ตอนที่แล้วบทที่ 21 จุดอ่อนของปราณไร้ลักษณ์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 23 จุดอ่อนของฟาร์ชูลัน

บทที่ 22 กติกาในรอบ 8 คน


บทที่ 22 กติกาในรอบ 8 คน

กิจกรรมการแข่งขันในวันแรกจบลงอย่างรวดเร็วรวมระยะเวลาทั้งหมดสามชั่วโมงยี่สิบสองนาที คัดเลือกผู้เข้าแข่งขันเข้าสู่รอบถัดไปมาแปดคนตามกฎกติกาโดยไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน พอได้ผู้เข้ารอบมาแปดคนแล้วก็พบว่ามีจำนวนนักเรียนชายทั้งหมดห้าคน และนักเรียนหญิงทั้งหมดสามคนด้วยกัน

ฟาร์ชูลันมองดูรายชื่อทั้งแปดที่ปรากฏอยู่บนจอมอนิเตอร์ยักษ์ด้านบน ชื่อของเธอถูกแปะอยู่เป็นรายชื่อลำดับที่หนึ่งเพราะสามารถทำเวลาการแข่งขันได้รวดเร็วที่สุด ซึ่งเธอทำเวลาได้ในระยะเวลาเพียงหนึ่งนาทีสิบแปดวินาที ห่างจากลำดับที่สองที่ทำเวลาได้สิบสามนาทีสองวินาที และสามสิบหกนาทีห้าสิบสองวินาทีสำหรับลำดับที่สามเรียงกันมา

ระยะเวลาที่ฟาร์ชูลันทำไว้คือสถิติที่ทำลายทุกหน้าประวัติศาสตร์ที่เคยก่อตั้งสถาบันมา ทุกคนต่างก็คิดกันไปว่ามีกลโกงหรือความผิดพลาดทางเทคนิคอะไรหรือเปล่า แต่หลายคนที่ได้ชมการแข่งขันกลุ่มแปดสด ๆ ต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก’

                        ความเห็นของเหล่านักพากย์ นักวิเคราะห์ หรือบรรดาคนดังต่างก็พูดในความเห็นที่สอดคล้องไปในทางเดียวกันว่า

“นักเรียนที่ถูกสุ่มมาในกลุ่มที่แปดมีจำนวนเกรดหนึ่งสองสามมากถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนเกรดที่สูงขึ้นพอนำมารวมกันก็ได้แค่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือ ทั้งยังสุดที่เกรดหก ไม่มีเกรดเจ็ดหรือแปดอยู่ในกลุ่ม ดังนั้นจึงถือได้ว่าฟาร์ชูลันคนนี้โชคดีพอตัว”

                        “แม้จะเป็นแบบนั้นก็ยังสามารถเอาชนะนักเรียนเกรดหกได้ในระยะเวลาเท่านี้ ถือว่าเธอยังเป็นคนที่ประมาทไม่ได้อยู่ดี”

                        “นับเป็นนักเรียนใหม่ที่น่าสนใจที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์นับแต่ก่อตั้งโรงเรียนมา”

                        เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายต่างเทเข้ามาที่เรื่องของฟาร์ชูลันจนกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ของสถาบันไปหมดแล้ว ไม่มีที่ว่างให้นักเรียนเจ็ดคนที่เหลือจนดูเหมือนกับพวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นเพียงตัวประกอบสำหรับบันทึกครั้งยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์นี้

“โด่งดังขึ้นมาในวันเดียว สุดยอดจริง ๆ” ซิลเวอร์พูดถึงฟาร์ชูลันหลังจากที่อ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ดิจิตอลภายหลังจากผ่านพ้นเข้าสู่วันที่สองของการแข่งขัน เขาเอานิ้วจิ้มไปที่ปุ่มบนหน้าต่างดิจิตอลในรูปแบบโฮโลแกรมที่ลอยอยู่เหนือหัวนาฬิกาบนข้อมือ ก่อนที่หน้าต่างสีฟ้าพาสเทลจะพับเก็บตัวลงไป

