ตอนที่แล้วตอนที่ 13 First & Last kiss
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 15 雪春 剣星

ตอนที่ 14 บุตรสาวแห่งดิคเคนส์


 

ตอนที่ 14

บุตรสาวแห่งดิคเคนส์

ตอนที่ 14

บุตรสาวแห่งดิคเคนส์

 

        “โอ้ย รู้สึกเหมือนมีวัวห้าตัวอยู่ในท้องเลย”

        ยูทากะโอดครวญขึ้นหลังเดินออกจากร้านอาหารประเภทปิ้งย่างมาจนถึงที่จอดรถ เคนเซย์ที่เดินตามมาด้วยกันได้แต่หัวเราะส่ายหน้าอย่างระอาใจ

“ก็ใครใช้ให้พี่กินเยอะขนาดนั้นล่ะ สั่งแบบพอดีๆ สิ จะทรมานตัวเองทำไม”

“โหย ถ้ามากินแบบจ่ายเองใครเขาจะสั่งเซทแพงสุดแบบนี้กัน ของฟรีนี่นากินให้คุ้มสิ ใครจะไปมีเนื้อวากิวเอห้ากินที่บ้านเป็นปกติเหมือนนายกันล่ะ”

“แล้วกัน...นั่นความผิดผมรึไง ผมจำไม่ได้นะว่าก่อนมาเกิดเนี่ยเคยไปขอร้องใครให้ส่งมาเกิดเป็นลูกบ้านนี้”

“โธ่ แค่ล้อเล่นหรอกน่า...นะ เอาไว้วันหลังจะเลี้ยงข้าวที่โรงอาหารคืนนะ”

“ไม่ต้องหรอกผมก็ไม่ได้โกรธอะไรนะ เฮ้อ...เอาเถอะฮะ กลับเถอะเดี๋ยวผมไปส่ง”

รุ่นพี่สาวสวมแว่นยิ้มอ่อน ก่อนจะรับหมวกกันน็อกประจำตำแหน่งของผู้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันโตมา

แต่ในขณะที่เคนเซย์กำลังจะก้าวขาขึ้นรถ สายของเขาของก็หันไปเห็นกลุ่มคนในชุดเสื้อคลุมของกองปราบวิญญาณอันคุ้นตา ทุกคนกำลังก้าวลงจากรถแล้วคงกำลังรีบรุดวิ่งตรงไปยังที่เกิดเหตุทันที เคนเซย์วางหมวกลงบนเบาะ ตั้งสมาธิเปลี่ยนร่างกายเข้าสู่โหมดพลังวิญญาณ ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงก็ดังแว่วมาจากไกลๆ และเสียงนั้นก็สะกิดใจเขาอย่างแปลกแปร่งจนชายหนุ่มขนลุกเกรียวขึ้นมา

“เอ...นั่นพวกหน่วย K-2 รึเปล่า มากันทั้งหน่วยเลย สงสัยจะมีเรื่องใหญ่ เราไปดูกัน...”

ไม่ทันที่ยูทากะจะได้เอ่ยปากชวนเคนเซย์ก็เริ่มวิ่งออกไปแล้ว ยูทากะสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่กลั้นความจุกก่อนจะรีบวิ่งตามไปทันที

 

ก่อนหน้านี้เกือบสิบนาที

เฟย์นะทรุดล้มลงนั่งกับพื้นช็อกถึงขีดสุดจนร่างกายปลดปล่อยไอวิญญาณสีดำออกมาทั่วร่าง มันคือพลังงานประเภทเดียวกับดิคเคนส์ที่มีคุณสมบัติดูดพลังชีวิตของมนุษย์

“อีซีโอ อายะไม่ไหวแล้ว กลับกันเถอะ” เด็กสาวที่ก้าวถอยออกไปไกลเพื่อหลบให้พ้นจากระยะการถูกดูดพลังชีวิตตะโกนร้องบอกกับเจ้านายของตัวเอง ที่ตอนนี้เหมือนกำลังดีใจจนสติแตกไปแล้ว

