Chapter 7: สัตว์วิญญาณ
“อืมมม... จากรอยเท้าแล้ว นี่เป็นรอยเท้าสัตว์ที่ตัวไม่ใหญ่ไม่เล็กขนาดแค่ราวสุนัขล่าเนื้อ...”
ฟางหยวนคุกเข่าลงและสำรวจรอยเท้าชัดเจนตรงหน้า “รอยเท้าลึกไปบนดินไม่มากนักดังนั้นตัวมันจะไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก หมาป่า? สุนัขจิ้งจอก? หรือว่าเพียงพอนหรือหมาหริ่ง?”
“เป็นสัตว์ที่ฉลาดนัก มันจัดการทำลายกับดักของเรา...”
เพราะว่าโตมาบนเขา ฟางหยวนจึงมีความสามารถในการจับสัตว์ป่าเพราะมักจะจับไก่ป่าหรือกระต่ายมาเป็นอาหารอยู่บ่อยครั้ง
ส่วนกับดักนี้ติดตั้งไว้อย่างดีชนิดที่ว่าหมาป่าหรือหมูป่าก็ยังไม่สามารถหนีได้
แต่ตอนนี้ กับดักที่ว่าถูกทำลายเละราวกับสัตว์นั่นคิดท้าทายคนติดตั้งกับดัก
“อาจารย์เคยบอกว่าลึกเข้าไปบนเขาจะมีสัตว์ที่พิเศษ แม้ว่าพวกมันจะเกิดมาเป็นสัตว์ธรรมดา แต่ถ้ามีสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขที่เหมาะสม พวกมันสามารถวิวัฒนาการและฉลาดขึ้น จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าหนึ่งในสัตว์ที่ฉลาดเฉลียวพวกนั้นเข้ามาที่นี่?”
ขณะที่จัดการติดตั้งกับดักและตั้งใจจะ “จับ” สัตว์ตัวนั้น ฟางหยวนรู้สึกราวกับว่าไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ธรรมดาสักตัว แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง นั่นทำให้เขารู้สึกหนักใจ
“อืม... ข้ายังสูญเสียไม่มากนัก...”
เขามองไปรอบ ๆ แล้วก็แทบจะกระเด้งขึ้นจากพื้น เขารีบพุ่งไปทางไร่ชา “นี่ไม่ดีแล้ว... พืชวิญญาณของข้า!!!”
เพราะว่าหัวขโมยไม่ใช่สัตว์ธรรมดา พืชทั่วไปไม่น่าสามารถดึงดูดความสนใจของมันได้ ดังนั้น ความเป็นได้ก็คือชาชำระจิตและข้าวหยกแดงดึงดูดมันมาเท่านั้น
หลังจากคิดดูแล้ว ฟางหยวนก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีและไม่สามารถสงบตัวเองลงได้
ผ่านไปครู่เดียว ฟางหยวนก็ยิ่งโมโหกว่าเดิม เขาตะโกนก้องอยู่ในหุบเขา “ไปตายซะ... อย่าให้ข้าจับเจ้าได้นะ..”
ฟางหยวนยืนอยู่ตรงหน้าต้นชาชำระจิตด้วยใบหน้าเศร้าโศก
ต้นชาที่เคยมีใบสีเขียวหยกตอนนี้เหลือแต่กิ่งเปล่า และมีรอยแทะอยู่บนบางกิ่งที่หักเสียหาย
ทั้งต้นดูกะรุ่งกะริ่งนัก โชคดีที่รากของมันไม่ได้รับความเสียหาย ไม่เช่นนั้นฟางหยวนคงจะสูญเสียต้นชานี่ไปตลอดกาล
“นี่อะไร?”
หลังจากตรวจสอบดูใกล้ ๆ ฟางหยวนก็เจอร่องรอยมากขึ้นที่รอบ ๆ ต้นชาชำระจิต
เขาลูบมือขวาลงที่กิ่งหัก ๆ ของต้นชา มีเกล็ดใสละเอียดราวแก้วเคลือบบนปลายนิ้วของเขา เขาพบว่าเกล็ดใสละเอียดนี้ปกคลุมอยู่ทั่วต้นชาไม่เพียงแค่กิ่งที่หักแต่ใกล้ ๆ โคนต้นใกล้รากก็มีเช่นกัน
“ข้าไม่ได้เป็นคนทำ หรือว่าเจ้าขโมยนั่นเป็นผู้นำเกล็ดพวกนี้มา?”