หลังจากการแข่งขันเมื่อวานจบลง เขาก็แทบไม่มีเวลาพูดคุยกับฟาร์ชูลันเลย เนื่องจากมีนักข่าวมากมายวิ่งมาจะสัมภาษณ์เธอเกี่ยวกับผลการแข่งขันที่เธอสร้างไว้เป็นปรากฏการณ์ จนกระทั่งปัจจุบันที่อีกไม่นานจะได้เวลาแข่งขันรอบถัดไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าเธอหลบหนีพวกนักข่าวไปอยู่ที่ไหนกันแน่

ขณะเดียวกันนี้เอง ในห้องพักของผู้เข้าแข่งขันที่จัดตั้งอยู่ภายในจุดหนึ่งของสนามประลอง ฟาร์ชูลันนั่งมุดตัวอยู่ในห้องด้วยความเหนื่อยล้า ตามตัวมีเหงื่อไหลโทรมกายจนต้องนั่งนิ่งเพื่อพักปรับลมหายใจเป็นการด่วน เธอพึ่งจะวิ่งหนีพวกนักข่าวจนมาหลบอยู่ในห้องนี้ได้ไม่นานนัก ดีที่ห้องนี้มีสถานะเป็นห้องส่วนตัวของผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ทำให้นักข่าวตามเข้ามาไม่ได้

ภายในห้องประกอบไปด้วยโต๊ะยาวหลายโต๊ะ รวมถึงมุมสำหรับนั่งพักผ่อนและมีจอมอนิเตอร์ภายในห้องที่ฉายบรรยากาศลานประลองสำหรับผู้เข้าแข่งขันที่ยังไม่ได้ลงแข่ง หลังจากที่ฟาร์ชูลันเข้ามาที่นี่ได้ก็พบว่าเธอตกอยู่ภายใต้สายตาของผู้เข้าแข่งอีกเจ็ดคนที่เหลือ พวกเขามองดูเธอที่มีเหงื่อไหลชโลมไปทั่วทั้งตัวด้วยความรู้สึกสงสารเบา ๆ

แต่ไม่ทันไรก็มองเห็นเหมือนฟาร์ชูลันกำลังพึมพำอะไรบางอย่าง แล้วในพริบตาหลังจากที่ริมฝีปากหยุดลง ร่างกายกับเสื้อผ้าที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อก็กลับกลายมาเป็นสภาพปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมทุกประการ จะมีก็แต่อาการเหนื่อยหอบที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้

เวทมนตร์ช่างเหนือความคาดหมาย แม้กระทั่งเหงื่อก็ยังขจัดออกไปได้จนหมด ทุกคนคิดเป็นเสียงเดียวกันแบบนั้น

ข่าวเรื่องที่เธอคนนี้คือแม่มดนั้นแพร่กระจายไปทั่วสถาบันแล้ว ณ ปัจจุบันนี้คงจะไม่มีใครไม่รู้จักเธออีกต่อไป

“เป็นอะไรหรือเปล่า” หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งเดินเข้ามาถามเธอด้วยสีหน้าเป็นห่วง คน ๆ นี้คือหญิงสาวหนึ่งในสามคนที่ผ่านเข้ารอบนี้มาได้ มีชื่อว่าเฮเลน เธอผ่านเข้ารอบมาจากการได้รับชัยชนะในกลุ่มที่สามในระยะเวลาสี่สิบสองนาทีสามสิบเจ็ดวินาที และยังเป็นนักเรียนเกรดที่แปดของสถาบันลำดับที่หนึ่งอีกด้วย

“เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ฟาร์ชูลันเมื่อเริ่มปรับลมหายใจได้ก็ตอบกลับไป จะอย่างไรอีกฝ่ายก็ถือเป็นรุ่นพี่ที่พึ่งจะรู้จักหน้าค่าตากัน จึงต้องทักทายกลับอย่างสุภาพ

