บทที่ 16 ถ้าเราไม่ตายแล้วใครจะตายกันล่ะ อิอิ
บทที่ 16 ถ้าเราไม่ตายแล้วใครจะตายกันล่ะ อิอิ
“อย่าวิ่ง ก้มหัวต่ำ ๆ แล้วค่อย ๆ เดินมาทางนี้”คำแนะนำจากชายหนุ่มแปลกหน้า ทำเอาผมที่เตรียมจะวิ่ง ต้องก้มลงไปคลานบนพื้นในแบบฉบับที่ได้ฝึกมาจากค่าย ร.ด. สมัยเรียนม.ปลาย จนทำให้ทีน่าที่อยู่ใกล้ ๆ ต้องก้มมาคลานเป็นเพื่อนอย่างงง ๆ
“ทำไมเราต้องคลานล่ะ ข้าว่าเรารีบเดินกันเถอะ” ระหว่างเธอพูด ทีน่าก็ยังคลานตามผมมาติด ๆ
“ไม่ ทีน่า ศัตรูมีปืนเราต้องคลาน!” ในหนังบู๊หลาย ๆ เรื่องเวลาศัตรูมีปืนทุกคนจะต้องก้มต่ำโดยอัตโนมัติรู้ไหม
“แต่มันมีดาบด้วยนะ...”
“งั้นเราต้องเพิ่มสปีดการคลาน ฮึบ” ว่าเสร็จผมก็คลานไวขึ้นกว่าเดิม 3 เท่า ไม่รู้ว่าบอสลับตัวนั้นมันอนาถใจกับท่าคลานของพวกผมสองคนหรืออะไร มันเลยเอาแต่เดินวน ๆ ไปมาอยู่กับที่และไม่เริ่มโจมตีต่อสักที จนผมกับทีน่าคลานมาถึงห้องที่ชายแปลกหน้ายืนเต๊ะท่าคาบซิการ์อยู่
“ที่จริงพวกเจ้าไม่ต้องคลานก็ได้ แค่ก้มต่ำกว่าระดับเอวเป็นใช้ได้” ชายหนุ่มในชุดเกราะหนัง กดหมวกคาวบอยลงต่ำอีกระดับ และทำการปิดประตูไม้กลับดังเดิม
“เอ่อ ขอบคุณนะครับพี่ชาย ช่วยได้มากเลย” ถ้าไม่ได้พี่ชายสุดเท่คนนี้ช่วย โควตาตายสามครั้งของผมคงจะหมดไปหนึ่งเป็นแน่แท้
ชายหนุ่มตรงหน้าโบกมืออยากไม่ใส่ใจนัก “นักผจญภัยเหมือนกันก็ต้องช่วยกันสิ ข้าดูจากท่าทางแล้ว เหมือนพวกเจ้าสองคนจะไม่รู้จักบอสลับตัวนั้นก็เลยช่วยบอก”
“ยังไงก็ขอบคุณมาก ผมชื่อภา ส่วนเอลฟ์ข้าง ๆ ผมชื่อทีน่า” เมื่อผมชี้มือไปทางเอลฟ์สาวหนึ่งเดียวในห้อง ทีน่าก็ยกมือขึ้นทักทาย ก่อนจะกล่าวขอบคุณออกมาอีกเสียง
“ข้าชื่อ แฟรงกลิน พวกเจ้าเป็นคู่รักที่แปลกดีนะ” แฟรงกลินพูดกลั้วหัวเราะ ขยับหมวกปีกกว้างขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหน้าคู่สนทนาให้ชัดเจน โฮ่...ไอ้น้องนี่ก็ใช่ย่อย หน้าตาบ้าน ๆ แต่คว้าเผ่าพันธุ์แสนงดงามและหยิ่งทะนงมาเป็นเมียได้ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปตบไหล่น้องชายตรงหน้าเบา ๆ สองที พร้อมพยักหน้าไปด้วยอย่างภูมิใจ
คำแซวจากปากของแฟรงกลิน ทำเอาผมและทีน่าโบกไม้โบกมือตอบปฏิเสธกันเป็นพัลวัล
“ไม่ใช่ ๆ พวกเราเป็นเพื่อนกันเฉย ๆ”
“อ๋อ...” เสียงอ๋อสุดจะยานคาง ดังออกมาเสมือนว่าผู้พูดไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด ทำเอาผมอดที่จะส่งสายตาดุ ๆ ไปหาทีน่าเป็นนัยว่า ‘เพราะเธอนั่นแหละ ตะโกนบ้าอะไรออกมากลางฝูงชนฟะ!’