ฟางหยวนยกเกล็ดพวกนั้นขึ้นมาใกล้ ๆ จมูก และก็ได้กลิ่นหอมชนิดหนึ่งก่อนจะตามมาด้วยกลิ่นเน่าเปื่อย
“ปุ๋ย?”
เขามองที่ต้นชาชำระจิตที่รุ่งริ่งนักก่อนจะเดาและรู้สึกบอกไม่ถูก
เจ้าหัวขโมยพืชวิญญาณนี้กล้าทำราวกับต้นชาชำระจิตนี้เป็นของมัน ถึงกับมาขับถ่ายใส่เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะโตขึ้นมาใหม่ให้มันได้เก็บกินอีกครั้ง
“มันคงออกไปจากที่นี่แล้ว เพราะถ้ามันเห็นข้า มันคงจะจู่โจมข้าแล้ว...”
ฟางหยวนส่ายหัว และรีบเดินไปทางแปลงข้าวหยกแดงที่ปลูกไว้
ตรงกันข้ามเลย ข้าววิญญาณสีแดงสดนั้นไม่ถูกแตะต้อง และยังโตขึ้นอีกนิดหน่อยจากก่อนหน้านี้ พืชรอบ ๆ ต้นข้าววิญญาณสีแดงดูจะแห้งตายหมดแล้ว
“ข้าววิญญาณสีแดงนี้ไม่ดึงดูดความสนใจของมันเลย ขโมยผู้นี้ช่างเลือกได้ดีนัก...”
เมื่อเห็นว่าแปลงเพาะปลูกที่เหลืออยู่นั้นไม่ถูกแตะต้อง และขโมยนั่นมีความตั้งใจที่จะทำลายแค่ต้นชาชำระจิตฟางหยวนก็รู้สึกพูดไม่ออก “ข้าจะต้องติดกับดักอื่น ๆ ในทันทีและจะรออยู่ที่นี่ทั้งวันทั้งคืนดูซิว่าใครคือไอ้หัวขโมยนั่น!”
เมื่อความโมโหคลายลง ฟางหยวนก็คิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดและรู้สึกสนใจขึ้นมานิด ๆ จนแทบทนรอดูไม่ไหวว่าผู้ใดเป็นผู้ขโมยใบชาของเขา
...
หลังจากคำนวณความเสียหายทั้งหมดแล้วเขาก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ
ฟางหยวนจัดการผสมผงหรดาลแดงเข้ากับส่วนผสมอื่น ๆ ตามสัดส่วนและพักไว้ในห้องใต้ดินสามวันก็ได้ไหหั่วเย่ปริมาณมาก
สูตรนี้สืบทอดมาจากอาจารย์เวิ่นซิน เป็นปุ๋ยที่เหมาะสมกับพืชฤทธิ์ร้อนมาก
เพราะว่าข้าวหยกแดงเป็นพืชวิญญาณที่ฟางหยวนต้องรดน้ำวันละสามครั้งเพื่อให้มันเจริญเติบโต มันจึงไม่จำเป็นต้องดูดซับสารอาหารจากพืชรอบ ๆ เพื่อให้ตัวมันเองอยู่ได้แล้ว ฟางหยวนจึงเบาใจขึ้น
หลายวันผ่านไปแต่หัวขโมยปริศนายังไม่ปรากฏตัว ตรงกันข้าม การเฝ้าระวังทั้งวันทั้งคืนนั้นทำร้ายฟางหยวนนัก
กลางดึก พระจันทร์กระจ่าง
ฟางหยวนวางกับดักที่เตรียมไว้แล้วแอบซุ่มสังเกตอยู่เงียบ ๆ ในที่ลับตา
ภายในไร่ชานั้นเงียบและได้ยินเสียงจักจั่นร้องเป็นระยะ ๆ ก้องอยู่ในหุบเขา
“เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าขโมยนั่นเห็นข้าและตัดสินใจไม่เข้ามา?”
หลังจากเฝ้าอยู่หลายชั่วยาม ฟางหยวนก็รู้สึกง่วงและเริ่มหงุดหงิด “ข้าจะเฝ้าถึงแค่คืนพรุ่งนี้และถ้าหัวขโมยนั่นไม่ปรากฏตัว ข้าจะย้ายต้นชาชำระจิตไปไว้ที่อื่นที่ปลอดภัย ส่วนเกล็ดแก้วใส ๆ นั่น น่าเสียดาย...”
