บทที่13: คฤหาสน์สกุลงัก
บทที่13: คฤหาสน์สกุลงัก
บรรพชนสกุลงัก แรกเริ่มเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา จนเมื่อแผ่นดินถูกรุกราน ด้วยใจรักชาติจึงได้ไปสมัครเป็นทหารเพื่อหวังกอบกู้บ้านเมือง หลังออกรบนานนับปี ด้วยฝีมือที่เก่งกาจ ฉลาดมีไหวพริบจึงได้รับโอกาส เติบใหญ่ในหน้าที่ สุดท้ายกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ปราบเหล่าศัตรูรุกรานชาติ จนบ้านเมืองสงบสุข
ทว่า... ดั่งคำสำนวนที่คนชอบพูดกัน เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล...
เมื่อไม่มีสงคราม แม่ทัพที่กุมกองกำลังทหารนับแสนก็เปรียบเสมือนภัยร้ายของบ้านเมืองที่ไม่อาจวางใจ แม้แม่ทัพผู้นั้นจะจงรักภักดีเพียงใดก็ตาม
ขุนนางกังฉินคนหนึ่งเป่าหูจักรพรรดิ ยุแยงให้เกิดความระแวงจนไม่สามารถอยู่เป็นสุข สุดท้ายแม่ทัพผู้ภักดีจึงได้ตายด้วยความผิดที่ไม่เคยก่อ นับเป็นโศกนาฏกรรมของคนที่ใช้ทั้งชีวิตรักชาติโดยแท้
เกิดการจลาจลขึ้นย่อมๆ หลังการประหารจบลง ชาวบ้านต่างไม่พอใจจึงรวมตัวกันประท้วง บางส่วนช่วยเหลือครอบครัวแม่ทัพให้หนีไปเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับโทษอาญา สายเลือดภักดีสาบสูญ
กระทั่งหลายสิบปีผ่านไป เกิดการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ใหม่ จึงมีการฟื้นคดีความของแม่ทัพขึ้นมาเพื่อแก้ไขให้ทุกอย่างถูกต้องเพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่าจักรพรรดิองค์ใหม่ยึดถือคุณธรรม จึงมีคำสั่งให้ตามหาสายเลือดที่สาบสูญเพื่อมารับปูนบำเหน็จชดเชยเรื่องราวในอดีต
สตรีนางหนึ่งนาม ฝู แสดงตัวว่าเป็นลูกสะใภ้ของแม่ทัพ นางมีบุตรหนึ่งคนคือ งักหลอ มีหลักฐานยืนยันตัวตนชัดเจน ว่าเป็นทายาทเชื้อสายสกุลงักที่หลงเหลืออยู่
จักรพรรดิสั่งปูนบำเหน็จ ทั้งเงินทอง จวนหลังใหญ่ บ่าวรับใช้มากมาย และจะรับงักหลอเข้าเป็นขุนนาง ทว่าฝูเป็นเพียงหญิงชาวบ้าน นางไม่มีความรู้อะไร จึงเลี้ยงดูงักหลอให้ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านมาตลอด ไม่มีความสามารถอ่านออกเขียนได้ กระทั่งวรยุทธ์หรือกำลังกายก็ไม่มี
นางฝูจึงขอรับเพียงที่ดินบริเวณหนึ่งและเงินทองอีกไม่มากเพื่อทำไร่สวนตามแบบที่พอจะทำได้ จักรพรรดิประทานสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ยกเว้นการรับงักหลอเข้าเป็นขุนนางโดยเปลี่ยนเป็นที่ดินที่นางฝูต้องการแทน ที่ตรงนั้นอยู่ในเมืองหัวอัน ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นคฤหาสน์สกุลงัก หรือก็คือสถานที่ที่ไป่ยู่ฟื้นขึ้นมาหลังจากสลบไปนานสองวัน
ไป่ยู่ลืมตาตื่นจากภาพความฝันอันสะเทือนใจ เขาตั้งสติอยู่นานกว่าจะรับรู้ว่าที่เห็นไปมันไม่ใช่ความจริง และตัวเองกำลังอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ก่อนที่จะนึกถึงเรื่องสำคัญได้
“ท่านพี่!”
