บทที่ 11 : โปรแกรมฝึกพิเศษ
บทที่ 11 : โปรแกรมฝึกพิเศษ
“อย่ามายุ่งกับเขา” เสียงที่เฉียบขาดของอคาลาทำให้กิลเลนที่เหม่อลอยกลับมาได้สติ เธอไม่เคยแสดงอารมณ์รุนแรงให้เขาเห็นมาก่อนแต่ตอนนี้มันชัดเจนว่าเธอกำลังโกรธอยู่ และไม่ใช่ความโกรธแบบธรรมดาด้วย
“ทะ ทำไม ขะ ขยับไม่ได้” โอเวนกัดฟันพูดออกมาอยากลำบาก ทั่วร่างราวกับถูกโซ่ที่มองไม่เห็นพันธนาการเอาไว้จนขยับไม่ได้แม้แต่ปลายก้อย ไม่ใช่แค่ตัวเขาเท่านั้น ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นนอกจากกิลเลนและบากะอินุก็รู้สึกไม่ต่างกัน ราวกับว่ามีจิตคุกคามขนาดมหึมากำลังกดใส่พวกเขาจนเกือบจะแหลกคาพื้น
ความรู้สึกแบบนี้กิลเลนจินตนาการออกได้อย่างชัดเจน มันคือความรู้สึกแบบเดียวกับเหยื่อที่ถูกจ้องโดยนักล่าขนาดยักษ์ ความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แบบจนสมองสั่งให้ร่างกายหยุดทำงานเพื่อหลีกหนีความเจ็บปวด สิ่งที่ต่างออกไปมีเพียงแค่ทุกคนไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แน่นอนว่าเพราะพวกเขาไม่เห็นอคาลานั่นเอง
...พอเถอะ…
เป็นแค่เสียงในความคิดของกิลเลน แต่เขารู้สึกได้ว่าเธอรับรู้ คลื่นความโกรธที่ราวกับพายุสีดำที่ปกคลุมทั้งห้องค่อย ๆ จางลงจนในที่สุดทุกคนนี้เริ่มขยับได้อีกครั้ง
“ทำอะไรกันน่ะ” เสียงราวกับเครื่องขยายเสียงของแมดเดอลีนดังลั่นห้องพร้อมกับการปรากฏตัวของเธอ ครูฝึกสาวมองดูสภาพรอบ ๆ แล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นจึงรีบปรามทุกคน “มัวทำอะไรอยู่! ภารกิจจบแล้วทำไมไม่มาสรุปผล”
เสียงตวาดของแมดเดอลีนทำให้ฝูงชนต้องสลายตัวไป แต่กิลเลนรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่มีทางจบลงง่าย ๆ สายตาแห่งความไม่ไว้ใจยังคงตรงมาที่เขาไม่เปลี่ยนแปลง เรื่องแบบนี้มันจะต้องเกิดขึ้นมาอีกในอนาคตไม่ช้าก็เร็ว
“นายเองก็อย่ามามัวยืนอ้อยอิ่ง” เธอตบบ่ากิลเลนและทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายก็เลือกจะกลืนคำพูดนั้นกลับไป
ที่ห้องสรุปผลภารกิจกิลเลน ไม่ได้มีสมาธิกับสิ่งที่แมดเดอลีนพูดแม้แต่น้อย ในหัวของเขายังวนเวียนอยู่แต่เรื่องของปีเตอร์และไอริส เสียงกรีดร้องของทั้งคู่ที่พยายามเอาชีวิตรอดในดงระเบิดพลีชีพยังดังก้องอยู่ในหัวราวกับเป็นสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าในตอนนี้
“จะให้เราสั่งสอนพวกนี้อีกสักหน่อยก็ได้นะ” อคาลายังดูไม่หายหงุดหงิด “นายเสี่ยงชีวิตเพื่อคนพวกนี้ แล้วดูที่พวกเขาทำกับนายสิ”
กิลเลนไม่ได้ตอบ เขาได้แต่ส่งยิ้มเจื่อน ๆ ไปให้อคาลา อีกฝ่ายพอเห็นรอยยิ้มนั้นก็ได้แต่ถอนใจ
...อคติคนเรามันเปลี่ยนไม่ได้ง่าย ๆ หรอก… กิลเลนเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เรื่องทำนองนี้ไม่ใช่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับเขาเป็นครั้งแรก แต่มันเป็นเกิดซ้ำซากวนเวียนในชีวิตของเขามาตลอด จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขาไปแล้วก็ได้