“นี่ ๆ ถามอะไรหน่อยสิ” ทันใดก็มีหญิงสาวอีกคนเดินเข้ามา “ไอ้การกวาดเรียบในหนึ่งนาทีเนี่ยทำได้ไง เหลือเชื่อสุด ๆ” เธอถามฟาร์ชูลันด้วยสีหน้าสงสัยจริงจัง แววตาใคร่รู้จับจ้องมาทางเธอชนิดที่ไม่มีทางปล่อยวางเรื่องนี้ลงได้

“เดี๋ยวเถอะเซรีน คนเขาพึ่งจะหนีจากนักข่าวข้างนอกมาได้ ยังต้องมาเจอกับนักข่าวในห้องอีกเหรอ” เฮเลนแอบประชดหญิงสาวอีกคนจนเธอทำหน้าบูดบึ้งใส่ เซรีนคือคนที่ผ่านเข้ารอบมาจากกลุ่มที่เจ็ดซึ่งใช้เวลาการแข่งทั้งหมดสองชั่วโมงสี่สิบสามนาที และอยู่ในเกรดแปดเช่นเดียวกับเฮเลน

ความจริงนอกจากฟาร์ชูลันแล้ว ทุกคนล้วนมาจากเกรดแปดด้วยกันทั้งนั้น จะมีก็แต่เธอที่ยังเป็นเกรดหนึ่งเพียงคนเดียว

“ก็คงจะใช้เล่ห์กลอะไรสักอย่างล่ะมั้ง”

แล้วเสียงที่ฟังดูไม่มีเจตนาดีก็ลอยผ่านเข้ามา เจ้าของเสียงคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ทรงผมชี้ตั้งสีดำ ดวงตาคมกล้าเยี่ยงชาติบุรุษนักรบ เขาคนนี้มีนามว่าเรเนลเลี่ยน แน่นอนว่าเป็นนักเรียนจากเกรดแปดเช่นกัน

“เราทุกคนต่างก็ย้อนดูรีเพลย์การแข่งขันกันหมดแล้วนี่ ก็เห็นพ้องต้องกันหมดว่าไม่มีอะไรผิดปกติ” เฮเลนท้วงกลับไป นั่นทำให้สีหน้าของเรเนลเลี่ยนดูไม่พอใจมากขึ้น

“เหอะ พวกเราในที่นี้มีใครรู้จักเวทมนตร์บ้างล่ะ?” ทุกคนนิ่งเงียบทันใด “คำตอบคือไม่มีใช่มั้ยล่ะ ก็นั่นแหละ เวทมนตร์ที่เราไม่รู้จักมันอาจจะทำให้เหตุการณ์จริงบิดเบือนไปก็ได้ ใครจะไปรู้”

คำพูดของเรเนลเลี่ยนแม้ไม่มีมูลความจริง แต่ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าจอมปลอม

เนื่องจากเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็ไม่รู้ ดังนั้นในความที่ไม่รู้นี้จึงเป็นได้ทั้งจริงและไม่จริง ส่งผลให้เกิดกระแสความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศภายในห้องโดยทันที

“ก็จริงอยู่...ฉันคงไม่มีอะไรจะพิสูจน์ว่ามันจริงหรือไม่จริง” และแล้วฟาร์ชูลันก็ที่เงียบฟังอยู่นานก็พูดขึ้นมาจนได้

“แต่ต่อให้เป็นสิ่งที่ฉันไม่รู้ฉันก็คงไม่ไปทำตัวเสียมารยาทเพื่อพูดออกมาว่ามันเป็นเล่ห์กลทั้งที่ไม่มีหลักฐานหรอก” คำพูดของฟาร์ชูลันเสียดแทงเข้าไปในใจจนเรเนลเลี่ยนมีสีหน้าที่น่าเกลียดมากขึ้น

“เจ้าพูดว่ายังไงนะ!”