ต้องบอกไว้ก่อนว่าสภาพในห้องที่เข้ามาหลบภัยชั่วคราว มันมีขนาดเล็กเท่าแมวดิ้นตาย ไหนจะมีลังไม้วางระเกะระกะกระจายรกไปทั่วห้องอีก
“อุ๊บ อิอิ ข้าวใหม่ปลามัน สด ๆ ร้อน ๆ ก็งี้แหละ หุหุ” เสียงกลั้นขำของเดอนี่และแดริลคู่หูต่างไซต์ ที่นั่งห้อยขาอยู่บนลังไม้ชั้น 2 ดังขึ้นเหนือหัวพวกเราสามคน พวกมันหลบมาอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่ผมเริ่มคลานบนพื้นแล้ว ไอ้พวกจ้างเสียเงินฟรี กล้าทิ้งนายท่านของพวกเอ็งไว้กับบอสลับได้ยังไง
คิ้วขวาผมกระตุกยิก ๆ ตั้งแต่ได้ยินเสียงหัวเราะปวดประสาทของเดอนี่ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองพวกมันตาขวาง ยัง ยัง มันยังไม่หยุดล้ออีก
“เมื่อครู่พี่ชายท่านนี้บอกให้เดิน เจ้าดันคลาน”
“สมแล้วที่เป็นมือใหม่ เจอบอสครั้งแรกก็แบบนี้ล่ะนะ หุหุ”
ฟังจากคำล้อเลียนดูเหมือนว่าจะยังรื่นเริง ไม่เกรงใจนายจ้างหัวดำ ๆ อย่างผมเลยสักนิด
“พวกเอ็งอยากโดนสักหมัดไหม?” ผมชูกำปั้นขึ้นมาข่มขู่ไอ้สองตัวชวนปวดประสาทอย่างเหลืออด กะจะเข้าไปกระทืบแม่งแล้ว แต่ทีน่าเอาแขนมาล็อกคอและดึงผมไปกอดไว้ซะก่อน
“รู้ไหมเมื่อกี้ข้ากลัวแทบตาย กว่าจะวิ่งหลุดออกมาจากพื้นที่ลับได้ แต่พอวิ่งหนีออกมาจู่ ๆ ข้าก็เจอเจ้าทันที เจ้ารับรู้ว่าข้ากำลังตกอยู่ในอันตรายผ่านทางกระแสจิต จึงมาช่วยข้าสินะ!” สาวเอลฟ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ น้ำตาแทบรินไหล
“จะบ้าเหรอ ใครมันจะไปมีกระแสจิตฟะ ปล่อยเลยนะ” ผมพูดเสียงอู้อี้ ดิ้นอยู่ในอ้อมอกแม่เอลฟ์สาวทีน่าที่สูงมากกว่า 180 CM ใช่สิ ผมมันสูงแค่หน้าอกเธอเอง ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่เกิดมาเตี้ยกว่าเอลฟ์ ถึงอกเธอจะไม่ใหญ่เท่าชาล็อต แต่รับประกันได้ว่าของทีน่าต้องไม่ต่ำกว่าคัพ C ส่วนชาล็อตนั้นต้องคัพ F แน่ ๆ ผมมั่นใจ
แต่คัพ C ไม่ทำให้ผมหวั่นไหวหรอกน่า ผู้ชายส่วนมากไม่ได้ชอบสาวที่สูงกว่าหรอกนะ มันดูไม่สมศักดิ์ศรี!