เมื่อผ่านการสังเกตมาหลายวัน ฟางหยวนก็แน่ใจว่าเดาถูกว่าเกล็ดใส ๆ นั่นคือปุ๋ยสำหรับพืชวิญญาณ
ไม่เพียงแค่สภาพของต้นชาชำระจิตจะดีขึ้น กิ่งก้านที่เสียหายก็ดีขึ้น ส่วนข้าววิญญาณสีแดงที่เขาขูดเอาเกล็ดใส ๆ ส่วนหนึ่งไปโรยไว้ก็เริ่มโตขึ้นกว่าปกติ
ปุ๋ยสำหรับพืชวิญญาณโดยเฉพาะนี้กระตุ้นความสนใจของฟางหยวนนัก เขายังคิดจะปล่อยตัวขโมยไปถ้าเจ้าขโมยนั่นยอมบอกว่ามันไปเอาปุ๋ยนี่มาจากที่ไหน
“ฮ้าววว..”
เมื่อถึงเที่ยงคืน เปลือกตาฟางหยวนหนักกว่าเดิมเสียอีก เขาพร้อมที่จะหลับลงเวลาใดก็ได้
“ดูเหมือนว่าคืนนี้มันจะไม่มา แล้วพรุ่งนี้เช้าข้ายังต้องตื่นมาพรวนดินให้ข้าวหยกแดงอีก ข้าควรจะไป.. เอ๋?”
ในขณะที่ฟางหยวนลุกขึ้นยืน มีประกายสีขาวผ่านตาไป
“มันมาแล้ว!”
ฟางหยวนรู้สึกมีแรงขึ้นมาทันที และไม่รู้สึกง่วงอีกต่อไปในทันที
ประกายสีขาวพุ่งไปทางสวนและเห็นกับดักที่ฟางหยวนสร้างเอาไว้ มันดูไม่สะทกสะท้านขณะค่อย ๆ เดินอ้อมกับดักไปแล้วยื่นเท้าหน้ามาดึงกิ่งไม้ออก การกระทำนี้กระตุ้นให้กับดักทำงานแต่ไม่สามารถจับตัวอะไรได้เพราะเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นอยู่นอกระยะกับดักเรียบร้อยแล้ว
“โอ้! เป็นหนูเตียวสีขาวตัวใหญ่และแสนรู้!”
ฟางหยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่
ไม่ผิดแน่ ตรงหน้าเขาคือหนูเตียวตัวใหญ่สีขาว มันมีดวงตาโต ขนยาว และมีอุ้งเท้าว่องไวคู่หนึ่ง หูของมันกระดิกไปมาเป็นครั้งคราวราวกับคอยฟังรอบ ๆ และขนสีขาวนั้นสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย
หนูเตียวธรรมดาจะมีขนาดเท่า ๆ กับแมว แต่ตัวนี้ยาวประมาณหนึ่งเมตรเท่า ๆ กับเสือดาวตัวเล็กเลยทีเดียว
“หนูเตียวขาวตัวใหญ่อะไรเช่นนี้...”
มองวิธีการเคลื่อนไหวอย่างอิสระในไร่ชาของหนูเตียวแล้วฟางหยวนก็มองมาที่อุปกรณ์ของเขาที่ดูท่าจะไม่เพียงพอ “ทำไม...วันนี้ข้าไม่ปล่อยให้มันทำอย่างที่มันต้องการไปก่อน แล้วครั้งหน้าที่มันมา ข้าคงจะเตรียมพร้อมกว่านี้!”
เขาไม่ใช่พรานผู้เชี่ยวชาญอยู่ตั้งแต่แรก แม้ว่าเขาจะเตรียมของไว้มากมายแต่เมื่อมองไปที่หนูเตียว ’ปิศาจ’ แล้วเขาก็ไม่กล้าจับมัน
“กิกี๊!”
ในขณะที่หนูเตียวขาวนั้นเข้าไปในไร่ชา ตาดำขลับของมันก็จับจ้องมาที่จุดที่ฟางหยวนซ่อนตัวอยู่ราวกับพบเขาเข้าแล้ว!
“ช่างกล้า เจ้าสัตว์ประหลาด!”
ฟางหยวนไม่มีทางเลือกนอกจากแสดงตัวออกมา “เจ้าทำลายต้นชาของข้าครั้งแรก แล้วตอนนี้ยังกล้ากลับมาเป็นครั้งที่สอง เจ้าคิดว่าข้าไม่มีตัวตนหรืออย่างไร?”
ทันทีที่กระโจนออกมาฟางหยวนก็จุดคบไฟขึ้น
ภายใต้แสงเรืองรองจากคบไฟ ฟางหยวนสามารถมองเห็นว่าหนูเตียวขาวทำราวกับฟางหยวนกำลังล้อเล่น มันไม่วิ่งหนีแต่กลับสบตากับฟางหยวน
‘โอ้ ไม่นะ ไม่ใช่ว่าสัตว์ป่าพวกนี้จะกลัวไฟกับมนุษย์หรอกรึ? นี่มันดูไม่เป็นอย่างนั้นเลยนะ?’
ลึกลงไปฟางหยวนรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเอง
เมื่อเห็นว่าหนูเตียวขาวไม่ได้คิดว่าเขากำลังจริงจังและยังคงเคี้ยวกิ่งชาชำระจิตต่อ ฟางหยวนก็ระเบิดขึ้นมาทันที “เจ้ากล้าดีอย่างไร!”
เขาจับคบไฟแน่นในมือข้างหนึ่ง อีกข้างเป็นมีดเล่มใหญ่ พุ่งตรงเข้าใส่หนูเตียวขาว “อย่าแตะต้องของของข้า!”
“ซี่—”
ทันใดนั้น เขาเห็นหนูเตียวขาวหมุนตัวกลับ ขนพองฟู และทำเสียงขู่ออกมา ฟางหยวนรู้ว่าสถานการณ์ของเขาไม่ดีนักแต่ก็ยังคงตรงเข้าไปพร้อมมีดในมือ
“ฉัวะ!”
เงาสีขาวพุ่งผ่านไปฟางหยวนรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่ข้อมือของเขาทำให้เขาต้องถอยหลังหลายก้าว ข้อมืออ่อนแรงลงจนทำมีดและคบไฟหล่นลง
“สัตว์ประหลาดนี่แข็งแกร่งเกินไป รวดเร็วเกินไป!”
“กิ๊กี๊”
เมื่อเห็นว่าฟางหยวนไม่สามารถทนได้แม้การจู่โจมแรก หนูเตียวขาวก็เมินไปด้านข้างก่อนจะลูบท้องตัวเอง ราวกับกำลังเลียนแบบท่าหัวเราะของมนุษย์
มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้คิด มันโบกเท้าหน้าเล็ก ๆ ไปที่ฟางหยวนแล้วชี้ไปที่ต้นชาชำระจิต ราวกับกำลังบอกว่า “พืชวิญญาณต้นนี้ จากวันนี้เป็นต้นไป เป็นของข้า!”
“ไม่... ข้าไม่ยอมรับเรื่องนี้!”
ถูกสัตว์ประหลาดเยาะเย้ย ฟางหยวนรู้สึกไม่ยุติธรรม เขาพลิกตัวขึ้นจากพื้นแล้วคำราม “คอยดูอาวุธลับของข้า!”
เขาพลิกข้อมือ ห่อกระดาษเล็ก ๆ ปลิวออกจากมือของเขา
‘ฝุ่บ ฝุ่บ’
ควันระเบิดออกกลางอากาศส่งกลิ่นฉุนกึก
ฟางหยวนใจเย็นลงแต่ โดยไม่ต้องคิดซ้ำสอง เขาหมุนตัวกลับและออกวิ่ง!
แม้ว่าอาจจะสู้แพ้ แต่ก็ควรจะต้องมองหาทางหนีก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการกับหนูเตียวขาวนั่นทีหลัง แก้แค้นสิบปีไม่สาย
“ซี่—”
ภายในหมอกควันมีเสียงโหยหวนจากหนูเตียวขาว ฟางหยวนหยุดเท้าลง
เขาหันกลับไปและเห็นหนูเตียวขาวเดินวนอยู่รอบ ๆ ควันสีขาวราวกับมันจะกลัวควันนั่นมาก
“เอ๋?”
ฟางหยวนรู้สึกโล่งอก
เขาแค่จะใช้ควันนั่นช่วยเปิดโอกาสให้เขาหลบหนี ในห่อกระดาษนั่นเป็นแค่ของธรรมดา ๆ ไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์ใด
“ข้าโปรยผงไล่สัตว์ไปตั้งมากมาย ถ้ามันใช้ได้ผลแล้วสัตว์ประหลาดนี่เข้ามาได้อย่างไร? ดูท่าจะไม่ใช่เพราะพริกไทย... น่าจะเพราะ... ผงหรดาลแดง! ฮ่าฮ่า... คอยดูเถิด!”
‘ฝุ่บ!’
เพียงแค่พลิกข้อมือข้างขวา ผงหรดาลแดงจำนวนมากก็โปรยออกไปฟุ้งไปทั่วบริเวณ
แม้ว่าหนูเตียวขาวดูจะกลัวผงหรดาลแดงจริง ๆ และไม่กล้าแม้แต่จะขยับ
แต่เมื่อควันจากผงหรดาลสลายไป มันก็หายตัวไปเหมือนกัน