ภารกิจในวันนี้จบลงด้วยความเงียบเหงา ไม่มีเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี ไม่มีงานเฉลิมฉลอง แม้แต่เนวิล ซีโรเซีย แมรี และ ควินซ์ที่เป็นแขกประจำก็ไม่ได้มาเยี่ยมเยือนห้องของกิลเลนอย่างทุกครั้ง
“มันช่วยไม่ได้แหละ ก็นายท่านดันไปเห็นเทียแมทจากในฝัน จะไปอธิบายให้คนอื่นเชื่อได้ยังไงล่ะเจ้าคะ” โฮโลแกรมของอินุจิโยะที่ซ่อนตัวมาตลอดเพราะกิลเลนไม่อยากให้คนอื่นตกใจปรากฏตัวขึ้นทันทีที่พวกเขาอยู่กันสองต่อสอง
กิลเลนมองอินุจิโยะและบากะอินุแล้วก็ถึงกับขมวดคิ้วเป็นเลขแปด
“เดี๋ยวสิ เธอ… ไม่สิ บากะอินุก็ฝันเห็นเจ้าเทียแมทด้วยเรอะ”
“เคยบอกไปแล้วนี่ ว่านายน่ะมีสัมผัสพิเศษที่สื่อกับแวนเดียร์ได้ดีกว่าคนทั่วไป” อคาลาที่โผล่ออกมากะทันหันอธิบายแทน “บางครั้งที่ดิกนิตีเข้าใกล้แวนเดียร์ที่ทรงพลัง จิตของแวนเดียร์ตนนั้นก็จะปรากฏรูปร่างขึ้นในรูปแบบความฝัน”
“เทียแมทที่เห็นในฝัน… คือคลื่นสมองของเทียแมทตัวจริงงั้นเหรอ แบบนี้นี่เอง”
“งั้นก็เยี่ยมไปเลยสินะเจ้าคะ เท่ากับว่านายท่านจะได้ต่อสู้กับแวนเดียร์ระดับบอสก่อนที่จะได้เจอตัวจริง” อินุจิโยะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก…” อคาลาขัดขึ้นด้วยเสียงเครียด “นี่เป็นการต่อสู้กันในจิต มันมีความเป็นไปได้ที่จะมีผลกระทบทางอ้อมมาถึงร่างของนายด้วย ทุกครั้งที่ถูกฆ่าในโลกนั้น จำเอาไว้ว่าชีวิตของนายกำลังหดสั้นลง”
“ถ้าตายในนั้นหลาย ๆ ครั้ง ก็อาจจะตายจริง… เธอกำลังจะบอกแบบนั้นสินะ” กิลเลนสีหน้าแย่ลงกว่าเดิมเมื่อนึกถึงฝันคราวก่อนที่ถูกเทียแมทเล่นงานไปหลายครั้ง นี่เขาอายุสั้นลงไปเท่าไหร่กันแล้วเนี่ย
“นั่นแค่กรณีที่ไม่เลวร้ายนะ ถ้าจิตของนายกับแวนเดียร์นั้นเชื่อมต่อกันรุนแรงเกินไป บางทีการตายในโลกนั้นแค่ครั้งเดียวก็อาจจะเกินพอแล้ว”
กิลเลนอยากจะเชื่อว่าอคาลาแค่ล้อเขาเล่นแต่น้ำเสียงของเธอนั้นทั้งดูจริงจังและเต็มไปด้วยความกังวล มันทำให้เขารู้สึกไม่ดีเลย
“แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นโอกาสเช่นกัน ถ้าเราหาจุดอ่อนของมันเจอระหว่างที่เชื่อมต่อจิตกัน มันจะต้องช่วยลดโอกาสที่ใครบางคนต้องมาสละชีวิตแบบในวันนี้อย่างแน่นอน”
“นายท่าน…”
“นายยอมเสี่ยงชีวิต แม้ว่าสุดท้ายพวกนั้นอาจจะไม่รู้สึกขอบคุณน่ะเหรอ”
“ก็ไม่ได้ทำเพราะหวังจะให้ใครมาขอบคุณสักหน่อยนี่” กิลเลนตอบไปซื่อ ๆ
“เอาเถอะ ถ้าตัดสินใจได้แบบนั้น เราก็จะช่วยก็แล้วกัน อย่างน้อยมีเรากับบากะอินุอยู่ในฝันก็น่าจะดีกว่าสู้คนเดียว”
“ขอบคุณนะ ว่าแต่… นี่เธอไม่คิดจะบอกเหรอว่าตัวเองคือใคร”
