากของเหอไป๋เทียนถูกปิดไว้ไม่ให้ส่งเสียง อีกทั้งแขนขาก็ถูกตรึงไม่ให้ขยับ ไม่อาจเป็นอิสระได้อีก
มันพาเขาไปทั้งแบบนั้นร่างกายของเหอไป๋เทียถูกถูลู่ถูกังลากพาไปอย่างทุลักทุกเล
ความพร่าเบลอจากการขาดอากาศหายใจทำให้สติที่เริ่มหดหาย อากาศเย็นชื้นในถ้ำอันเหม็นอับผสานเข้ากับความมึนงงจากการถูกสิ่งมีชีวิตปริศนารัดร่าง ทุกสิ่งอย่างกำลังดึงให้เหอไป๋เทียนเข้าสู่ห้วงภวังค์ช้าๆ ดวงตาสีทองนั้นหนักอึ้งจนปิดลงไป
หงเกอจะเป็นยังไงบ้าง อยู่คนเดียวแบบนั้น จะมีตัวประหลาดแบบนี้เข้ามาทำร้ายหรือเปล่า
อย่าเป็นอะไรเลยนะ...
ในหัวของเหอไป๋เทียนคิดเวียนวนแต่เรื่องนี้ เป็นห่วงคนที่มาด้วยกันเป็นอย่างมาก กระวนกระวนกลัวไปหมดว่าเขาจะเป็นอย่างไร
ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่า ‘หงเกอ’ นั้นเก่งกว่าตนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าก็ตาม
สิ่งเหล่านี้วนเวียอยู่ในหัวของเหอไป๋เทียนก่อนที่จะสลบไป..
เหอไป๋เทียนนั้นไม่มีเป้าหมายในชีวิต
เกิดมาในสถานะลูกชายคนเล็กของบ้านสกุลเหอ ฐานะยิ่งใหญ่คับฟ้ามีชื่อเสียงคับแผ่นดิน พี่ชายเองก็เก่งกาจอัจฉริยะเหมาะสมที่จะสืบทอดอำนาจต่อจากบิดา เหอไป๋เทียนจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องฝึกฝนคร่ำเคร่งเพื่อเป็นประมุข ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตสุขสบายชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ อยากได้อะไรก็ไม่ต้องขวนขวาย ทุกสิ่งพร้อมประเคนใส่มือทันทีโดยไม่ต้องอ้าปากร้องขอ
ชีวิตที่ง่ายดายทำให้เขาไม่มีเป้าหมายอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
แม้กระทั่งตอนนี้ที่ต้องลาจากเรือนแสนสะดวกสบายเพื่อออกเดินทางฝึกฝนตามธรรมเนียมของสกุล เหอไป๋เทียนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนจะเริ่มต้นอย่างไรและจะฝึกไปเพื่ออะไรในเมื่อพี่ชายนั้นก็มีคุณภาพพร้อมขนาดที่ต่อให้ไม่มีเขาสักคนสกุลเหอก็ไม่ขาดแคลนคนดูแล
แต่…
แต่ว่าในวันนี้...ในช่วงเวลานี้กลับมีอะไรบางอย่างก่อเกิดขึ้นกับตัวของเขา กับคนที่ไม่เคยมีเป้าหมายอะไร การได้พบกับความอ่อนโยนและความแข็งแกร่งจากคนๆ นั้นมันช่วยปลุกอะไรบางอย่างที่เคยมอดดับในใจของเขาขึ้นมา
ความขวนขวายเพื่อให้ได้มาซึ่งความแข็งแกร่ง อยากแข็งแกร่งเพื่อปกป้องใครสักคน
เขาปรารถนาที่จะเติบโตขึ้นมาเช่นนั้น...