“เฮ้อ นี่ส่วนใหญ่คนที่นี่มีแต่คนอีคิวต่ำรึไง พูดอะไรนิดอะไรหน่อยก็ว่ายังไงนะ ๆ กันหมดทุกคน” สีหน้าของฟาร์ชูลันเต็มไปด้วยความเอือมระอา “นี่ขนาดอยู่เกรดแปดยังมีวุฒิภาวะทางอารมณ์แค่นี้ ไม่อายเด็กอายุสิบแปดอย่างฉันบ้างหรือไง?”

“เจ้าจะนึกเสียใจแน่ที่พูดแบบนั้นออกมา” เรเนลเลี่ยนกล่าวพร้อมหันหลังกลับไปนั่งที่มุมหนึ่งของห้องทันที

มีเสียงหัวเราะคิกคักจากปากสองสาวเฮเลนกับเซรีนดังขึ้นใกล้ ๆ

“เป็นการต่อปากต่อคำที่เจ็บแสบที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาเลย เจ้านี่ใช้ได้นะ”

“ไม่ขนาดนั้นหรอก” เมื่อตอบกลับเฮเลนไปเธอก็กลับมานั่งปรับลมหายใจตัวเองอีกครั้ง

เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงสิบนาทีจะเริ่มต้นการแข่งขันในรอบที่สองแล้ว ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต่างก็รอคอยเวลาเริ่มต้นการแข่งขันกันอย่างใจจดใจจ่อ บางคนฝึกซ้อมและวอร์มร่างกายจนเกือบจะถึงวินาทีสุดท้าย บางคนก็คุยเล่นสัพเพเหระเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ก่อนจะเริ่มต่อสู้จริง

แล้วสิบนาทีอันแสนรวดเร็วก็ผ่านพ้นไป...

เมื่อผู้เข้าแข่งขันทั้งแปดคนเดินขึ้นมาบนสนามประลองก็ได้ยินเสียงผู้ชมบนโซนคนดูส่งเสียงเชียร์ดังกึกก้องจนรู้สึกเหมือนลานประลองกำลังสั่นสะเทือน บางคนในหมู่ผู้เข้าแข่งขันยกมือขึ้นทักทายเหล่าคนดูที่ส่งเสียงเชียร์เข้ามา พอเห็นแบบนั้นก็รู้ว่าในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันบางคนที่ผ่านเข้ามานี้มีชื่อเสียงมาก่อนพอตัว

“กรี๊ดดด ท่านเฮเลน!”

“อ๊า คุณเซรีนสบตาข้าด้วยล่ะ!”

“ไอ้เรเนลเลี่ยนขี้เก๊ก ตกรอบไปซะเอ็ง!”

“เมื่อกี้เสียงใครวะเฮ้ย!”

เรเนลเลี่ยนตะโกนกลับไปตามทิศทางหนึ่งอย่างเดือดดาล สร้างเสียงหัวเราะให้กับบางคนในที่นี้เป็นอย่างมาก

“การแข่งขันในรอบนี้จะเป็นการแข่งแบบพบกันหมดทุกคน โดยจะใช้พื้นที่สนามประลองทั้งหมดเป็นฉากในการแข่งขันเพื่อค้นหาว่าใครจะได้รับคะแนนสูงที่สุดสี่คนเพื่อก้าวเข้าไปสู่รอบถัดไป” ผู้บรรยายบอกกฎกติกาการแข่งขันทันทีเมื่อเห็นว่าผู้เข้าแข่งขันพร้อมกันหมดแล้ว “โดยรูปแบบของสนามแข่งขันที่จะใช้ก็คือ”

“ป่าบนหุบเขา”