ไป่ยู่รีบลุกขึ้น หวังตามหาไป่หลงที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง ทว่าทันทีที่ทรงตัว ร่างกายพลันสิ้นเรี่ยวแรงทรุดลง จนเด็กสาวที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาต้องรีบคว้าประคองเขาไว้ แต่ทั้งสองกลับล้มลงไปที่พื้นด้วยกัน
เด็กสาวอยู่ล่าง ไป่ยู่อยู่ด้านบน ใบหน้าทั้งสองอยู่ในระยะประชิด จับจ้องพิจารณาได้เพียงพักก็จำได้ว่านางเป็นคนที่เขาเจอในป่าตอนที่สู้กับปีศาจหมู
“ทะ ท่านฟื้นแล้ว” เด็กสาวเอ่ยเบาราวกระซิบท่าทางเอียงอาย
ไป่ยู่ถึงเพิ่งได้รู้สึกตัวว่าควรลุกออกจากท่าที่เป็นอยู่ ทว่าร่างกายอ่อนล้าขยับไม่ได้ง่ายนัก เด็กสาวจึงต้องค่อยๆ ช่วยประคองเขาขึ้นไปนั่งบนเตียงดังเดิม
“ขอโทษด้วยที่ล่วงเกิน ขะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ ท่านอย่าเพิ่งลุกเดินเลยนะ สลบไปตั้งสองวัน นั่งให้รู้สึกดีขึ้นก่อน เดี๋ยวข้าจะไปตามท่านหมอมาดูอาการ” เด็กสาวทำท่าจะเดินออกไป ไป่ยู่รีบรั้งไว้
“ช้าก่อนแม่นาง เรียนถามท่านพี่ของข้า เขาอยู่ที่นี่ด้วยใช่ไหม?” ทันทีที่ถามคำถามออกไปสีหน้าของอีกฝ่ายพลันเปลี่ยนเป็นทุกข์ใจ
“เกิดอะไรกับท่านพี่ของข้า เขาเป็นอะไร หรือว่า!”
“คุณชายท่านนั้นอยู่ที่นี่ เพียงแต่ว่า อาการของเขาหนักมาก ท่านย่าฝูให้ไปเชิญหมอมาดูแล้ว แต่...”
“พาข้าไปพบเขา”
“แต่ว่าท่านเพิ่งจะฟื้น”
“ได้โปรด พาข้าไปหาเขา”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายดึงดันเช่นนั้น เด็กสาวจึงไม่อาจปฏิเสธความตั้งใจของอีกฝ่ายได้ นางประคองไป่ยู่ออกจากห้องที่พักฟื้นเดินออกไปตามทางเดิน เพียงถัดมาไม่ไกลก็เป็นห้องที่ไป่หลงนอนสลบอยู่
ทันทีที่เข้าไปในห้องแล้วเห็นร่างของพี่ชายนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเตียง ไป่ยู่ถลาเข้าไปดูอาการของอีกฝ่ายโดยไม่ห่วงร่างกายตนเอง
ไป่หลงหน้าซีดขาว ริมฝีปากแห้งผาด ไม่มีเหงื่อ ตัวเย็น ชีพจรอ่อน ทั่วร่างตามผิวมีรอยปริคลายรอยแตกระแหงของดิน ส่วนบาดแผลที่โดนทำร้ายถูกพันผ้าไว้ไม่มีเลือดไหลซึมแล้ว
“แม่นาง รบกวนท่านช่วยหยิบสัมภาระของข้ามาได้ไหม” ไป่ยู่เอ่ยเสียงร้อนรน
เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไป
“ท่านพี่ทำใจดีๆ ไว้นะ ข้าอยู่นี่แล้ว ข้ารับรองว่าจะไม่ให้ท่านพี่เป็นอะไรไป” ไป่ยู่น้ำเสียงแฝงกังวล ก่อนจะหันไปคว้าเสื้อคลุมสีดำของไป่หลงที่แขวนอยู่ข้างเตียงแล้วเอามาคลุมที่ร่างของพี่ชายทันที
เพียงไม่นานเด็กสาวก็วิ่งกลับมาพร้อมห่อสัมภาระของไป่ยู่รวมถึงเสื้อคลุมเกล็ดมังกร ไป่ยู่รีบรับมาแล้วรื้อหากระดาษยันต์ใบหนึ่งที่มีแต่ลวดลาย ทว่าไร้ตัวอักขระเวทมนต์