หยดน้ำหนึ่งหยดรดลงปะทะกับผิวแก้มปลุกให้เหอไป๋เทียนที่จมในห้วงนิทราลืมตาตื่นขึ้นมาจากห้วงฝันในอดีต สิ่งแรกที่รับรู้คือแสงสว่างสลัวท่ามกลางความมืดมิด สติของเด็กชายยังกลับมาไม่ครบเท่าใดนัก ความมึนงงสับสนเข้าครอบคลุมตัวเขาทันทีที่ได้เห็นสิ่งรอบตัว
ทางเดินอันคับแคบแปรเปลี่ยนเป็นโถงกว้าง สิ่งที่ปรากฏชัดแก่สายตาสร้างความแปลกใจเหอไป๋เทียนยิ่งนัก
เหตุใดเหมยฉีกลับบอกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีทรัพย์สมบัติที่มนุษย์ต้องการ ในเมื่อสิ่งรายล้อมรอบตัวเขาตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับสมบัติที่กำลังส่องแสงสว่างสร้างความสลัวให้กับถ้ำที่เคยมืดมิด ผลึกแข็งใสราวกับอัญมณีใสสะอาดเกาะกุมพนังและพื้นเอาไว้ทั่วแทบทุกจุด
มันคือหินแร่ใสมีความแข็งแกร่งและงดงามราวกับอัญมณี เป็นสิ่งของหายากที่เหมาะสมสำหรับนำมาสร้างเป็นอาวุธ โดยปกติแล้วจะใช้เวลานับร้อยนับพันปีในการสร้างสมจนผลึกงอกงาม สภาพแวดล้อมที่ไม่ได้ถูกรบกวนจากคนนอกมาเนิ่นนานของถ้ำแห่งนี้คงทำให้มันเติบโตได้อย่างเต็มที่
แม้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่านี่คือสมบัติแต่มันก็ทรงคุณค่าอีกทั้งยังส่องประกายระยิบระยับงดงามจับตายิ่งนัก
จากที่เคยมืดสนิทกลับปรากฏสลัว นอกจากแสงจากแร่ใสแล้วยังมีแสงสว่างลอดขึ้นมาจากรอยแยกของพื้น
เหอไป๋เทียนมั่นใจได้ว่าเบื้องล่างนั้นคงเป็นสถานที่ซึ่งมีแสงสว่างสาดส่อง เขาพยายามใช้ตามองส่องเข้าไปที่รอยแยก ใคร่รู้ว่าต้นกำเนิดของแสงนั้นมาจากอะไร แต่ความหนาของชั้นหินที่ถูกแร่ใสเกาะกุมก็ทำให้เขามองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ด้านล่าง...ไม่เลยแม้แต่น้อย
สงสัยยิ่งนักว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ตรงนี้และสิ่งที่ลักพาตัวเขามาต้องการอะไร
“ต้องไปตามหาหงเกอ” เขาพึมพำออกมา เมื่อมองไปทั่วสถานที่แห่งนี้แล้วไม่พบกับสิ่งแปลกปลอม เหอไป๋เทียนค่อยๆ ลุกขึ้นมา ท่าทางยังคงคอยระแวดระวังตนเตรียมพร้อมหนีหากมีเรื่องไม่ปลอดภัยเกิดขึ้น ทักษะการต่อสู้หรือพลังของเขายังไม่เก่งกาจก็จริง แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็คงพอเอาตัวรอดได้บ้าง
ทุกจังหวะที่เดินจะมีเสียงดับกรอบแกร่บจากการเหยียบแร่ใส เหอไป๋เทียนจึงต้องพยายามตั้งสมาธิทำตัวให้เบาเท่าที่สุดเพื่อที่จะเดินโดยไม่เกิดเสียง