                        เมื่อสิ้นเสียงผู้บรรยาย สนามประลองที่ถูกปูพื้นด้วยกระเบื้องสีอ่อนก็ค่อย ๆ กลายสภาพเป็นพื้นที่รูปแบบป่าบนหุบเขา ซึ่งมีทั้งจุดรกชัฏและจุดที่เป็นลานกว้าง ๆ ผสมกันไปแล้วแต่พื้นที่ และเมื่อรู้ตัวอีกทีผู้เข้าแข่งขันทั้งแปดคนก็ถูกระบบจับสุ่มให้ไปอยู่ในพิกัดที่แตกต่างกันเสียแล้ว

“ทุกคนจะประจำการอยู่ในเขตของตัวเอง และมีหน้าที่ต้องปกป้องอัญมณีประจำพื้นที่ของตนเองเอาไว้ ถ้าหากถูกแย่งชิงไปจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้คะแนนห้าสิบคะแนน” มีภาพของอัญมณีสีแดงปรากฏขึ้นตามจุดต่าง ๆ ที่ผู้เข้าแข่งขันยืนอยู่ใกล้ ๆ “ในขณะเดียวกันทุกคนก็ต้องหาทางชิงอัญมณีของอีกฝ่ายมาให้ได้เช่นกัน”

“คะแนนจากการช่วงชิงอัญมณีจะมีทั้งหมดห้าสิบคะแนน การโค่นฝ่ายตรงข้ามลงจะได้รับยี่สิบคะแนน การไม่เสียอัญมณีตลอดจนจบการแข่งขันจะได้รับเพิ่มยี่สิบคะแนน และตลอดทุกห้าถึงสิบนาทีของการแข่งขันจะมีเขตแดนพิเศษปรากฏขึ้นบนพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งแบบสุ่ม การไปยืนอยู่บนพื้นที่นั้นเป็นเวลาหนึ่งนาทีครึ่งจะสามารถยึดครองพื้นที่นั้นและได้รับคะแนนทั้งหมดห้าถึงสิบคะแนนตามขอบเขตของพื้นที่ดังกล่าว”

ภาพบนจอมอนิเตอร์ยักษ์ด้านบนค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละภาพตามเสียงของผู้บรรยายสด ทำให้ผู้รับชมค่อย ๆ ซึมซับกติกาการแข่งขันในรอบนี้ไปทีละจุด ๆ จนเข้าใจ

“และที่สำคัญคือผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะถูกหักคะแนนทันทีถ้าหากตกอยู่ในกรณีดังต่อไปนี้ หนึ่งคือเสียอัญมณีที่ตัวเองปกป้องจะถูกหักลบไปห้าสิบคะแนน สองคือการถูกเอาชนะโดยผู้เข้าแข่งคนอื่นจะถูกหักลบไปอีกยี่สิบคะแนนเช่นกัน หากผู้เข้าแข่งขันคนไหนรู้ตัวว่าตัวเองมีคะแนนน้อยที่สุดจะต้องรีบหาวิธีการดึงเอาคะแนนกลับมา ขอให้ทุกคนโชคดี!”

เมื่อการบรรยายสิ้นสุดลง การแข่งขันก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า

เก็บคะแนนให้ได้มากที่สุดและปกป้องคะแนนของตัวเองอย่างงั้นสินะ

                        ฟาร์ชูลันคิดเรื่องกติกาอยู่เงียบ ๆ เธอยืนอยู่บนโซนพื้นที่โล่งกว้างซึ่งฉากหลังมีก้อนหินยาวใหญ่กว่าร้อยเซ็นเรียงรายทับกันจนกลายเป็นภูเขาก้อนหิน และตรงจุดกึ่งกลางในช่องแคบที่เป็นรอยต่อของก้อนหินพวกนั้นมีแสงสีแดงสะท้อนแสงแวววาวออกมา นั่นก็คืออัญมณีที่ฟาร์ชูลันต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้