อั๊ก!! นุ่มฉิบ...
กว่าผมจะหลุดออกมาจากอ้อมอกเธอ กว่าไอ้สองตัวนั่นจะล้อผมกับทีน่าเสร็จ ก็ปาไปหลายนาที นี่มันใช่สถานการณ์ของคนที่มีบอสลับดักรออยู่หน้าห้องรึไงฟะ อันที่จริงผมมีเรื่องสงสัยอยู่นานแล้ว ผมกวาดตามองทีน่าตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า “นี่เธอไปลากบอสลับมาจากไหนกัน”
ทีน่ากะพริบตาปริบ ๆ และเริ่มบิดตัวไปมาก่อนจะพูดอ้อมแอ้มเสียงเบา “คือ...ข้า ข้าสู้ ๆ อยู่ก็เผลอไปเจอห้องลับเข้า ตอนแรกข้านึกว่าเป็นห้องสมบัติ แต่พอเปิดเข้าไปมันดันกลายเป็นห้องบอสลับ”
คำตอบของเธอทำเอาทุกคนถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียง จนทำเอาสาวงามเพียงหนึ่งเดียวในห้องส่งสายตาค้อนออกมาวงเบ้อเร่อ “ท่าทางแบบนั้นมันอะไรกัน ช่วงนี้ข้าแค่จนเกินไปหน่อย พอเจอห้องลับก็เลยหน้ามืด”
“อะไรกัน เมื่อวานผมพึ่งฝากเงินค่าเสื้อไว้กับชาล็อตเอง ใช้หมดแล้ว?” ผมได้ยินแบบนั้นเลยเผลอพูดออกมาเสียงสูง
“จะบ้าเหรอ เรื่องที่ให้คืนค่าเสื้อนั่นข้าพูดเล่นเถอะ ข้าจ้างเจ้ามาช่วยนาตาเลียก็ต้องจ่ายเงินให้เจ้าอยู่แล้ว” ทีน่ายืดตัวขึ้นและกอดอก “เพราะงั้นหลังจากฝากเงินค่าจ้างของเจ้าไว้ที่ชาล็อตเมื่อวาน ข้าก็เลยหมดตัวอย่างที่เป็นอยู่นี่ไงเล่า”
“แล้วจะฝากชาล็อตไว้ทำไมเล่าเมื่อวานเราก็เจอกัน”
“ก็ใครจะรู้เล่า ข้ากินขนมอย่างเพลิน ๆ พอมองหาเจ้าอีกทีก็หายตัวไปไหนไม่รู้แล้ว”
“เอาเถอะ ๆ เรื่องมันเกิดไปแล้ว เป็นสามี...” แฟรงกลินพูดได้แค่นั้นก็โดนสายตาอาฆาตของผมจับจ้อง จนต้องเงียบปากไป ใครเป็นสามีฟะ ตูรู้นะ เอ็งจะพูดว่า สามีภรรยาอย่าทะเลาะกันน่ะ
“อะแฮ่ม ที่จริงข้าจะพูดว่า ปัญหาของพวกเราคือต้องหาทางฆ่ามัน” แฟรงส่ายหน้าเบา ๆ อย่างช่วยไม่ได้ ที่อดล้อหนุ่มสาวตรงหน้า “อย่างที่รู้กันว่า ถ้าบอสลับไม่ตายเราก็ออกจากดันเจี้ยนชั้นนี้ไม่ได้ แถมยังไม่มีใครสามารถเข้ามาในดันเจี้ยนชั้น 4ได้จนกว่าบอสลับจะตาย หรืออีกกรณีหนึ่งคือพวกเราตายกันหมด”
สถานการณ์ตอนนี้มันโหดขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้างั้นแล้วทำไมไม่ช่วยกันฆ่าบอส แต่เสือกวิ่งหลบเข้ามุมกันหมดเล่า สายตางง ๆ ของผมคงทำให้พี่เลี้ยงหน้าใหม่มือโปร อย่างแดริลและเดอนี่เกือบจะกลิ้งตกลงมาจากลังไม้ โทษที ทำไงได้ล่ะ ก็ผมไม่ใช่คนของโลกแฟนตาซีนิ