เหอไป๋เทียนกอดตัวเอง เมื่อเดินสำรวจเรื่อยๆ แล้วพบกับไอหนาวแผ่กระจายเข้ามาปะทะร่าง เสื้อผ้าที่เหลือเพียงชุดซับด้านในเบาบางและเปียกชื้นจากการดำน้ำมาเข้าถ้ำ สภาพย่ำแย่ไม่อาจต้านทานไอเย็นนี้ได้เลยแม้แต่น้อย เขาจึงพยายามใช้พลังในตัวเองทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น
แต่มันก็ช่วยได้ไม่มากเท่าไรนัก ราวกับว่าไอหนาวนี้ไม่ใช่ความหนาวเย็นจากธรรมชาติ
ไอควันขาวพ่นออกจากริมฝีปาก เหอไป๋เทียนตัวสั่นเทาราวกับลูกนกขาดรัง แต่เขาก็ยังคงดื้อดึงเดินหาทางออก จะเสียเวลาแม้เพียงสักครู่เดียวก็ไม่ได้ เขาไม่อยากมาเสียใจทีหลังหากเอาแต่นอนใจรอคนมาช่วยแล้วปล่อยให้หงเกอตกอยู่ในอันตราย
หากเกิดอะไรขึ้นกับคนๆ นั้น ในสถานที่ซึ่งตนไม่สามารถอยู่เคียงข้างดูแลได้...มันคงทำให้เขาเจ็บปวดและรู้สึกผิดยิ่งกว่าสิ่งใด
น่าแปลกใจที่ความรู้สึกเช่นนี้ก่อเกิด ทั้งที่เขาเคยได้รับความอ่อนโยนจากใครต่อใครมามากมาย ถูกทำดีด้วย ถูกเอาอกเอาใจสารพัดแต่...เขารู้สึกว่ามันมีบางอย่างแตกต่างจากตัวคนนั้นๆ
แต่ท่ามกลางความสับสนของตัวเองนั้น...มีสิ่งหนึ่งที่เข้าใจอย่างเด่นชัด นั่นคือการที่ยิ่งอีกฝ่ายไม่อยู่ข้างกายมากเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มพูลความสับสนพะวงหามาเท่านั้น
ขาของเด็กชายนั้นเริ่มสั่น เขาทำได้แค่เพียงฝืนตนเดินฝ่าเส้นทางแสนทรมาน แม้พยายามไหลเวียนพลังกายให้อบอุ่นเท่าใดก็ไม่อาจทานทนความหนาวได้ ในตอนนี้เหอไป๋เทียนเริ่มเข้าใจแล้วว่าความเย็นยะเยียบเหล่านี้ปลดปล่อยมาจากพลังซึ่งมีอำนาจเหนือกว่าเขาหลายเท่าตัวนัก!
ใจหนึ่งอยากเดินกลับไปยังเส้นทางเก่า แต่อีกใจเขากลับรู้สึกว่าหากฝ่าฝันความทรมานนี้ไปได้เมื่อไร เขาคงพบกับสิ่งที่ตัวเองตามหา
หัวใจเต้นระทึกสั่นรัว เหอไป๋เทียนไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ความอื้ออึงจนแน่นคับอกบ่งบอกถึงสัญญาณความตื่นเต้นที่เอ่อล้นออกมา
กระแสพลังยังคงหนาวเหน็บ ทว่ากลับมีบางสิ่งเก็บซ่อนอยู่ท่ามกลางทางเดินนี้ แสงสว่างที่ส่องรอดจากชั้นแร่ใสหนาทึบเจิดจ้าจรัสจนแสบตา
ดวงตาสีทองหรี่ลงเล็กน้อยยามที่เดินผ่านพ้นทางเดินแร่ใสออกมาได้ เขาพบกับแสงสว่างอันแรงกล้าแทรกผ่านกระแสความหนาวเหน็บ มันไม่ได้อบอุ่น ไม่ได้คลายความเย็น หากแต่มันกำลังทำให้คลื่นพลังในตัวของเขาปั่นป่วนจนลืมหนาว