มีดสั้นแหลมคมกรีดปลายนิ้วเป็นแผล เพียงสักพักโลหิตสีแดงก็หลั่งออกมาจากรอยบาดนั่น ไป่ยู่ใช้มันเขียนอักขระที่เด็กสาวไม่เข้าใจ ปากท่องคาถาที่ฟังไม่รู้ความ จนยันต์ที่ถือเกิดประกายไฟลุกขึ้นมา เขาตวัดปลายนิ้วอยู่สองสามครั้งเปลวนั้นสลายไปพร้อมกับยันต์ เหลือเพียงเม็ดยาก้อนกลมสีแดงราวกับโลหิต
ไป่ยู่ไม่รอช้า ป้อนให้พี่ชายตัวเองกลืนลงไปทันที เพียงไม่นาน สีหน้าของไป่หลงก็ดูดีขึ้น ริมฝีปากที่ ใบหน้ามีสีเลือด แม้ชีพจรและรอยปริร้าวตามผิวจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไป่ยู่พลิกร่างของพี่ชายช้าๆ แล้วค่อยๆ แกะผ้าพันแผลที่พันไว้ออก เลือดซึมที่แห้งกรังทำให้ดึงออกได้ลำบาก
เมื่อดึงผ้าพันแผลออกจนหมดแล้วจึงได้เห็นแผลที่หลังอย่างชัดเจน ตอนนี้แผลแห้งไปบางส่วนเท่านั้น มีบางส่วนที่ยังมีเลือดและหนองซึมออกมาเล็กน้อย คนทำแผลก่อนหน้านี้เย็บผิวเนื้อที่ฉีกขาดและห้ามเลือดไว้แล้ว
“แม่นาง ข้ารบกวนของน้ำสะอาดสักหน่อยได้ไหม” เด็กสาวแม้จะมีสีหน้าตื่นตระหนกแต่ก็พยักหน้าแล้วรีบวิ่งออกไปนำมาให้
“ท่านพี่อดทนไว้นะ”
ไป่ยู่หยิบขวดยาขึ้นมาจากห่อสัมภาระ เทออกมาเป็นหยดน้ำสีขุ่นแดงผสมกับน้ำสะอาดที่ได้มา ก่อนจะนำมันไปเช็ดรอบแผลและทารอบผิวกาย
อาการต่างๆ ของไป่หลงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไป่ยู่ดึงเสื้อคลุมสีดำให้กระชับร่างอีกฝ่ายอย่างดี ก่อนจะหันมาเห็นสีหน้าประหลาดปนหวาดหวั่นของเด็กสาว
“ทะ ท่าน เมื่อกี้ท่านทำอะไร แล้วทำได้ยังไง”
“ร่างกายของท่านพี่ข้าไม่เหมือนคนทั่วไป เขาจำต้องมีความร้อนอยู่ในตัวมากกว่าคนปกติด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่ข้าทำเมื่อครู่เป็นยาสูตรเฉพาะ หลังจากนี้เขาน่าจะดีขึ้น ต้องขอบคุณแม่นางที่ช่วยเราสองพี่น้องเอาไว้”
“เป็นข้าที่ต้องกล่าวเช่นนั้นมากกว่า ถ้าไม่ได้ท่านช่วยเอาไว้ ข้าคงตายด้วยน้ำมือของพวกนั้น”
“กล่าวเกินไปแล้ว ข้าเองก็เกือบเอาตัวไม่รอด ข้าไป่ยู่ ส่วนท่านพี่ชื่อไป่หลง”
“หรือท่านคือไป่ยู่คนนั้น... ที่มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ”
ไป่ยู่ยิ้มบาง ไม่คิดว่าชื่อเสียงตัวเองจะมาไกลถึงนี่
“ข้าคือไป่ยู่คนนั้น แต่แม่นางไม่ต้องกังวล ข้าขอเพียงรอให้ท่านพี่ฟื้น แล้วเราสองพี่น้องจะรีบไปทันที”
“ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านไป่อย่าเพิ่งตัดรอน ข้าเพียงแต่ได้ยินชื่อเสียงท่านมานาน ไม่คิดว่าจะได้พบตัวจริง เอ่อ ข้างักฮัว ที่นี่คือคฤหาสน์สกุลงัก ท่านไป่มีพระคุณกับข้า เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล อยู่พักที่นี่ได้นานเท่าที่ท่านไป่ต้องการได้เลย”
“เกรงใจแล้วจริงๆ” สักพักเสียงท้องของไป่ยู่ร้องดัง เขาถึงกับหน้าแดง ในขณะที่งักฮัวพยายามกลั้นยิ้ม