“พาลูกสาวฉันไปด้วย”

“จะพาไปได้ยังไงกัน ดูพลังนั่นสิ อย่าว่าแต่อายะเลย ร่างของเลฟจะตายเอานะถ้าไม่รีบกลับ”

อายะพูดจบอีซีโอก็ทรุดล้มลงกับพื้นในทันที แม้จิตวิญญาณที่อยู่ภายในร่างนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เนื้อแท้ของร่างกายในปัจจุบันที่เขาอาศัยอยู่ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งพ่ายแพ้ต่อแรงดูดพลังชีวิตอันมหาศาลขนาดนี้ในระยะประชิด เพราะร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างกายที่แท้จริงของอีซีโอนั่นเอง

อายะไม่สนใจคำพูดอะไรอีกแล้ว เด็กสาวพุ่งเข้าหาตัวชายหนุ่มผมสีทองก่อนจะใช้พลังวิญญาณของตัวเองพาอีซีโอออกจากตรงนั้นไป

 

ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทำเอาเคนเซย์ทำได้เพียงยืนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก เมื่อเห็นเศษชิ้นส่วนของมนุษย์ที่หลุดออกเป็นสองท่อนด้วยลำตัวกับศีรษะ และยิ่งเมื่อใบหน้าของศีรษะนั้นหันมาให้ผู้มาใหม่ได้เห็นชัดๆ ว่าเป็นใคร คุณชายแห่งตระกูลยูคิฮารุก็หันควับไปทางหญิงสาวผมสีทองอีกคนที่นั่งคว่ำหน้าอยู่กับพื้นทันที หญิงสาวที่ตอนนี้มีคลื่นวิญญาณสีดำแผ่พุ่งออกจากร่างกายอย่างรุนแรง

ถ้าเจ้าของร่างกายฉีกขาดนั่นคือทิม ผู้หญิงผมสีบลอนด์ทองคนนี้ก็ต้องเป็นเฟย์นะอย่างแน่นอน

นี่มันเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้นกัน!

“เฟย์นะ!” เคนเซย์ทำท่าจะวิ่งเข้าไป แต่ยูทากะที่วิ่งตามหลังมากระโดดคว้ามือหยุดเขาไว้ได้ทัน

“เดี๋ยวก่อนเคนเซย์! ใจเย็นๆ!”

เคนเซย์เหมือนได้สติกลับมา เขาเริ่มเหลียวมองรอบตัวแล้วพบว่าหน่วย K-2 ที่มาถึงก่อนหน้าไม่นาน ยังคงล้อมวงกันอยู่ในระยะห่างๆ ไม่มีใครสามารถเข้าประชิดตัวหญิงสาวผู้ปล่อยไอวิญญาณสีดำได้ เพราะแรงดูดพลังชีวิตที่รุนแรงนั่นเอง ทุกคนยังดูสับสนทำอะไรไม่ถูกเนื่องจากไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย

“คนรู้จักงั้นเหรอ”

หัวหน้าหน่วย K-2 ตรงเข้ามาถามเคนเซย์ ซึ่งค่อยๆ ถอยหลังออกมาตามแรงดึงของยูทากะ

“ค่ะ เธอกับ เอ่อ...ผู้ชายคนนั้นเรียนอยู่ที่สถาบันกองปราบค่ะ เป็นรุ่นน้องของฉัน เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเคนเซย์”

“งั้นก็ยืนยันตัวได้ว่าเป็นมนุษย์จริงๆ สินะ รู้มาก่อนรึเปล่าว่าเธอเป็นแบบนี้ มีอะไรผิดสังเกตบ้างมั้ย”

“เท่าที่ฉันเคยเห็นก็ไม่มีนะคะ”

ยูทากะตอบรับแต่เคนเซย์ยังเงียบเอาแต่มองไปทางเฟย์นะด้วยสีหน้าวิตกกังวล จนรุ่นพี่สาวสวมแว่นต้องสะกิดให้เคนเซย์หันมาตอบบ้าง