ขาของเหอไป๋เทียนที่อดทนฟันฟ่าเดินมาได้ตลอดบัดนี้ล้าราวกำลังถูกสูบ ทรุดตัวลงสั่นเทาเอามือค้ำกับพื้นไว้ หอบหายใจถี่รัว
พอๆ กับใจ...ที่เต้นแรงแทบจะหลุดออกมาจากอก
เบื้องหน้าของเขาตอนนี้ปรากฏถึงสิ่งของอันทรงค่า กระบี่เนื้องามในปลอกถูกวางยังแท่นตั้ง นับจากด้ามจับตลอดจนทั้งตัวเล่มล้วนเป็นสีนิลขลับไม่มีสีใดแซมเด่น สร้างความรู้สึกแสนโดดเดี่ยวสมกับเป็นสิ่งของหนึ่งเดียวที่ตั้งลำพังท่ามกลางแร่ใสรายล้อม กระไอหนาวเย็นถูกแผ่ออกมาเป็นระยะบ่งบอกได้ดีถึงสาเหตุที่ทำให้สถานที่แห่งนี้อุณหภูมิลงต่ำ
เหอไป๋เทียนไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมถึงมีสิ่งของงามขนาดนี้อยู่
นับตั้งแต่ต้นจรดจนปัจจุบันไม่มีอะไรที่เขาเข้าใจได้กระจ่างแจ้งสักอย่าง
ทว่าในตอนนี้...ใจที่กำลังเต้นระรัวของเขามันกำลังบอกบางอย่าง บางอย่างที่ชัดเจนท่ามกลางความสงสัยของเขา
เขาถูกดึงดูดเข้ามายังสถานที่ลับแลเพื่อพบกับกระบี่เล่มนี้…
มืออันสั่นเทาพยายามเอื้อมเข้าไปหา ความหลงใหลดึงดูดเสียจนควบตุมตัวเองไม่ได้ เขารู้สึกได้ถึงเสียงใจที่ดังอื้ออึงในหู ยิ่งใกล้...เขาก็ยิ่ง…
“อึก…!!”
แต่ไม่ทันที่จะได้เข้าไปสัมผัสกับกระบี่เล่มนั้น คอเสื้อของเขาถูกคว้าเอาไว้แล้วดโดนกระชากด้วยแรงปริศนาอย่างรุนแรงจนกระเด็นไปด้านหลัง เหอไป๋เทียนร้องออกมา ความตกใจผสมกับความเจ็บปวด แผ่นหลังของเขากระแทกเข้ากับแร่ใสแข็งคมที่เกาะตัวบนก้อนหินเต็มแรงจนได้แผล
ร่างของเด็กชายค่อยๆ ขยับยันตัวลุก แม้ความเจ็บปวดจะทำให้เขาได้สติจากการต้องมนต์แต่เสื้อของเขาเป็นเพียงชุดซับในบางเบาไม่อาจป้องกันแรงกระแทกจากแร่ที่คมกริบราวกับกระจกได้ เศษใสบาดลึกลงผิวเนื้อ เรียกเลือดให้ไหลรินจากบาดแผลย้อมแผ่นหลังให้กลายเป็นสีแดง
เบื้องหน้าของเขาตอนนี้ คือรูปร่างของควันดำขมุกขมัวรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน มันคล้ายสิ่งมีชีวิตที่ไร้ซึ่งกายเนื้อ ไร้ซึ่งหน้าตา ไร้ซึ่งทุกๆ อย่างที่บ่งบอกได้ว่าคือคนหรือสัตว์ ให้จัดประเภทไปอยู่ในหมวดวิญญาณยังพูดได้ไม่เต็มปากเลยด้วยซ้ำ
เหอไป๋เทียนข่มความเจ็บจัดแจงตนในท่าพร้อมตั้งรับหากฝ่ายตรงข้ามพุ่งเข้ามาโจมตีอีก
ควันมีชีวิตนั้นคอยเฝ้าปกป้องกระบี่ในระยะห่าง ไม่สิ...มันไม่สามารถเข้าใกล้กระแสพลังของกระบี่นั้นได้จึงจำใจอยู่ห่างๆ ต่างหาก!