“โอย ข้าชักจะปวดกระบาล เจ้าหมูอธิบายทีซิ” แดริลยกมือผอมเกร็งขึ้นนวดขมับ
“อิอิ ได้ ๆ ข้าอธิบายเอง ตอนแรกข้าถึงได้บอกไง ว่าคนรักของเจ้าสุ่มบอสลับออกมาได้ดีมาก ถ้าเป็นบอสลับอีกสองตัวคงมีคนรุมฆ่ามากกว่าวิ่งหนีเหมือนตอนนี้ จะว่าอะไรได้ใคร ๆ ก็รักชีวิตกันทั้งนั้น เมื่อมองดูแล้วไม่มีแววชนะ” เจ้าอ้วนเดอนี่หยิบคุกกี้ในย่ามสีน้ำตาลข้างเอวออกมานั่งแทะ
“ไม่ใช่คนรักเฟ้ย เพื่อนน่ะ เพื่อน แล้วนายจะบอกว่าชั้นนี้มีบอสลับ 3 ตัว?”
“ใช่ แต่ไอ้เจ้าตัวนี้เป็นบอสลับ แล้วก็ยังมีชื่อเสียงเรียงนามเป็นของตัวเอง ที่สำคัญคือมันพูดได้ เอ่อ ถึงจะพูดได้คำเดียวก็เถอะ” แดริลพูดเสริม เมินเรื่องสถานะอันสับสน ระหว่างนายจ้างที่โคตรอ่อนเรื่องดันเจี้ยน กับเอลฟ์สาวแสนสวยอย่างขอไปที พวกปากแข็งก็งี้แหละ เธองามขนาดนี้เป็นข้านะ...ไปนานแล้ว!
อื้อหื้อ นี่แค่ดันเจี้ยนแรกชั้น 4 เองนะ นอกจากจะมีห้องลับ บอสลับ ยังมีการสุ่มบอสลับด้วยเว้ย
“ง่ำ ๆ ข้าดูจากสีหน้าเจ้าแล้ว เหมือนเจ้าจะไม่เข้าใจ” เดอนี่เคี้ยวคุกกี้ในปากอย่างไม่หยุดพักแม้ในเวลาพูด สมแล้วที่มันอ้วนถ้าไม่ได้ถือโล่มันก็กินแทบจะตลอดเวลาจริง ๆ
“ง่ำ ๆ มือใหม่ เจ้าต้องรู้ไว้ประดับสมองเลยนะ อิอิ เมื่อสัตว์ประหลาดมี 3 สิ่งนี้อยู่มันจะเก่งขึ้นกว่าระดับจริง ๆ ไปมากโข หนึ่ง มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ สอง พูดภาษาคนได้ สาม มีชื่อเป็นของตัวเอง และเจ้าตัวนี่ก็มีชื่อว่า รูสเวล ประวัติยาวเหยียดชนิดเล่า 1 ตอนก็ยังไม่จบเพราะงั้นข้าจะข้ามมันไป ง่ำ แล้วก็ ถึง ...บลา ๆ ๆ ๆ”
ไอ้ผมก็พยายามจะตั้งใจฟัง แต่เสียงเคี้ยว ง่ำ ๆ ของมันทำเอาฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องจนต้องหันหน้าไปหาเจ้าผอมแดริล ส่งสายตาเป็นนัยให้มันช่วยอธิบายแทนที
แดริลที่เห็นใจในตัวผมยกมือขึ้นเบรคการฝอยของเดอนี่เพื่อนรักและเริ่มอ้าปากอธิบายแทน
“ข้าจะเล่าย่อ ๆ เกี่ยวกับบอสลับตัวนี้ให้ฟังแล้วกัน ถึงเจ้า รูสเวล จะมีครบทุก 3 ข้อแต่เนื่องจากมันเป็นบอสลับในดันเจี้ยนเกรด D แถมยังอยู่แค่ชั้น 4 ทางกิลจึงออกคู่มือการหลบหนีเมื่อเจอ รูสเวล ออกมาให้เราศึกษากันฟรี จุดอ่อนข้อแรกของมันก็คือ ถ้าร่างเราอยู่ต่ำกว่าระดับความสูง 100 CM มันจะไม่โจมตี สองเมื่อเราไม่วิ่งมันจะไม่วิ่ง...”