“เราก็แค่เพื่อนที่หวังดีคนหนึ่ง” อคาลากล่าวพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้กิลเลนรู้สึกหัวใจพองโต
ในคืนนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับสนิท การต่อสู้ระหว่างกิลเลนและเทียแมทก็เริ่มขึ้นอีกครั้งโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกจากบากะอินุและอคาลาที่เป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้ด้วย
“แกทำได้แสบนักเจ้ามนุษย์ ข้าจะตามไปฆ่าพวกแกให้หมด” เทียแมทคำรามดังจนกิลเลนต้องยกมือขึ้นมาอุดหูทั้งสองข้าง น่าตลกที่เขาดันเข้าใจเสียงแหลมสูงนั้นว่ามันพยายามบอกอะไร
“แผลลึกขนาดนั้น นึกว่าตาจะบอดไปแล้วซะอีก รึเพราะว่านี่มันเป็นฝันกันนะ”
“จากข้อมูลที่ได้มา แวนเดียร์มีพลังฟื้นตัวสูงมากเจ้าค่ะ มีหลายชนิดที่แม้สูญเสียอวัยวะไปก็งอกกลับคืนมาเหมือนเดิมภายในไม่กี่ชั่วโมง” อินุจิโยะชี้แจงโดยอิงจากข้อมูลที่เธอคัดลอกมาจากฐานข้อมูลกลางของดิกนิตี
“เอาเถอะ ก็ไม่ได้หวังว่าแค่นั้นจะทำอะไรมันได้อยู่แล้วล่ะนะ” กิลเลนควงพลาสมาสเปียร์ขณะที่เดินเข้าไปใกล้แวนเดียร์ร่างยักษ์
แซดดดดด
นั่นคือเสียงที่เกิดขึ้นหลังจากที่ดวงตาของมันเรืองแสงสีแดงเข้ม และในเสี้ยววินาทีต่อมาจึงปลดปล่อยพลังงานเข้มข้นออกมา แสงสีแดงที่ลากผ่านจากซ้ายไปขวาตัดผ่านวัตถุทุกชนิดที่สัมผัสและแยกมันขาดออกจากดันราวกับถูกใบมีดที่คมกริบหั่นอย่างประณีต
“ต้องหาจุดอ่อนมันให้ได้”
ฉับบบ
“เอ๋!!!”
ภาพตรงหน้าของกิลเลนแปลกออกไป เขากำลังเงยขึ้นมองท้องฟ้าโดยไม่ได้เกี่ยวกับความตั้งใจของตน เมื่อพยายามมองหาว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพสุดท้ายที่เห็นคือครึ่งร่างของเขาที่ถูกตัดออกตามแนวขวาง
กิลเลนสะดุ้งลุกขึ้นนั่งในสภาพที่เหงื่อแตกจนชุ่มไปทั้งร่าง เขาพบว่าตัวเองยังอยู่บนเตียงรูปร่างแคปซูลตัวเดิมในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ โดยมีบากะอินุและอคาลานอนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
อั่กกกกก
ความรู้สึกเจ็บปวดจนแทบสิ้นสติปรากฏขึ้นฉับพลัน เป็นความรู้สึกราวกับถูกของมีคมกรีดตัดร่างจนขาดออกจากกัน นี่คือสิ่งที่อคาลาเตือนเขา ความฝันนี้ไม่เหมือนกับการต่อสู้ให้ห้องเสมือนจริง แม้ว่าจะตื่นแล้วแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจิตใจยังส่งผลอยู่
เสียงร้องของกิลเลนปลุกหนึ่งสาวหนึ่งสุนัขให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล บากะอินุลุกขึ้นมาเกาหูของมันอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนอคาลาก็มองกิลเลนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ต้องหาจุดอ่อนมันให้ได้” กิลเลนยังคงย้ำประโยคเดิม “ครั้งหน้าที่เจอมัน ต้องไม่ให้ใครตายอีก”
“แต่แบบนี้นายอาจจะเป็นคนที่ต้องตายก่อนก็ได้นะ”