“แตะ...ไม่ได้...แตะ...ตาย…ของ...ของ...ข้า…”
เสียงแหบแห้งดังขึ้นมา เป็นศัพท์ไม่เป็นคำที่จับใจความหมายที่ต้องการจะสื่อได้ยากยิ่ง เหอไป๋เทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย ความใคร่สงสัยกลับมาอีกครั้ง
“สะอาด...สะอาด...ต้องการ...ร่าง…”
แล้วสิ่งนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาหาเหอไป๋เทียนทันทีที่สิ้นเสียง เด็กชายที่ตั้งหลักตั้งตัวไม่ทันถูกกลุ่มควันกลุ่มเล็กที่แยกออกมาจากร่างหลักรัดข้อเท้าและข้อมือไว้ เหอไป๋เทียนติดตรึงกับที่ไม่อาจขยับตนไปไหนได้ ดวงตาปิดสนิทแน่นด้วยความตกใจ
ทว่ากลุ่มควันนั้นไม่อาจจะเข้ามาทำร้ายเหอไปเทียนได้! มันถูกพลังบางอย่างสะท้อนออกไปจนแตกตัวเป็นกลุ่มควันกระจายในอากาศ
เหอไป๋เทียนเอามือแตะอกตน ความร้อนอบอุ่นวาบอยู่ภายในนี้...เขารู้ดีว่ามีสิ่งที่กำลังปกป้องตนอยู่
ตราหยกประจำสกุลเหอที่เขาพกติดกายตลอดเวลานั้นคือเครื่องรางป้องกันภัยที่ใช้ปกป้องผู้ถือครอง
เหอไป๋เทียนกำตราหยกเอาไว้แน่นเมื่อเห็นว่ากลุ่มควันที่แตกกระจายเริ่มกลับมารวมตัวเป็นกลุ่มก้อนกันอีกครั้ง ในตอนนี้เองความสงสัยที่เกิดขึ้นก็กระจ่าง แม้เขาจะยังเด็กแต่ก็ไม่ใช่คนโง่เง่าเบาปัญญาที่จะจับใจความไม่รู้เรื่อง เหตุการณ์ทุกอย่างมันปะติปะต่อได้เกือบครบแล้ว
เขาเข้าใจแล้วว่าต่อให้สิ่งมีชีวิตไร้รูปร่างนี้สามารถรวบรวมมวลพลังในการจับต้องสิ่งของได้ แต่เพราะมีสภาพที่ไมต่างจากควัน จึงทำให้พวกมันไม่สามารถจับต้องหรือเข้าใกล้สิ่งที่มีอำนาจมากกว่าได้
และเพราะเป็นควัน คนธรรมดาจึงจับตัวไม่ได้ หากมันไม่ยินยอมให้จับ เท่ากับว่าเขาไม่สามารถใช้ร่างกายหรืออาวุธตอบโต้ได้เลย เป็นการต่อสู้ที่เสียเปรียบไม่ต่างจากรบรากับเงาล่องหน แม้สายตาจะยังคงจับจ้องระวังภัย แต่ในหัวเหอไป๋เทียนก็ยังคงครุ่นคิดถึงทางรอดของตัวเอง
หากจะมีอะไรที่พอปกป้องตัวเองได้ก็มีแค่เพียงตราหยกและ...
“ไม่! มันเอาไปแล้ว...ไม่! มันเอาออกมาจากศิลาแล้ว!!”
เหอไป๋เทียนสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ ควันดำกรีดร้องลั่นราวกับของสำคัญถูกขโมยทั้งที่เขายังไม่ทันได้แตะต้องอะไรสักอย่างที่อยู่ในบริเวณนี้ ความงุ่นงงก่อเกิดอย่างไม่เก็บซ่อน เด็กชายสงสัยนักว่าสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดนั้นอาจจะมีหลายบุคลิกหรือไม่ก็อาการหลอนประสาทเหตุใดจึงกรีดร้องแทบเป็นแทบตายในสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นต่อหน้า
ราวกับมีเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ได้เกิดต่อหน้าเขา...