“ข้าลืมไปเลย ท่านสลบไปตั้งสองวัน คงจะหิวน่าดู เดี๋ยวข้าจะให้พวกบ่าวตั้งสำรับให้ ท่านไป่โปรดรอสักครู่”
“ไม่ต้องเรียกท่านหรอก เรียกข้าไป่ยู่ก็พอ”
“ไม่เหมาะหรอก ยังไงท่าน เอ่อ... ถ้าเช่นนั้นข้าเรียกพี่ไป่นะ” ไป่ยู่พยักหน้า สองคนต่างยิ้มให้กัน พองักฮัวจะเดินออกไปจากห้องกลับปรากฏคนสองคนสวนเข้ามาเสียก่อน
“ท่านย่า” งักฮัวเรียกหญิงชราที่นั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีหญิงสาวอายุมากกว่างักฮัวราวห้าปีเป็นคนเข็นเข้ามา
ไป่ยู่จำได้ทันทีที่เห็น ว่านางทั้งสองคือคนที่บอกกับเขาละไป่หลงว่าเห็นซินแสกูเกอเข้าไปในป่าลึกแห่งนั้น
“เขาฟื้นแล้วเหรอ” เสียงหญิงชราเอ่ยเบาถามหลานสาว
“ค่ะท่านย่า เขาคือไป่ยู่ คนนั้น” งักฮัวแนะนำไป่ยู่ให้กับท่านย่าตัวเองได้รู้
หญิงสาวที่เข็นรถพอได้ฟังดังนั้นแล้วก็มีเสี้ยวแวบหนึ่งที่ดวงตานางเบิกกว้าง ก่อนที่จะรู้ตัวและสงวนท่าทีเช่นเดิม กลับกันหญิงชรามีสีหน้าครุ่นคิดคล้ายพยายามทบวนความหมายของคำว่าคนนั้นที่หลานสาวบอกใบ้ จนหญิงสาวที่เข็นรถกระซิบเพิ่มเพื่อให้นางคลายข้อค้างคาในใจ
“ไป่ยู่คนที่มีข่าวลือเกี่ยวกับปีศาจ”
เมื่อได้ฟังคำเฉลย หญิงชราถึงบรรลุข้อสงสัยที่ติดค้าง
“พี่ไป่ นี่ท่านย่าฝู ของข้า”
“คารวะฮูหยินฝู” ไป่ยู่ลุกขึ้นสองมือผสานคำนับอย่างน้อมนอบ ท่าทางของหญิงชรากับหญิงสาวที่เข็นรถจะจำไม่ได้ว่าพวกนางเคยเจอเขากับไป่หลงมาก่อนหน้านี้แล้ว
“ส่วนนี่เสี่ยวจือ” งักฮัวแนะนำต่อ ไป่ยู่ขยับศีรษะก้มลงเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย แต่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะมอง นางเพียงก้มหน้าดวงตาหลุบลง
ถึงตรงนี้ไป่ยู่ถึงได้สังเกตเห็นว่ามือข้างหนึ่งของเสี่ยวจือ กุดด้วนหายไปเหลือเพียงข้อมือเปล่าๆ เท่านั้น
“อาฮัว เมื่อครู่เจ้ากำลังจะไปให้บ่าวเตรียมสำรับอาหารไม่ใช่เหรอ ไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้ย่าดูแลเอง”
งักฮัวมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยิ้มขึ้นแล้วหันไปทางไป่ยู่
“พี่ไป่รอสักครู่นะ ข้าจะรีบกลับมา” ไป่ยู่พยักหน้าแทนคำตอบ งักฮัวออกจากห้องไป
“คนผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง” ย่าฝูเอ่ยถามขึ้น
“ปลอดภัยแล้วครับ เพราะได้ท่านย่าช่วยตามหมอมารักษาบาดแผล ข้าน้อยต้องขอบคุณแทนเขาด้วย”
“เรื่องเล็กน้อย แต่ท่าทางอาการของเขาหนักหนาเหลือเกิน”
“ร่างกายของเขามีโรคประจำตัวบางอย่างที่ต้องใช้ยาเฉพาะรักษา ตอนนี้เขาได้รับยาจนดีขึ้นแล้ว ท่านย่าไม่ต้องเป็นกังวล”
“ดีแล้วๆ แล้วเจ้าละ เขามีโรคประจำตัว แต่ดูเหมือนเจ้าก็ไม่ต่างกัน”
ไป่ยู่นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ รู้สึกหญิงชราผู้นี้มีสายตาในการสังเกตแหลมคมยิ่ง