“กติกาการแข่งขันมีอยู่ว่า ปกป้องอัญมณีของตัวเอง และชิงอัญมณีของคนอื่นจึงจะได้รับคะแนนสูงที่สุด การโค่นอีกฝ่ายจะได้คะแนนรองลงมา ถ้างั้นจะเคลื่อนไหวยังไงดีนะ เพราะถ้าออกจากพื้นที่ก็มีสิทธิ์โดนแย่งชิงอัญมณีสูง แต่ถ้าไม่เคลื่อนที่เลยก็ไม่มีทางไปชิงอัญมณีจากคนอื่นได้” พอมาคิดดี ๆ ก็พบจุดขัดแย้งในกติกาการแข่งขันอย่างเห็นได้ชัด “การออกแบบกติกาการแข่งขันรอบนี้มันดูแปลก ๆ พิกล”

สีหน้าของฟาร์ชูลันเต็มไปด้วยความสงสัย

ขณะเดียวกับที่เธอนิ่งคิดอยู่นี้ ผู้ชมที่ดูการแข่งขันที่ฉายอยู่บนจอมอนิเตอร์ก็พบเห็นความเคลื่อนไหวของผู้เข้าแข่งขันในแต่ละกลุ่มแล้ว พวกเขาส่งเสียงฮือฮาเมื่อมองเห็นการเคลื่อนไหวของผู้เข้าแข่งขันบางคนบนจอมอนิเตอร์ยักษ์นั่น ในขณะที่ผู้เข้าแข่งขันจะไม่มีทางได้ยินเสียงเหล่านั้นเลย เพราะมีการปล่อยบาเรียพิเศษครอบคลุมพื้นที่การแข่งขันเอาไว้ ชนิดที่ไม่มีเสียงเล็ดลอดเข้าออกได้แน่นอน

ฟาร์ชูลันยังคงไม่เคลื่อนไหวไปไหน เธอพึ่งจะนึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ที่นี่

‘การออกแบบกติกาการแข่งขันครั้งนี้...มันดูเหมือนเป็นการออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันร่วมมือกันมากกว่าจะเคลื่อนไหวคนเดียวไม่ใช่เหรอ’

                        ให้คนหนึ่งคอยเฝ้าดูอัญมณีไว้ และมอบหมายให้อีกคนไปทำหน้าที่แย่งชิงมา หรือไม่ก็เคลื่อนไหวพร้อมกันอย่างเป็นระบบเพื่อขยายพื้นที่ของตัวเอง ทำเวลาให้เร็วที่สุดเพื่อชิงคะแนนให้ได้มากที่สุดแล้วผ่านเข้ารอบไปด้วยกัน กระบวนการคร่าว ๆ ก็มีประมาณนี้ แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าการแข่งขันครั้งนี้มันเป็นการแข่งขันแบบเดี่ยว ดังนั้นการจะร่วมมือกันได้จำเป็นจะต้องรู้จักหรือเตรียมการกันมาก่อนหน้านั้น

ในขณะที่ฟาร์ชูลันยังทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการแข่งขันอยู่นั้น เธอไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนก้าวเข้ามาใกล้ในระยะที่ห่างไม่เกินสามร้อยเมตรแล้ว ตรงจุดนั้นคือพุ่มหญ้าหลังต้นไม้ที่เป็นจุดอับสายตา แต่ถ้าหากมองลอดผ่านช่องแคบระหว่างพุ่มไม้มาได้จะเห็นตัวอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

ตรงพุ่มหญ้านั้นมีคนอยู่สองคนด้วยกัน

“อยู่คนเดียวจริง ๆ ด้วย” คนหนึ่งพูดขึ้น

“อืม ทำตามแผน กำจัดยัยนี่ก่อนคนแรก”

ทั้งสองคุยตกลงกันก่อนจะหันไปมองทางขวาที่ห่างไกลออกไปอีกหน่อย ตรงจุดเหนือกิ่งไม้ขึ้นไปมีร่างของคนอีกคนยืนเกาะลำต้นอยู่ตรงนั้น ทั้งสองฟากฝั่งพยักหน้าให้แก่กันเหมือนเป็นการส่งสัญญาณการบุกจู่โจม