หรือว่า…
“คนที่มากับข้า...เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเขาอยู่ไหน” เสียงเหอไป๋เทียนนิ่งสงบขึ้น ข่มใจตัวเองไม่ให้ตื่นตระหนก แม้ตนจะเป็นเด็กแต่ในตอนนี้เขาจะต้องวางตัวมีอำนาจ เก็บซ่อนความหวาดวิตกกังวลเอาไว้ให้มิด
เขาไม่มีอาวุธ หรือสิ่งใดๆ ที่มาต่อกรกับอีกฝ่าย ไม่มีแม้แต่ตัวประกันจะมาต่อรอง
แต่ตอนนี้เขายอมคว้าทุกอย่างหากนั่นเป็นความหวังที่ทำให้เขาได้พบกับหงเกอ...
“หยุด! หยุดพูด! ร่าง! พลังสะอาด!!!”
เหอไป๋เทียนไม่เข้าใจว่าพลังสะอาดที่อีกฝ่ายว่าคืออะไร ไม่สิ! อันที่จริงคือไม่เข้าใจที่สิ่งมันพูดเลยสักเรื่อง ไม่เข้าใจเลยสักนิด
แต่...ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เข้าใจได้ชัดเจน
มันจับตัวเขามาเพราะต้องการร่างของเขา!!
พอคิดได้แบบนั้นเหอไป๋เทียนก็เม้มปาก แม้ไม่เข้าใจได้ว่าทำไมมันต้องการร่างของเขา แต่สถานการณ์ตอนนี้ นอกจากเขาต้องเค้นถามที่อยู่ของหงเกอจากมันแล้ว เขายังต้องปกป้องรักษาร่างกายของตัวเองให้ปลอดภัยจากมันอีกด้วย
กลุ่มควันดูจะบ้าคลั่งมากกว่าเดิม มวลสีดำอัดแน่นขึ้นมาราวกับไร้สติ เหอไป๋เทียนขยับเท้าถอย เขาถอยไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จะทำเช่นไร
และทันใดนั้นเองมันก็พุ่งเข้ามาจู่โจมร่าง! แต่มันก็ถูกพลังของตราหยกสะท้อนออกไปได้! ต่อให้ควันดำดื้อด้านจะพุ่งชนเข้าสักกี่ครั้ง พลังของตราหยกก็ยังคงคอยคุ้มกันเขาไว้อย่างมั่นคง
แต่เหอไป๋เทียนก็ไม่อาจนอนใจได้ เขาไม่รู้ว่าตราหยกสกุลเหอจะคุ้มครองเขาได้อีกนานสักแค่ไหน
มือไม้ป่ายปัดไปทั่ว เหอไป๋เทียนถอยไปเรื่อยๆ พยายามทรงตัวอย่างเต็มความสามารถเพราะหากเขาล้มลงไปคนที่จะเสียเปรียบในการต่อสู้นี้จะเป็นเขาทันที เด็กชายไม่รู้ตัวสักนิดว่าตนเดินถอยไปยังทิศใด ในหัวเองก็พยายามคิดถึงวิธีที่ที่จะเอาตัวรอด
แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร อยู่ๆ ควันนั้นก็ชะงัก หยุดการพยายามแทรกซึมร่าง กรีดร้องและแตกตัวออกไปตั้งหลักยังที่ไกลจากรัศมีนั้นทันทีราวกับหวาดกลัวอะไรบางอย่าง เหอไป๋เทียนมั่นใจได้เลยว่าตอนนี้ตนอยู่ใกล้กับอะไร
กระบี่เล่มนั้นอยู่ใกล้เพียงเอื้อมเท่านั้น...
ในตอนนี้เหอไป๋เทียนต้องเลือกระหว่างยอมเสี่ยงใช้สิ่งอันตรายนี้ กับการถูกควันดำนั่นทำร้าย
เมื่อเห็นควันดำนั้นก่อตัวเป็นรูปร่างใกล้สมบูรณ์ เหอไป๋เทียนก็อยู่ในจุดที่ไม่ต้องคิดอะไรเยอะอีกต่อไปแล้ว! เขาอดทนต้านพลังที่แผ่ออกมา รีบคว้าดาบขึ้นมาจากแท่นวางทันที!