จบคำนี้ทุกคนต่างหันไปมองทีน่าทันทีโดยไม่ได้นัดหมาย
“อะไรล่ะ ข้าเป็นเอลฟ์จะไปรู้ประวัติของบอสลับเมืองมนุษย์ได้ยังไงกัน”
“สิ่งที่น่ากลัวจริง ๆ จนทุกคนต้องวิ่งหลบก็คือ มันถนัดทั้งการโจมตีระยะใกล้ และระยะไกล แถมมีการโจมตีหมู่ที่มากกว่า และใช้บ่อยกว่าบอสตัวอื่น จนเทียบเคียงกับบอสหลักของดันเจี้ยนเลย อีกอย่าง การโจมตีในระยะไกลยังรุนแรงมากอย่างที่เจ้าเห็น ถ้าคนที่มันเล็งออกห่างจากมันเกินระยะ 3 เมตร มันจะหยิบปืนออกมายิงทันที โหมดใช้ปืนจะมีอยู่ 3 แบบคือ 1 ยิงทีละนัด 2 ยิงรัวสามนัดติดในแนวขวาง 3 ยิงแบบจุดระเบิด”
“โหมดใช้ดาบ จะมีอยู่ 5 แบบคือ 1 ฟันธรรมดา 2 ฟันรัวสามดาบติด 3 รำดาบฟัน ท่านี้จะมีรัศมีดาบแผ่ออกจากตัวดาบสามเส้นเหมือนที่มันพังเสาข้าเมื่อครู่ และ 4 ท่าที่ 4 นี้คือท่าอันตรายที่สุด มันเป็นท่าโจมตีเดี่ยว มีแค่คนที่ถูกเล็งเท่านั้นที่จะโดนโจมตี แต่มันรุนแรงจนคนที่โดนท่านี้ยังไงก็ตายแน่ ๆ ไม่ว่าจะอึดหรือเทพมาจากไหน นี่คือท่าสั่งตายในตำนาน”
“ใช่แล้วเพราะท่าสุดท้ายนี่แหละ คนส่วนใหญ่ถึงหนีไปซ่อนกันหมด” แฟรงกลินพูดเสริมและหยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“แต่ท่าไม้ตายสุดโหดก็ใช่ว่าจะถูกมันใช้งานบ่อย ทุกคนรู้ว่าถ้าไม่ล้มรูสเวล ยังไงก็ออกจากชั้นนี้ไม่ได้ แถมแต่ละคนเชื่อได้เลยว่าพกของกินเข้ามากันไม่มากเกินหนึ่งอาทิตย์แน่ ๆ”
“จะบอกว่าถึงซ่อนไปยังไงก็ต้องสู้สินะ” ผมฟังแล้วก็ทอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“รู้แบบนั้นแล้วจะซ่อนไปทำไมกันล่ะ โอ๊ย!” จบคำผมก็ได้รับ ก้อนกระดาษห่อคุกกี้ของเดอนี่กระแทกหัวไปหนึ่งที
“ก็ทุกคนรอมันใช้สกิลไม้ตายออกมาไงล่ะ ที่ไม่มีใครช่วยแม่สาวเอลฟ์ก็เพราะเรื่องนี้แหละ แต่เจ้าดันเป็นเพื่อนของเธอ แย่จริง ๆ ปกติเวลาเจอรูสเวล ก็แค่ปล่อยให้มันได้ฆ่าคนที่เรียกมันออกมา เท่านี้พวกเราก็รุมฆ่ามันกันอย่างสบายใจแล้ว! ถ้าคนที่เรียกมันยังมีชีวิตอยู่ ท่าไม้ตายจะถูกมันใช้งานกับคนที่ทำดาเมทใส่มันมากที่สุด”