“เอ่อ...ไม่เลยครับ เรียนด้วยกันจนจะจบปีสองแล้วเธอไม่เคยมีอะไรผิดสังเกตเลย ถ้ามีผมต้องรู้สึกได้แน่นอน”

โดยปกติแล้วนักปราบวิญญาณสายสลายพลังวิญญาณของหน่วย K-1 ถึง K-4 มีหน้าที่กำจัดดิคเคนส์ ซึ่งมีสถานะเป็นวิญญาณ ไม่เคยต้องกำจัดคนเป็นๆ ส่วนหน่วย K-0 มีหน้าที่กำจัดคนร้ายผู้มีพลังวิญญาณที่ใช้กระทำความผิดมาลงโทษ

แต่เหตุการณ์ในตอนนี้ ที่มนุษย์ตัวเป็นๆ สามารถปล่อยพลังงานรูปแบบเดียวกับดิคเคนส์ และไม่ได้มีท่าทางจะอาละวาดลุกขึ้นมาทำร้ายผู้คนเลยแม้แต่น้อย เพียงนั่งช็อกอย่างนิ่งเฉยราวกับตนเองก็เป็นผู้ถูกกระทำนั้น จึงไม่เข้าข่ายที่จะใช้มาตรการของหน่วยงานไหนจัดการได้ทั้งนั้น

ท่ามกลางบรรยากาศสับสน งุนงง ทำอะไรไม่ถูกกันไปหมด เสียงของเจ้าหน้าที่ชายคนหนึ่งในหน่วย K-2 ก็ดังขึ้นอย่างแตกตื่น

“นี่มัน...ระดับหกครับ!”

ทุกคนก้มลงมองเครื่องวัดพลังที่มีลักษณะคล้ายนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเองอย่างตกตะลึง เมื่อเครื่องวัดขีดพลังของดิคเคนส์ที่หมุนติ้วเป็นวงในตอนแรกนิ่งจนพอประเมินค่าออก และมันก็สูงลิ่วจนพากันแตกตื่นไปหมด เรียกว่าระดับหกก็อาจไม่ถูกนัก เพราะเข็มนั่นปริ่มๆ อยู่ระหว่างเส้นสุดของระดับหกกับอาณาเขตที่มากจนไม่อาจประเมินได้

ดิคเคนส์ระดับหกคือระดับสูงสุดที่ถูกบันทึกไว้ว่าเคยถูกค้นพบ แต่นั่นก็เป็นอดีตหลายสิบปีมาแล้ว

เมื่อเคนเซย์ได้ยินเสียงหัวหน้าหน่วยสองติดต่อขอการระดมพลขั้นสูงสุดจากกองปราบวิญญาณ เขาก็เริ่มตั้งสติและโทรหาความช่วยเหลือเช่นกัน แม้ในใจจะร้อนรนไปหมด แต่เขาก็คิดหาทางทำอะไรไม่ออกเลยสักอย่างเดียว

เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งของหน่วย K-2 เริ่มต้นปฏิบัติการณ์คนแรก ไม่ว่าจะทำอะไรได้หรือไม่แต่อย่างน้อยก็ต้องลองดูบ้าง เธอสามารถแปรพลังวิญญาณเป็นอาวุธคล้ายกล่องลูกบาศก์สีใส เอาไว้ใช้สำหรับจับกุมดิคเคนส์แบบไม่ให้สูญสลายไปก่อนได้ หรือจะลดขนาดลูกบาศก์เข้าให้เล็กลงจนบีบอัดวิญญาณให้สูญสลายไปก็ได้เช่นกัน

หญิงสาวเจ้าหน้าที่เรียกอาวุธของตัวเองออกมาก่อนจะโยนลูกบาศก์เข้าไป กล่องสี่เหลี่ยมสีใสอันว่างเปล่าขยายขนาดออกจนมีขนาดใหญ่พอกับตัวคน ก่อนจะครอบเข้าร่างของหญิงสาวที่ปล่อยพลังของดิคเคนส์ออกมา