“โอ้! ดูนั่นสิครับ ทั้งสามคนนั้นกำลังร่วมมือกันเพื่อกำจัดผู้เข้าแข่งขันฟาร์ชูลัน! นี่เป็นการร่วมมือกันที่เกินความคาดหมายจริง ๆ!” เสียงของผู้บรรยายดังขึ้นราวกับไม่เชื่อสายตาตนเองเช่นกัน

แน่นอน เป็นใครก็คาดไม่ถึง แต่ในเมื่อกติกาถูกออกแบบมาแบบนี้ก็มีคนที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าหากร่วมมือกันล่ะก็ คงจะกวาดคะแนนได้เร็วกว่า และมันไม่มีกฎข้อไหนห้ามไม่ให้ผู้เข้าแข่งขันร่วมมือกันซะด้วย เพราะยังไงซะก็เข้ารอบสี่คนอยู่ดี จากนั้นค่อยมาตัดสินกันอีกทีก็ยังไม่สาย จริงมั้ย

ผู้ชมบนสนามส่งเสียงเฮลั่น บ้างพอใจ บ้างไม่พอใจ ส่วนหนึ่งที่พอใจจะมาจากการที่ได้เห็นคนที่ตัวเองชื่นชอบกำลังทำการใหญ่อย่างจริงจัง ส่วนที่ไม่พอใจจะมาจากการที่ได้เห็นการร่วมมือที่ไม่มีความยุติธรรมเลยสักนิดเดียว

บนสนามแข่งขันในขณะนี้ ฟาร์ชูลันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เธอไม่ได้ก้าวขาเดินออกมาแต่กลับหันหลังเดินไปหาก้อนหินที่มีอัญมณีสีแดงของตนซ่อนอยู่ หญิงสาวทาบฝ่ามือลงไปบนก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะบริกรรมคาถาเวทมนตร์เบา ๆ ออกมา ไม่นานนักก็ปรากฏพื้นที่ทรงกลมครอบคลุมก้อนหินจำนวนมากเหล่านั้นไว้

“ดูเหมือนว่าผู้เข้าแข่งขันฟาร์ชูลันจะใช้เวทมนตร์บางอย่างทำให้เกิดบาเรียปกป้องอัญมณีของตัวเองเอาไว้นะครับ!”

ผู้บรรยายยังคงดำเนินหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างต่อเนื่อง

“เอาล่ะ ต่อไปก็...” ฟาร์ชูลันเอามือทาบลงไปที่พื้น ปรากฏวงแหวนเวทรูปดาวห้าแฉกขยายตัวออกมาจากใต้ฝ่ามือ ส่งแสงเรืองรองออกมาเจิดจ้าจนชวนให้แสบตา

สีหน้าของฟาร์ชูลันเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว

พร้อมกันนั้นเธอก็ดีดตัวถอยกลับไปด้านหลังในทันที มีเสียงฉึก! ดังขึ้นต่อเนื่องกว่าสามครั้ง เมื่อมองกลับไปก็พบว่าตรงจุดที่เธอเคยอยู่มีอาวุธลับสามชิ้นปักคาไว้กับพื้น และไม่รอให้จังหวะเสียเปล่า เหนือเวหาขึ้นไปมีฝูงอาวุธลับจำนวนมากหล่นลงมาราวกับห่าฝนย่อม ๆ

ฟาร์ชูลันหยิบเอาการ์ดในกระเป๋าเสื้อออกมาใบหนึ่งก่อนจะโยนเข้าใส่ฝูงอาวุธลับพวกนั้น การ์ดใบนั้นเมื่อบินไปถึงจุดหนึ่งก็ส่องแสงและกลายสภาพเป็นบาเรียที่มีพื้นที่ครอบคลุมอาณาเขตตรงส่วนที่อาวุธลับเทลงมา ส่งผลให้อาวุธลับจำนวนมากถูกดีดกระจายออกไปและไม่มีชิ้นไหนเล็ดลอดมาหาฟาร์ชูลันได้เลย