“...” กิลเลนไม่ได้ตอบอะไร เขารู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร ความเจ็บจนแทบจะขาดใจที่ยังฝังอยู่บนอกคือหลักฐานอย่างดี บางทีเขาอาจจะทนรับมันได้อีกไม่กี่ครั้ง หรือถ้าโชคร้ายล่ะก็ ครั้งต่อไปมันอาจจะหมายถึงชีวิตเขาเลยก็ได้
แต่กิลเลนก็เลือกที่จะเสี่ยง
“ไม่หรอก มันไม่ตายกันง่าย ๆ แบบนั้นหรอก” เขาพยายามบอกตัวเองแบบนั้น
อคาลานั่งลงข้าง ๆ กิลเลนที่หลับไปเพราะความเหนื่อยล้า เธอปัดผมที่ตกลงมาปิดใบหน้าของเขาและมองใบหน้ายามหลับด้วยใบหน้านิ่งเรียบก่อนจะกระซิบ
“แบบนี้นายจะตาย ไม่ช้าก็เร็ว…”
ค่ำคืนแห่งความทรมานผ่านไปอย่างช้า ๆ
เช้าในวันถัดมา กิลเลนตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอ่อนล้า ร่างกายที่ควรจะได้รับการเยียวยาจากเตียงฟื้นสภาพกลับรู้สึกหนักอึ้งราวกับถูกล่ามมัดไว้ด้วยเส็นลวดนับร้อยนับพัน มันคงเป็นความรู้สึกที่ผสมกันระหว่างการได้รับความเสียหายทางจิตและความรู้สึกรับผิดชอบที่เขาเอามาแบกรับไว้อยู่คนเดียว
“ไอ้ฆาตกร” เสียงแว่วดังลอยมาจากกลุ่มคนที่รวมตัวกันในห้องอาหาร กิลเลนพยายามไม่ใส่ใจกับมันและตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับอาหารเช้าที่อยู่ตรงหน้าจนกระทั่งเงา ๆ หนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“ฉันเชื่อคุณนะ” เสียงหวาน ๆ นี้คือพีโอเนียนั่นเอง เธอมายืนอยู่ข้างหน้าของกิลเลน สีหน้าเหมือนเกือบจะร้องไห้ ไม่สิ... จากขอบตาคล้ำ ๆ นั้น เมื่อคืนเธอคงผ่านการร้องไห้มาไม่น้อยเลย
“ถึงจะไม่รู้ว่าคุณรู้จักเทียแมทได้ยังไงก็เถอะ แต่กิลเลนที่ฉันรู้จักจะเสี่ยงชีวิตอยู่เบื้องหน้าคนอื่นอยู่เสมอ คนแบบนั้นไม่มีทางทรยศพวกเราแน่” เธอเค้นคำพูดออกมา สายตาที่ส่งมาให้กิลเลนเปี่ยมล้นไปด้วยความเชื่อใจ
“พีโอเนีย…” กิลเลนก็เกือบจะบ่อน้ำตาแตกเช่นกัน โลกมันไม่ได้ไร้ความยุติธรรมอย่างที่เคยคิดสักหน่อย อย่างน้อยก็เธอคนนี้ที่ยังเห็นตัวตนของเขา
โอ้ย…. นี่… เจ็บนะ
จัสตินที่ไม่รู้ว่ายืนฟังอยู่นานแค่ไหนเข้ามาคว้าแขนพีโอเนียและฉุดกระชากดึงตัวเธอออกไป “คุณควรจะละอายนะ” เขาว่าเสียงดังใส่กิลเลน มันดังจนเกือบจะกลายเป็นการตะโกน
“การมายุ่งกับคาตาลิสต์ของคนอื่นมันเสียมารยาทไม่ใช่รึไง” จัสตินจ้องกิลเลนอย่างเอาเรื่อง ในขณะที่มือของเขาก็ยังออกแรงบีบแขนของพีโอเนียโดยไม่ได้กลัวว่าเธอจะเจ็บเลย
กิลเลนรู้สึกฉุนที่จัสตินทำรุนแรงกับพีโอเนียแต่ก็พยายามระงับอารมณ์ไว้ ยิ่งเขาออกตัวแรงมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งถูกจัสตินเข้าใจผิดมากขึ้นเท่านั้น ที่เขาทำได้ในตอนนี้มีเพียงการทนไม่ตอบโต้ออกไปไม่แม้แต่พยายามจะแก้ตัวเพราะเชื่อว่ามันยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายกว่าเดิม
หลังจากมื้อเช้าที่เต็มไปด้วยบรรยากาศน่าอึดอัด กิลเลนและบากะอินุก็มุ่งตรงไปยังห้องเก็บข้อมูลของดิกนิตีตามคำแนะนำของอคาลา เธอได้เสนอวิธีหนึ่งที่น่าจะช่วยลดความเสี่ยงจากการต้องสู้กับเทียแมทในความฝัน นั่นคือการถ่ายโอนข้อมูลจากความทรงจำของเขาและบากะอินุเพื่อสร้างโปรแกรมจำลองการต่อสู้ขึ้นมา
“มันอาจจะไม่สามารถดึงความสามารถที่แท้จริงของเทียแมทออกมาทั้งหมด แต่อย่างน้อยนายและบากะอินุก็จะได้ไม่ต้องเสี่ยงตายในความฝัน” นั่นคือสิ่งที่อคาลาบอกกับเขา
ข้อมูลต่าง ๆ ถูกดูดออกไปจากหัวของทั้งคู่ มันคือภาพของมังกรตัวใหญ่สีดำที่มีขนาดใหญ่เสียยิ่งกว่านิดฮอก พละกำลัง ความเร็ว ความแม่นยำ อาวุธต่าง ๆ ทุกสิ่งที่ล้วนอยู่ในประสบการณ์ของกิลเลนและบากะอินุถูกดึงไปประมวลผลและสร้างออกมาเป็นภารกิจพิเศษ
“ดูเหมือนว่าการต่อสู้กับมันคราวก่อนก็เก็บข้อมูลไว้ได้พอสมควรเจ้าค่ะ แบบนี้น่าจะใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ”
กิลเลนทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็กระซิบกับอินุจิโยะ
“มันก็น่าจะทำได้อยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่ว่ามันจะดีเหรอเจ้าคะ”
“ฝากด้วยนะ ไอ้นี่น่าจะช่วยให้พัฒนาเร็วขึ้นเป็นเท่าตัวเลย”
ที่ห้องจำลองการต่อสู้
กิลเลนกำลังยืนหันหน้าให้กับหน้าผา เบื้องหลังของเขามีเสียงฝีเท้าของคนสองคนดังขึ้น เขาหันกลับไปมองแต่แสงของดวงอาทิตย์ที่มาจากเบื้องหลังของทั้งคู่ทำให้เห็นหน้าคนเหล่านี้ไม่ชัด
“หมอนี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ” ชายที่มองไม่เห็นหน้าคนแรกพูด เขาอยู่ในชุดออกรบสีดำแบบเดียวกับกิลเลนและยังถือพลาสมาสเปียร์เหมือนกันอีกด้วย
“เอาอะไรมาคิดฟระ ว่าหนึ่งต่อสองจะชนะได้” ชายคนที่สองพูดบ้าง เขาเองก็มีรูปร่างลักษณะเหมือนชายคนแรกไม่ผิดเพี้ยน แม้แต่อาวุธก็ยังหน้าตาเหมือนกัน
กิลเลนยิ้มแหย ๆ ให้กับทั้งคู่ ก่อนที่จะตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ มือกำพลาสมาสเปียร์ที่เพิ่งอัพเกรดมาไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็ยื่อออกไปข้างหน้าเพื่อรักษาระยะห่าง “ขอโทษทีนะ ถ้าอยากจะเก่งขึ้นให้เร็วขึ้น วิธีนี้น่ะแหละเยี่ยมที่สุดแล้ว”
ชายสองคนที่หน้าเหมือนกับเขาหันหน้ามองกันอย่างละเหี่ยใจ
“นี่ตัวตนแบบตูงี่เง่าขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกัน
"เอาเถอะ ได้กระทืบตัวเองก็อาจจะน่าสนุกดีนะ"
"รุมกระทืบ" กิลเลนอีกคนแสยะยิ้ม
จากนั้นพริบตาต่อมากิลเลนก็กระโจนออกไป พลาสมาสเปียร์ถูกสะบัดออกไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อแต่กิลเลนหนึ่งในฝ่ายตั้งรับก็สกัดมันไว้ได้โดยง่าย ส่วนกิลเลนคนที่สามที่หายไปจากสายตาก็อ้อมไปข้างหลังของตัวจริงแล้ว
อคาลาและบากะอินุเฝ้ามองการต่อสู้นี้อยู่บนเนินเขาอีกลูกที่ห่างออกไป
"จงแข็งแกร่งขึ้น กิลเลน เพื่อตัวของนายเอง"