เมื่อดาบถูกชักออกมาจากปลอก กระแสไอเย็นแผ่กระจายโอบรอบร่างกายเล็กๆ ของเด็กชายเอาไว้ทันที ในทีแรกมันสร้างความเจ็บปวดราวกับเข็มน้ำแข็งอันหนาวยะเยียบทิ่มแทงเข้ามานับร้อยนับพัน หากแต่เมื่อผ่านไปสักพักพลังก็หลอมรวมเข้ากับตัวเหอไป๋เทียนอย่างง่ายดาย
ความหนาวเหน็บก่อเกิดที่ด้ามกระบี่ น้ำแข็งเกล็ดบางๆ เริ่มแผ่กระจายเกาะกุมปลายนิ้วเขาเอาไว้
ควันดำนั้นกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นว่าของที่มันเฝ้าปกป้องถูกชิงไปได้ มันพยายามจะพุ่งเข้าโจมตี แต่รัศมีของกระบี่ก็ปกป้องเหอไป๋เทียนได้อย่างดี
พลังของกระบี่ดำนั้นแข็งแกร่ง แกร่งเสียจนผู้ถือครองมือสั่น เหอไป๋เทียนรู้ดีว่าพลังของตนในตอนนี้มันไม่เพียงพอต่อการใช้งานอาวุธทรงคุณค่านี้เลย เขาควบคุมมันแทบไม่ได้ คลื่นอำนาจมันแผ่กระจายไปทั่วจนสั่นไปหมด สั่น...ไปทั้งโถงถ้ำที่ตนยืนอยู่
รอยแยกบนพื้นเริ่มก่อเกิดแผ่กระจายกว้าง พื้นถ้ำสั่นไปหมด แร่ใสบางส่วนเริ่มแตกเป็นผงเพราะถูกกระแสพลังเล่นงาน
ยังไม่ทันที่เหอไป๋เทียนจะเริ่มทำอะไร รอยร้าวบนพื้นแตกออกทุกสิ่งทุกอย่างร่วงลงสู่เบื้องร่างอย่างรวดเร็ว!
ความตกใจเข้ามาเกาะกุมสติ เหอไป๋เทียนร้องอะไรไม่ออก สมองที่เริ่มขาวโพลนค่อยๆ ปรากฏภาพของชายคนหนึ่งขึ้นมา
หง…
“ไป๋เทียน!!!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในจังหวะที่เขากำลังนึกถึง เหอไป๋เทียนเบิกตากว้างเมื่อสิ่งที่รออยู่เบื้องล่างนั้นมันกลับไม่ใช่ความน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
ในเสี้ยววินาทีที่กำลังจะตกลงไป เหอไป๋เทียนกับคิดว่าสิ่งที่เห็นนั้นช่างอบอุ่น
ไม่ใช่แอ่งน้ำที่ดูสวยสะอาด
ไม่ใช่ดอกโบตั๋นที่กำลังเบ่งบาน
แต่คนๆ นั้นกำลังอยู่ที่ตรงนั้น อยู่เบื้องล่างนั้น…ดวงตาสีแดงที่กำลังมองมาทางเขาแม้จะมีสีหน้าที่ดูตกใจแต่ก็แฝงไปด้วยความโล่งอกดีใจ
แขนของคนที่อยู่ด้านล่างก็ค่อยๆ อ้าออก เขาพร้อมรอรับเด็กชายร่วงให้ลงไปสู่อ้อมกอดของตนทันทีแม้แรงโน้มถ่วงจะทำให้คนทั้งสองล้มลงไปกองกับพื้นก็ตาม
ความอบอุ่นจากอ้อมกอดส่งผ่านมาทำให้ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย เหอไป๋เทียนถูกกดหน้าลงแนบกับอกอีกฝ่าย เขาหลับตาลงเตรียมรับกับสิ่งที่จะตามลงมาจากนี้
ณ.มุมหนึ่งในจิตใจคิดว่าตนกำลังโชคดี
ในที่สุดก็ได้เจอหงเกอสักที...
นั่นคือความคิดของเหอไป๋เทียนก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจากด้านบนจะร่วงถล่มลงมาใส่คนทั้งคู่!