“ข้าสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรหรอกครับ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว”
ย่าฝูฟังเช่นนั้นก็พยักหน้าช้าๆ ไป่ยู่มองไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไรอยู่ สักพักเกิดเสียงดังโวยวายขึ้นจากด้านนอก เสี่ยวจือคิ้วขมวดแน่น สีหน้าดูสับสนแยกไม่ออกว่ากำลังกลัวหรือไม่พอใจ
เสียงดังนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เพียงครู่ถัดมา ประตูห้องที่ทั้งหมดอยู่ก็ถูกกระแทกให้เปิดออก คนที่ก้าวเข้ามาในห้องคือชายหนุ่มร่างเล็ก ตาตก คิ้วหนา โหนกแก้มสูง กรามใหญ่ ใบหน้าเหลี่ยมและกว้าง คะเนจากลักษณะคาดว่าน่าจะอายุยี่สิบปลายๆ เมื่อเขามาถึงด้านใจเห็นย่าฝู ก็หุนหันเดินตรงมาหา ท่าทางของเขาเกรี้ยวกราด
“ท่านย่าทำเช่นนี้หมายความว่ายังไง! ท่านต้องการอะไร!!” ชายหนุ่มตวาดถามด้วยโทสะ
“ข้าแค่พยายามจะช่วยเจ้า” หญิงชราตอบคำอย่างใจเย็น น้ำเสียงนั้นแฝงด้วยความอาดูร
“ช่วยข้า! ที่ท่านทำมันทำร้ายข้าต่างหาก!!”
“อย่างให้มันมากเกินไปนะอาเจียง” เสี่ยวจือเอ่ยขึ้น น้ำเสียงไม่พอใจ
“แกหุบปากไปเลย เป็นแค่คนนอกอย่าสะเออะมายุ่งเรื่องของคนในบ้าน” ชายหนุ่มตะคอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า
“งักเจียง!!” ย่าฝูตวาดขึ้นท่าทางไม่พอใจ
คนที่ถูกเอ็ดมีแววตระหนกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามีความกลัวเกรงในตัวแม่เฒ่าชราอยู่ไม่น้อย แต่เพราะอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ไม่ก็ศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ เขาจึงไม่ยอมลดราวาศอกลงโดยง่าย
“ท่านย่าอย่าคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงเท่านี้ ข้าไม่ยอมแน่ ท่านห้ามข้าไม่ได้ จำไว้! ท่านห้ามข้าไม่ได้!!” กล่าวจบงักเจียงก็เดินหุนหันออกไปดั่งเช่นที่เขาทำในตอนที่กล่าวเข้ามา ใครจะรู้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขามีโอกาสได้ทำเช่นนี้...
งักฮัวรีบวิ่งเข้ามา ทันเห็นงักเจียงที่กำลังจะเดินออกไป สองคนหยุดนิ่งตรงที่หน้าประตูห้อง แต่ยังไม่ทันได้ทำหรือพูดอะไร งักเจียงก็เดินจากไปเสียก่อน เด็กสาวมองตาม แววตาดูลึกซึ้ง แยกไม่ออกว่าคิดสิ่งใด นางรีบเดินเข้ามาหาย่าฝู ท่าทางเหนื่อยหอบไม่น้อย
“บ่าวไปตามข้า บอกว่าเจ้าสองมาก่อเรื่อง ท่านย่าเป็นอะไรไหม”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”
“แต่...”
“ช่างมันเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว อาจือพาข้ากลับไปที่ห้อง”
“ค่ะ ท่านแม่” สิ้นคำเสี่ยวจือก็เข็นยู่ออกไป
ทิ้งให้ไป่ยู่สับสนกับปริศนาความสัมพันธ์ของคนในสกุลนี้ งักฮัวหันมามองเขา นางยิ้มบางแต่แววตานั้นคล้ายกำลังร่ำไห้...