“ถ้าแม่สาวเอลฟ์แค่ตายซะ ท่าไม้ตายของรูสเวลก็จะไม่ถูกใช้งาน และมันก็เป็นเพียงบอสลับกาก ๆ ให้พวกเรารุมเหมือนบอสสองตัวนั่น”
“นายบอกว่า ทุกครั้งที่รูสเวลออกมาต้องมีคนตาย? มันไม่...โหดไปหน่อยรึไง” ก็รู้อยู่หรอกว่าโลกนี้ความตายคือสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปจนชินชา แต่การที่ผมเป็นคนไทยที่โตมาในสังคมสยามเมืองยิ้ม แม้แต่หมาคนไทยก็ยังส่งยิ้มให้ แม้จะยากจนข้นแค้น เราก็ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่บนโลกใบนี้ ผมจะต้องเฝ้ามองคนตาย และพูดปลอบใจตัวเองว่า ก็ช่วยไม่ได้นี่ มันเป็นคนเรียกบอสลับออกมาเองนะ กฎต้องเป็นกฎ ถ้าช่วยคนเจ้านั่น คนอื่นจะตายเพิ่ม แบบนี้เหรอ? ผมต้องทำแบบนี้จริง ๆ เหรอ ผมทำไม่ได้หรอก...
แฟรงกลินที่เห็นชายหนุ่มตรงหน้านิ่งไป ยกมือขึ้นจับบ่าภาวินและออกแรงบีบให้กำลังใจเบา ๆ เขาทำหน้าเข้ม บ่งบอกให้รู้ว่าเรื่องนี้จริงจังแค่ไหน
“ภา ข้าก็พอจะรู้ว่าเจ้าพึ่งเคยเข้าดันเจี้ยน แต่การตายในดันเจี้ยนคือเรื่องปกติของนักผจญภัย ถ้าคนที่เรียกรูสเวลออกมาไม่ตาย จะมีคนตายมากกว่านั้น ที่ข้าเอ่ยปากช่วยพวกเจ้าข้าก็ผิดด้วยส่วนหนึ่ง”
“หุ หุ หุ ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า”
เสียงหัวเราะปวดประสาทของแดริล ดังขึ้นมาแทบจะทันทีที่แฟรงกลินพูดจบ และยังดังต่อเนื่องยาวเกือบนาทีทำเอาทุกคนในห้องยกเว้นเดอนี่นิ่วหน้าไปตาม ๆ กัน
“หุหุ นี่มันน่าสนใจดีนะ ตอนแรกข้าก็กะว่าจะลืม ๆ มันไป แต่เจ้า หุหุ เจ้าไม่ต้องทำเป็นคนดีไปหรอกน่าแฟรง ขนาดพวกข้าถูกเจ้าหน้าใหม่จ้างให้พาลงดันเจี้ยน ยังไม่คิดเตือนมันสักนิดตอนมันกำลังถูกฆ่า เจ้ามีจุดประสงค์อะไรก็พูดออกมาเถอะ ถึงได้ยอมทำลายกฏการฆ่ารูสเวลของกิล”
“รอบนี้ต้องตายกันเยอะแน่ ๆ อิอิ แฟรงกลินคนสารเลว” เดอนี่พูดขึ้นพร้อมลงมือแกะขนมถุงใหม่
"ข้ากำลังรอฟังคำแก้ตัวของเจ้าอยู่นะ อิอิ"