และยังไม่มีการรีรออะไรทั้งนั้น ฟาร์ชูลันหยิบการ์ดออกมาเพิ่มถึงสามใบ เธอโยนการ์ดขึ้นไปบนฟ้าหนึ่งใบ โยนไปทางทิศป่าหนึ่งใบ และอีกหนึ่งใบโยนใส่พื้นเบื้องหน้าตนเอง

การ์ดที่โยนขึ้นไปบนฟ้ากลายสภาพเป็นก้อนแสงสว่างที่เปลี่ยนตัวเองเป็นเส้นแสงสีน้ำเงินคราม แสงนั้นพุ่งตัวเข้าหาต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากตรงนี้ราวหกร้อยเมตร ส่วนการ์ดที่โยนเข้าไปในป่านั้นมีเป้าหมายที่พงหญ้าพงหนึ่ง พอการ์ดใบนั้นหายเข้าไปในพงหญ้าก็ปรากฏแรงระเบิดขึ้นฉับพลัน การ์ดสองใบส่งผลลัพธ์การโจมตีเป็นเสียงที่ดังกัมปนาทกึกก้องจนป่าทั้งสองแถบนั้นถูกเป่ากระจายหายไปจนหมด

การ์ดที่โยนลงพื้นกลายสภาพเป็นบาเรียครอบคลุมร่างของฟาร์ชูลันเอาไว้จนมิด ช่วยปกป้องเธอจากแรงระเบิดที่สร้างขึ้นเมื่อสักครู่

มีเงาร่างของคนสองคนร่อนตัวลงมาใกล้ ๆ ในสภาพที่สะบักสะบอมไปด้วยฝุ่นดินและเศษไม้ ส่วนอีกคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ยิ่งกว่า รายนั้นโดนต้นไม้ทับขาจนต้องเสียเวลารีดเร้นพลังปราณเพื่อทำลายต้นไม้ต้นนั้นก่อนจะรีบลุกขึ้นมายืนจนได้

ผู้ปรากฏกายออกมาคือหญิงสาวสองคนที่คุยกับฟาร์ชูลันเมื่อช่วงเตรียมตัว

เฮเลนกับเซรีน และไกลออกไปอีกหน่อยก็เป็นผู้ชายที่ฟาร์ชูลันพยายามนึกชื่ออยู่

“อย่างที่คิดจริง ๆ กติกามันออกแบบมาเพื่อให้ร่วมมือกันจริงด้วย แต่ก็ไม่นึกว่าจะโดนรุมจริง ๆ ซะได้”

แม้จะกล่าวแบบนั้นแต่สีหน้ากลับมีแววยิ้มเยาะราวกับต้องการเย้ยหยันทั้งสามคนที่โดนเปิดเผยตำแหน่งทั้งยังโดนโจมตีใส่จนสะบักสะบอมแบบนี้ ไม่ว่าจะมองดูจากมุมไหนก็เห็นได้ว่าทั้งสามคนตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบมากกว่าจะได้เปรียบจากการรุม

ใบหน้าของเซรีนบิดเบี้ยวไม่เหลือเค้าเดิม ในขณะที่เฮเลนยังคงตีสีหน้าเรียบนิ่งเพื่อรักษาความเยือกเย็นเอาไว้

“ยัยหนู! อย่าได้หวังจะพ่ายแพ้แบบครบสามสิบสองเลย!”

“ก็ไม่ได้หวังจะพ่ายแพ้สักหน่อยนี่นา พวกเธอต่างหากล่ะ ไหน ๆ ก็ใช้วิธีขี้ขลาดทั้งที บุกเข้ามาพร้อมกันเลยเถอะ”

สิ้นเสียงกล่าว การต่อสู้ก็เปิดฉากขึ้น!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด