ตอนที่ 14: วิหคเหมันต์
ตอนที่ 14: วิหคเหมันต์
ดวงตาของเฮเซคียาห์มองไปยังป่าหนามอย่างเหม่อลอย เขาวนเวียนรอเมเดียนแถวป่าหนามเพียงลำพังมาสองวันกับอีกสองคืน แต่ยังไม่เห็นวี่แววของอีกฝ่าย การเงียบหายไปของเมเดียนทำให้เฮเซคียาห์หวาดระแวงว่าเมเดียนอาจเดินทางออกจากบ้านโดยใช้ทางออกด้านอื่น
แต่บรอธยืนยันกับเขาว่าเดเมียนยังอยู่ที่บ้าน และทางออกอื่นอีกสองทางดูเหมือนไม่ได้ถูกใช้มาหลายทศวรรษ
“คิดถึงมูนนี่เนอะ” บรอธเอ่ย ทั้งที่เฮเซคียาห์สั่งมันไปหลายครั้งแล้วว่าอย่าพูดถึงมูนนี่
หน้าของเฮเซคียาห์นิ่ว เขาโหวงๆ ในอก
“นายก็เห็นว่าตัวเองชอบมนุษย์ได้มากแค่ไหน ลองออกเดินทางต่อไป ไปหาพวกผู้ใช้เศวตศาสตราคนอื่นๆ เถอะ บางทีนายคงได้พบคนดีๆ ทำให้นายรู้สึกผูกพันได้เหมือนกับมูนนี่”
“ฉันแค่ชอบความสะดวกสบายที่ได้จากหมอนั่น ก็เท่านั้น ไม่ได้ชอบในตัวหมอนั่น” เฮเซคียาห์ปากแข็ง ทั้งที่ในใจของเขารู้อยู่เต็มอกว่าเขามองมูนนี่เป็นเพื่อน ความรู้สึกมันชัดตั้งแต่ที่รังของนักล่ากล่อง
“ฉันเป็นเศวตศาสตราของนาย ฉันมั่นใจว่าตาชั่งถ่วงน้ำหนักคุณค่าของสิ่งมีชีวิตของนาย เมื่อวางมนุษย์ที่ชื่อมูนนี่ลงไปทางด้านหนึ่งของตาชั่ง มันไม่ได้เอนเอียงไปทางมัสติน แต่ตาชั่งอยู่ในจุดน้ำหนักสมดุล” บรอธใช้คำอุปมาอุปไมยได้อย่างชำนาญ “นายไม่อยากยอมรับความผูกพันระหว่างนายกับมูนนี่เพราะกลัวเสื่อมเสียเกียรติอย่างนั้นเหรอ ฉันละสงสัยนักว่าถ้าอยู่ต่อหน้ามูนนี่ นายยังจะพูดออกมาได้เต็มปากแบบที่เพิ่งพูดไปหรือเปล่าว่า จงใจเกาะเขาเพราะเรื่องผลประโยชน์อย่างเดียว”
บรอธสร้างความอึดอัดใจให้กับเฮเซคียาห์ เขาเมินหน้ามองไปทางอื่น
“จะให้ฉันฆ่ามัน ฉันก็ทำได้!”
“แน่ใจเหรอ”
“อืม”
“อย่างนั้นพนันกับฉันดูไหม”
“พนัน?” เฮเซคียาห์พ่นคำนี้ออกมาจากปาก ก่อนจะแค่นยิ้ม “แกมีอะไรมาวางเดิมพัน”
“การหายตัวไปของฉัน”
“...”
“อธิบาย: นายจะไม่กลับไปเป็นมัสตินหรอก แต่ฉันจะหายหน้าไป ซึ่งนายไม่ต้องห่วงนะว่าจะอยู่ต่อไปยังไง ฉันจะเลียนแบบไลฟ์ควอตซ์ระหว่างที่หายหน้าไป ก็คือ ถ้าหากนายตั้งคำถามกับฉัน ฉันจะตอบ ฉันทำแบบนั้นได้แม้ว่าเราจะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก และนายจะยังได้รับข้อมูลกลยุทธ์สำหรับการต่อสู้ ข้อมูลของเศวตศาสตราของคนอื่นและแนวโน้มความเป็นมิตรของผู้ใช้ที่เข้ามาใกล้ ฉันจะติดต่อกับนายโดยการส่งถ่ายข้อมูลสู่สมองโดยตรงหรือแสดงเป็นภาพนิมิตในหัวนาย”
เฮเซคียาห์เม้มปาก
“ทำไม? หรือว่ากลัวการหายไปของฉัน นี่นายก็ผูกพันกับฉันเหมือนกันนี่”
เฮเซคียาห์ส่ายหน้า
“ฉันแค่ไม่อยากลดตัวลงไปเล่นพนันกับแก เดิมพันของแกไม่ได้ดึงดูดใจขนาดนั้น”
“ปากกับใจไม่ตรงกัน”
“...”
เฮเซคียาห์ปิดปากสนิท ตีสีหน้าเรียบเฉย
“นี่จะนั่งเน่าตายอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ อย่างนั้นเหรอ” บรอธท้วงขึ้น เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกครั้งที่เฮเซคียาห์เงียบแทนการตอบคำถามมันจะดูร้อนใจมากขึ้น ถ้าเป็นมนุษย์ การพูดและแสดงออกคงเหมือนการพยายามเรียกร้องความสนใจหลังจากถูกเมิน
“ฉันมุ่งมั่นแต่จะกลับเข้าเมือง แล้วจะเดินทางต่อไปทำแป๊ะอะไร มันไม่ได้ช่วยให้ฉันสมหวังนี่”
“บ้าจริง! ดื้อด้านอะไรแบบนี้”
“พอกันนั่นแหละ แกพยายามเหลือเกินจะผลักไสฉันให้ไปเข้าพวกกับมนุษย์”
“ก็มันควรเป็นแบบนั้น”
“มันดูเหมือนแกมีแผนอยู่เลย” เฮเซคียาห์คว้าบรอธมาไว้ในมือ จ้องมองมัน “ถ้ากลับเข้าเมืองไปได้ ฉันควรหาใครสักคนช่วยดูว่าจะล้วงความลับจากแกได้ขนาดไหน”
“ไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น ไม่มีความลับ ฉันแค่ตอบสนองต่อจุดประสงค์ของการเกิดมาของฉัน”
“บางทีฉันก็เชื่อแก แต่บางทีฉันก็ไม่เชื่อ” เฮเซคียาห์โคลงศีรษะ “เรื่องนี้มันต้องมีใครบงการอยู่สิ แต่คงไม่ใช่มนุษย์หรอก พวกเขาไม่มีปัญญาทำเศวตศาสตราขึ้น คนที่สร้างพวกแกขึ้นมาอาจจะเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในสหพันธ์อวกาศ แต่พวกไหนกันนะ”
“เพ้ออะไรของนาย” บรอธเสียงดังขึ้น
เฮเซคียาห์ยักไหล่
เขาแค่ไตร่ตรองถึงอีกทฤษฎีหนึ่งซึ่งพวกปราชญ์เคยเสนอมา แต่ทฤษฎีนี้ถูกหักล้างไป เพราะแต่ละเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในสหพันธ์อวกาศได้เปิดให้ตรวจค้นลีฟวิ่งแลนด์ของพวกเขาอย่างละเอียด ทุกซอกและทุกมุม ผลปรากฏว่า ไม่มีวี่แววของการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกับไลฟ์ควอตซ์หรือเศวตศาสตราในลีฟวิ่งแลนด์ของพวกเขา
“พวกแกเข้าใจไลฟ์ควอตซ์ได้ขนาดไหน” เฮเซคียาห์เคยเห็นว่าไลฟ์ควอตซ์ไม่สามารถวิเคราะห์เศวตศาสตราได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาจึงต้องทำการวิจัยเศวตศาสตราเรื่อยมา
แต่ในทางกลับกัน เศวตศาสตรารู้วิธีทำลายไลฟ์ควอตซ์หรือไม่
“คำตอบ: ศัตรู”
“มีอะไรมากไปกว่านั้นไหม”
“ฉันเคยบอกนายแล้ว ความรู้ทั้งหมดที่ฉันให้นายได้ จำเป็นต้องมีผู้ใช้เศวตศาสตราคนอื่นๆ ไม่ว่ามีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตอยู่รับรู้และเข้าใจอยู่แล้ว พวกเราเหมือนกับไลฟ์ควอตซ์นั่นแหละ ไลซ์ควอตซ์ให้ข้อมูลกับนายได้แค่ในสิ่งที่ชาวมัสตินรุ่นก่อนๆ หรือคนใดคนหนึ่งล่วงรู้ได้ ข่าวสารและความรู้ทุกอย่างบนโลกนี้มันต้องมีแหล่งข้อมูลทั้งนั้น”
“บางทีฉันน่าจะหาอุปกรณ์มาสร้างห้องทดลองของตัวเองแล้วทำการวิจัยเกี่ยวกับเศวตศาสตรา ฆ่าเวลาไปพลางๆ ขณะที่ยังติดแหง็กอยู่ในร่างที่มนุษย์ก็ไม่ใช่ มัสตินก็ไม่เชิง” เฮเซคียาห์เผยรอยยิ้มมีเลศนัย “การเป็นนักล่ากล่องก็ไม่เลวหรอกนะ ว่าไหม?”
“...”
บรอธเป็นฝ่ายเงียบเสียเอง มันอยู่นิ่งไม่ไหวติงบนพื้นหญ้า และตลอดทั้งวัน เฮเซคียาห์ไม่ได้ยินมันพูดขึ้นมาอีก
เฮเซคียาห์หลบฝนอยู่ใต้ร่มไม้ กายเปียกสั่นเทา บรอธลอยอยู่ข้างเขา
“บ้าจริง ถ้าแกเปลี่ยนเป็นอาวุธได้ ฉันอาจได้ตัดไม้แถวๆ นี้มาทำเป็นกระท่อม” เฮเซคียาห์โอดครวญ
“ถ้านายเดินทางต่อ นายจะเจอเมืองหรือหมู่บ้านที่มีขวานขาย ขวานอันเดียวตัดไม้ได้เยอะแยะ บางหมู่บ้านมีเลื่อยยนต์ขายด้วยนะ ถ้านายไม่กลัวว่าเสียงตอนใช้งานเลื่อยยนต์จะไปดึงชาวมัสตินมาพบนายเข้า นายอยากซื้อก็เอาเลย”
“มีเศวตศาสตราอันอื่นก็พอแล้ว จะไปซื้อทำไม ขวาน เลื่อย ซื้อมาใช้แล้ว ใช้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันเสียก็ต้องซื่อใหม่”
“พูดแบบนี้ ตกลงนายอยากเป็นนักล่ากล่องจริงๆ ใช่ไหม”
“คอยดูเองแล้วกัน ถ้าฉันอดทนรอเจอกับเมเดียนไม่ไหว...”
“อย่าเลย”
“แกไม่ต้องกินก็อิ่ม ตากฝนก็ไม่หนาวนี่” ตัวของเฮเซคียาห์สั่นงันงกเพราะหนาวลมฝน เขาจ้องบรอธ “แต่ฉันต้องกิน ต้องหาที่พัก”
“นักล่ากล่องเป็นคนเลว ทำไมนายถึงอยากเป็นคนเลวมากกว่าคนดี”
“ฉันไม่ได้อยากเป็นคนเลว แต่ฉันก็ไม่ต้องการเป็นคนดี ฉันแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างดีๆ หน่อย แล้วถ้าเมเดียนไม่ออกมา ไม่แน่ว่าถ้าฉันขโมยเศวตศาสตราได้หลายๆ กล่อง ฉันอาจกลับไปเมืองหลวงได้ด้วยตัวเอง” เฮเซคียาห์ยังคงจดจ่อมุ่งมั่นกับการได้กลับเข้าไปในเมืองหลวง
ความหนาวเย็นทำให้เขาจามอยู่หลายที และรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว
“นี่ตอนกลางวันอยู่เลย แค่ไม่มีแดด ถ้าฉันเป็นหวัด มันจะหายใช่ไหม”
“คงจะแบบนั้นละ”
“อยากกลับไปมีร่างกายแบบมัสตินเต็มร้อย คือฉันในตอนนี้เข้าใจเลยว่ามนุษย์ไม่มีวันชนะชาวมัสตินเพราะอะไร ร่างกายของพวกเขาเดี๋ยวหิว เดี๋ยวเหนื่อย เดี๋ยวง่วง หรือไม่ก็คัน มันต้องรู้สึกอะไรอยู่ตลอดเวลา” เฮเซคียาห์หาวหวอดออกมา แล้วก็หุบปาก ฟันกระทบกันกึกๆ เขากำลังหนาวเยือก “ทำไมอุณหภูมิมันเย็นลงอีกแล้ว”
“ดูเหมือนว่ากำลังมีพายุหิมะก่อตัวขึ้นไม่ไกลจากนี่ แต่ถ้านายอยู่ตรงนี้ พายุจะไม่กวาดนายไปไหน”
“นี่ไม่ใช่ฤดูหนาวนะ นี่ฤดูร้อน”
“ป่านี้มีอะไรแปลกๆ ดูเหมือนมันกำลังเข้าสู่ฤดูหนาวด้วยตัวมันเองอยู่” บรอธเรืองแสง “วิเคราะห์: มีแหล่งกำเนิดฤดูหนาวทางตอนเหนือของป่า”
“แหล่งกำเนิด? สถานที่? หรือว่าตัวอะไร?”
“รายงาน: วิหคเหมันต์”
“มีอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ โอเค มีอะไรให้ทำแก้เบื่อแล้ว” เฮเซคียาห์ยกมือขึ้นสางผมเปียก ช่วงนี้ผมของเขายาวขึ้นมาเล็กน้อย และเวลาเปียกเส้นผมมักจะพันกัน “ไข่ของวิหคเหมันต์อร่อยอย่าบอกใคร”
วิหคเหมันต์ สัตว์ที่เผ่าพันธุ์มัสตินนำมาขยายพันธุ์บนโลกจากดาวบ้านเกิดของพวกเขา พวกมันอาศัยอยู่บนฟ้า มันกินก้อนเมฆเป็นอาหาร และหลับโดยปีกกระพืออยู่ เมื่อวิหคเหมันต์ท้องแก่ใกล้เวลาต้องวางไข่ ขนาดท้องอันใหญ่โตของของมันทำให้มันต้องร่อนลงกับพื้น และเดินเอา มันจะเดินไปไกลจนถึงจุดที่มันเดินไม่ไหว ในจุดสุดท้ายที่มันเดินไปถึงได้ มันจะวางไข่
ระหว่างที่วางไข่ อากาศรอบตัวของวิหคเหมันต์จะแปรปรวน พายุหิมะหลายลูกจะเกิดขึ้น และพัดกวาดไปรอบข้างสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง รวมถึงแช่แข็งพื้นที่ต่างๆ ที่พัดผ่าน
“นายควบคุมธาตุไม่ได้เหมือนชาวมัสติน อย่าดีกว่า ถ้าถูกแช่แข็ง กว่าจะละลายอีกทีอาจจะอีกสิบปีข้างหน้า”
“ฉันอยากกิน แต่งานขโมย แกทำ ฉันรู้ว่าแกไปขโมยมันได้”
“…”
“ไม่ต้องวิเคราะห์อะไรทั้งนั้น ทำตามที่ฉันต้องการ”
“ไม่!”
“ทำไมมีปัญหา แกทำได้นี่”
“แล้วทำไมฉันต้องทำล่ะ”
“ก็เพราะแกเป็นเศวตศาสตราของฉัน!” เฮเซคียาห์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไม่เคยเห็นเศวตศาสตราของคนอื่น เขามีปัญหาแบบนี้ นี่ฉันควรไปหาเศวตศาสตราอันใหม่มาจริงๆ จะดีกว่าใช่ไหม”
บรอธเงียบ เรืองแสงเป็นสีฟ้า
“จะไปไม่ไป”
“ขอร้องซิ ฉันคิดว่านายควรมีมารยาทมากกว่านี้ คีห์”
“ไม่ ฉันมีมารยาทได้แค่ไหนก็แค่นั้น” เฮเซคียาห์โยนบรอธขึ้นกลางอากาศ มันเสียศูนย์ไปเล็กน้อยก่อนจะตั้งหลักลอยค้างอยู่ เฮเซคียาห์ถอดเสื้อของเขาออกเพราะมันเปียกและเริ่มหนัก มือของเขาเลื่อนไปจับบนขอบกางเกง ก่อนจะเปลี่ยนใจยังไม่ถอดออก
เขายืนอยู่นิ่งๆ มั่นใจว่าอีกไม่นานฝนจะหยุดตก
ทุกครั้งที่วิหคเหมันต์เดินทางเพื่อวางไข่ จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในบริเวณที่มันร่อนลง ตอนแรกฝนตก และตามมาด้วยพายุหิมะอีกหลายลูกในบริเวณโดยรอบ
“ซี๊ด...” อากาศเย็นขึ้น เฮเซคียาห์หายใจออกเป็นไอหมอก
เขายืนเอนหลังพิงต้นไม้ รู้สึกถึงความสากของเปลือกไม้บนแผ่นหลัง เฮเซคียาห์รับรู้ได้ว่าเม็ดฝนจากท้องฟ้าค่อยๆ เล็กลง และในที่สุด สายฝนซาลงไป
“ตกลงจะให้ฉันไปขโมยเองแล้วถูกแช่แข็ง หรือแกจะไปเอาไข่นั่นมาให้ฉัน”
“ไม่เอาแต่ใจได้ไหม”
“แกนั่นแหละ ไม่เอาแต่ใจแล้วทำตัวเป็นเศวตศาสตราดีๆ หน่อย” เฮเซคียาห์สูดกลิ่นของธรรมชาติยามเปียกชื้นเข้าปอด เขาได้กลิ่นหญ้าและฟาง กลิ่นของดอกไม้บางอย่างลอยมาตามลม และกลิ่นของอากาศเย็น เป็นกลิ่นแห้งๆ ที่สูดเข้าไปแล้วเย็นเสียดจมูก
เฮเซคียาห์สูดจมูก น้ำมูกของเขาจะไหล
เขาก้มไปที่กระเป๋าสัมภาระข้างตัว วางอยู่ใต้ต้นไม้ ล้วงมือดึงเอาผ้าคลุมมาสวม มันช่วยให้อุ่นขึ้นบ้าง
“วิหคเหมันต์อยู่ทางเหนือสินะ” เฮเซคียาห์ออกเดิน
บรอธลอยตามเขามา
“ฉันรู้สึกได้ว่าใกล้แล้ว” เฮเซคียาห์หยุดเดิน มองพื้น บางจุดมีน้ำแข็งเกาะเคลือบอยู่บนหน้าดิน
ทางด้านหนึ่ง น้ำแข็งหนากว่าด้านอื่น เฮเซคียาห์มั่นใจว่าวิหคเหมันต์ต้องไปทางนั้น
“โอเค ฉันคงไปต่อได้แค่นี้หรือเปล่า” เฮเซคียาห์พบว่าด้านหน้ามีพายุหิมะสองลูกเล็กหมุนวนอยู่
ถ้าเขาเข้าไปใกล้ ขาอาจถูกแช่แข็งให้ติดอยู่กับพื้น และเมื่อวิหคเหมันต์ออกไข่เสร็จสิ้น คงถูกพายุหิมะพัดเข้าใส่จนแข็งไปทั้งตัว หรือไม่ก็กลายเป็นน้ำแข็งที่ถูกทำให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“นายไปต่อ...” เฮเซคียาห์บุ้ยปากส่งสัญญาณให้บรอธ
บรอธลอยนิ่ง ไม่ตอบ
“นายไม่ไป ฉันไป” เฮเซคียาห์ก้าวต่อ แล้วเขาต้องหยุด เพราะรองเท้าถูกน้ำแข็งเกาะยึดไว้กับพื้นจนเดินไม่ได้
“รายงาน: ตรวจพบมนุษย์กลายพันธุ์ อัลฟ่าแห่งการเดินทาง เมเดียน”
“หืม?”
“เขาออกมาแล้ว และกำลังมาทางนี้ด้วย”
“ดีจริง! จะได้พบกันสักที แกสลายน้ำแข็งที่รองเท้าฉันหน่อย” เฮเซคียาห์คว้าบรอธมาไว้ในมือ แล้วเขาก้มตัวลง เอาบรอธถูเข้ากับบนรองเท้า
“ไม่บอกก่อน ไม่ถามก่อน” บรอธโวยวาย
เฮเซคียาห์ยังคงถูบรอธวนๆ กับรองเท้า
บรอธยอมเงียบเสียงลงเมื่อเห็นว่าเฮเซคียาห์ไม่ยอมพูดด้วยต่อ ตามด้วยการเพิ่มอุณหภูมิของตัวมันเองให้อุ่นๆ น้ำแข็งค่อยๆ ละลายแต่เป็นไปอย่างเชื่องช้า
“เอามือออก ฉันจะทำงานต่อเอง ด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม” ในที่สุดบรอธยอมรับใช้เฮเซคียาห์
“อ้าว เจ้าหนู เจอกันอีกแล้ว” เสียงของเมเดียนมาก่อนตัว
เฮเซคียาห์ทันเห็นเมเดียนตรงหางตา ฝ่ายนั้นเคลื่อนที่วูบไหว แทบไม่ทันมองเห็นตัว
เมื่อรองเท้าของเฮเซคียาห์เป็นอิสระ เขาวิ่งตามเมเดียน เมเดียนหายลับไปด้านหน้าซึ่งมีสายหมอกหนาทึบลอยเอื่อยอยู่บนพื้น พายุหิมะสองลูกด้านหน้าพัดวนแรงขึ้น
เสียงกัมปนาทดังลั่นมาจากทิศทางด้านหลังพายุหิมะ ตามด้วยเสียงกรีดร้องของสัตว์ใหญ่
“เขาฆ่ามันอย่างนั้นเหรอ” เฮเซคียาห์อ้าปากค้าง มองพายุหิมะสองลูกด้านหน้าสลายตัวลงไปเสียเฉยๆ
เขาวิ่งไปตามทิศทางที่เมเดียนตรงไปก่อน
“หยุด! เดี๋ยวก่อน...” บรอธส่งเสียงดังลั่นในหัวของเฮเซคียาห์
แต่มันห้ามช้าไป เฮเซคียาห์ไถลพรืดไปบนพื้นซึ่งกลายเป็นแผ่นน้ำแข็ง เขาพยายามต้านการไถล จะยืนเฉยๆ แต่ต้านความลื่นของพื้นไม่ได้ กายเขาโงนเงน พุ่ง แล้วหน้าทิ่มลงไปกับพื้น
“โอ๊ย” เขาค่อยๆ พยุงตัวเองด้วยการท้าวสองมือยันเข้ากับพื้น
มือของเขาถูกดูดติดกับน้ำแข็ง
เฮเซคียาห์สบถอย่างหยาบคาย
“ใจเย็นๆ ใจเย็นเข้าไว้” บรอธเข้ามาใกล้ มันถูๆ ไถๆ ตัวเองกับน้ำแข็งบนพื้น ไม่นานน้ำแข็งละลายกลายเป็นแอ่งน้ำ และมือของเฮเซคียาห์ทั้งสองข้างเป็นอิสระ
เฮเซคียาห์เป่าลมออกจากปากดังฟู่ด้วยความโล่งใจ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“เฮ้! ไอ้หนู เอาไข่ไปกินป่ะ” เมเดียนมาอยู่ตรงหน้า โยนไข่ของวิหคเหมันต์สีฟ้าขุ่นลงตรงหน้าเฮเซคียาห์
เฮเซคียาห์ที่เพิ่งลุกขึ้นมาได้ มองเมเดียนอย่างงงๆ
ไข่วิหคเหมันต์ตกลงพื้น แต่ไม่แตก ไอเย็นแผ่ออกมาเห็นเป็นสายหมอกจางๆ
“คุณทำอะไรลงไป...” เฮเซคียาห์มองเมเดียน
วิหคเหมันต์สีขาวมีหิมะเกาะพราวตามเส้นขนทุกอณู อยู่บนไหล่ของเมเดียนได้อย่างไม่น่าเชื่อ ขนาดของมันใหญ่เท่ากับครึ่งตัวของเมเดียน มันมีท่าทีสงบ แพนหางสีขาวของมันยาวจากตัวลงไปจรดพื้นแลดูเหมือนกระโปรงชุดเจ้าสาวซึ่งยาวคลุมปิดแต่ด้านหลัง
“เธอเห็นพายุสลายไป แต่จริงๆ ฉันแค่ส่งพวกพายุนั่นไปที่อื่น ไม่งั้นเดี๋ยวบ้านฉันได้วอดวายไปด้วย”
“ผมนึกว่าคุณฆ่า...”
“เฮ้! ฉันเองก็มีเชื้อสายของนก” เมเดียนยักไหล่ข้างหนึ่งเบาๆ ขนนกสีดำของเขาเหมือนพองขึ้นเล็กน้อย “ฉันเห็นนกเดือดร้อนก็ต้องช่วย”
“ไข่...”
“อ๋อ นายกินไปเถอะ ตามปกติพวกนี้ก็แค่ไข่ทิ้งไว้ ไข่เรี่ยราด แล้วเดี๋ยวก็มาไข่อีกเรื่อยๆ”
เมเดียนหายตัวไปจากตรงหน้าของเฮเซคียาห์
“เดี๋ยวก่อน...” เฮเซคียาห์หมุนกายไปรอบๆ ตะโกนลั่น
“รายงาน: เขากลับบ้านไปแล้ว”
“โธ่เว้ย!” เฮเซคียาห์หัวเสีย
เขาสงสัยว่าเขาคิดผิดไหมที่ดื้อเพ่ง รั้งรออยู่ในป่าแห่งนี้ให้ผ่านไปวันๆ แบบน่าเบื่อ บางทีเขาอาจโง่บัดซบก็ได้ที่ฝากความหวังของตัวเองไว้กับมนุษย์กลายพันธุ์
“นายอยากกินไข่นี่ กินสักหน่อยไหม” บรอธลอยตัวเรี่ยพื้น เอาฝากล่องหนีบไข่ขึ้นมา
“คิดว่ามันสกปรกมากไหม ตกลงพื้นแล้ว”
“ไม่นี่ พื้นนี่เป็นน้ำแข็งไปแล้ว”
“อ๊ะ...” เฮเซคียาห์ลื่นไถลลงไปนั่งกับพื้นอีกหน
เขาส่งเสียงโอดโอย เจ็บยอกบริเวณก้นกบ
“กินไข่ให้อารมณ์ดีเถอะ” บรอธลดตัวของมันมาอยู่ในระดับสายตา
เฮเซคียาห์ยื่นมือไปรับไข่วิหคเหมันต์มา เขาส่งไข่เข้าปาก รสชาติของน้ำมะนาวโซดาหวานเย็นทำให้รู้สึกสดชื่น เขาคาบเข้าปาก เงยหน้ามองฟ้า ใจนึกถึงเครื่องบดน้ำแข็งที่เคยใช้ ถ้าหากว่าตอนนี้เขาอยู่ในพระราชวัง ไข่ใบนี้คงถูกเปลี่ยนสภาพให้เป็นเกล็ดหิมะแสนอร่อย