ไอวิญญาณสีดำหายวูบเหมือนต้นสายพลังถูกตัดจนขาดไปชั่วขณะ แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้อ้าปากร้องดีใจ กล่องสีใสที่ครอบตัวเฟย์นะไว้ก็เริ่มถูกย้อมเป็นสีดำแล้วแตกออกในเวลาเพียงไม่กี่วินาที หญิงสาวเจ้าหน้าที่ทรุดล้มนั่งลงราวกับเพิ่งใช้พลังทั้งหมดที่มีออกไป

“เอ็ดจังเห็นแล้วใช่มั้ย พอรู้อะไรบ้างมั้ยครับ”

เคนเซย์ถามเอ็ดเวิร์ดที่อยู่ในสายโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงร้อนรน เขาเปิดวิดีโอคอลแล้วถ่ายทอดสดภาพให้ท่านรองของหน่วยเห็นถึงความพยายามของเจ้าหน้าที่เมื่อครู่นี้

“มันค่อนข้างมืดแล้วก็ไกลเกินไปหน่อยเลยเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไร อะ...ดูเหมือนมีสัญญาณเรียกรวมพลแล้ว หน่วยเราก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน แต่บอกให้ทุกคนถอยห่างออกมาอีกนิดดีกว่าดูเหมือนคลื่นดูดพลังชีวิตน่าจะรุนแรงมาก แล้วก็เคนเซย์ ตั้งสติเข้าไว้ ใจเย็นๆ อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”

เอ็ดเวิร์ดจางตัดสายไปเพียงเท่านั้น ยูทากะที่ได้ยินคำพูดนั้นของเอ็ดเวิร์ด ก็รีบไปบอกหัวหน้าหน่วยสองให้ออกคำสั่งถอยวงล้อมออกห่างมาอีกระยะ

เคนเซย์ได้แต่กำหมัดมองรอบตัวด้วยความพยายามอดกลั้นอย่างที่สุด จะโทษว่าไม่มีใครทำอะไรเลยก็ไม่ได้ เพราะมันดูไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้เลยจริงๆ หากว่าแม้แต่เขาก็ยังทำอะไรไม่ได้ ก็คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับคนอื่นแล้วเช่นกัน วิธีเดียวที่เขาคิดออกในตอนนี้คือรอนักสะกดวิญญาณประจำกองปราบให้มาถึงที่นี่ แล้วลองใช้คาถาไล่วิญญาณร้ายออกจากร่างของเฟย์นะเท่านั้น

การถูกสิ่งคือแนวคิดที่เป็นไปได้ที่สุดในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นอยู่ดีๆ มนุษย์ธรรมดาทั่วไปก็ไม่น่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แต่โดยปกติไอวิญญาณวีดำของดิคเคนส์จะเป็นผลร้ายต่อมนุษย์ทั้งในด้านวิญญาณและร่างกาย หากเฟย์นะกำลังถูกอะไรบางอย่างสิงอยู่จริงๆ ก็น่าแปลกใจที่ร่างกายเธอยังดูไม่เลวร้ายไปกว่าสภาพที่ควรจะเป็น แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าร่างกายของเธอจะทนได้สักเท่าไหร่กัน

เคนเซย์อยากจะลองทำอะไรสักอย่างแทบบ้าตายแล้ว แต่เขาไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรในสถานการณ์ตอนนี้

“ว่าไงนะ!”

เสียงอุทานตกใจของหัวหน้าหน่วย K-2 ดังลั่น เมื่อได้รับรายงานว่าเริ่มมีผู้คนทั่วไปจำนวนหนึ่งในละแวกนี้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลม หายใจติดขัดกันอย่างพร้อมเพรียง หากเป็นพร้อมกันมากขนาดนั้นก็เดาไม่ยากว่า มันคือผลกระทบที่เกิดจากไอวิญญาณสีดำที่กำลังแผ่พุ่งออกจากหญิงสาวผมสีทองในตอนนี้

คำสั่งเกณฑ์เจ้าหน้าที่ให้เริ่มไปช่วยอพยพผู้คนโดยรอบเริ่มขึ้น เพราะยืนล้อมวงอยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้อะไรดีขึ้นเลย ดีไม่ดีอาจจะเพิ่มภาระให้อีกต่างหาก ถ้ามีใครที่เริ่มต้านทานพลังไม่ได้จนต้องส่งตัวกลับไปให้แพทย์ดูแล

กำลังเสริมหน่วยแรกได้มาถึง เฮคเตอร์ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกับผ้าปิดตาที่หายไปชั่วคราว และพาเอ็ดเวิร์ดมาด้วยเป็นคนแรก ก่อนจะกลับไปรับฟอแกนด์มาเป็นคนที่สอง ส่วนชาเกลมาถึงราวๆ สองนาทีหลังจากนั้น พร้อมกับพาตัวนักสะกดวิญญาณทั้งสองคนซึ่งเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งของกองปราบวิญญาณมาด้วย โดยปกติพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลคุกที่คุมขังนักโทษที่มีพลังวิญญาณ

การร่ายคาถาไล่วิญญาณ ซึ่งมีเพียงนักสะกดวิญญาณสายเลือดตระกูลชามันด์หรือชามิลเลียร์เท่านั้นที่ทำได้เริ่มขึ้นในทันที แม้จะเป็นระยะที่ห่างไกล แต่เมื่อได้ความช่วยเหลือจากชาเกลใช้พลังเคลื่อนย้ายยันต์คาถาทั้งสองใบไปจนแปะติดที่หัวของเฟย์นะได้ การร่ายพลังก็เริ่มขึ้น

แต่แล้ว...ยันต์กระดาษก็เผาไหม้เป็นไฟไปโดยที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่ได้ผลครับ”

“ทางนี้ก็ไม่ได้ผลค่ะ”

ผลการรายงานจากนักสะกดวิญญาณวัยสามสิบกลางๆ ทั้งสองเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เอ็ดเวิร์ดรีบถามรายละเอียดขึ้นทันที

“พลังวิญญาณไม่พอหรือคาถาใช้ไม่ได้ผลครับ”

นักสะกดวิญญาณทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนฝ่ายหญิงจะเป็นคนตอบเมื่อทั้งสองดูเหมือนจะเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน

“คาถาใช้ไม่ได้ผลค่ะ โดยปกติการใช้ยันต์คาถาร่วมกับการร่ายคาถาทับแบบนี้จะไล่วิญญาณที่สิงมนุษย์ได้ทุกประเภทไม่ว่าจะมีพลังมากหรือน้อย มันเป็นกฎเกณฑ์ของวิญญาณแบบนี้มาตั้งแต่โบราณ เหตุผลข้อเดียวที่ทำให้คาถานี้ใช้ไม่ได้ผล คือร่างกายของมนุษย์คนนั้นไม่ได้มีวิญญาณอื่นๆ สิงอยู่”

“พูดให้ชัดกว่านั้นก็คือ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ถูกสิง ไอวิญญาณสีดำที่มีพลังเหมือนดิคเคนส์นี้คือเนื้อแท้ของวิญญาณของเธอนั่นเอง”

เมื่อนักสะกดวิญญาณผู้ชายกล่าวสรุปให้อีกครั้ง สถานการณ์ทุกอย่างก็ยิ่งเริ่มเลวร้ายขึ้นไปอีก เคนเซย์อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เขาแทบจะเถียงกับตัวเองในหัวว่าสองคนนี้แค่ทำผิดพลาดแล้วหาข้ออ้างมาอื่นมาแก้ต่างแทนตัวเอง

เพราะมันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลยสักนิด ถ้านี่คือวิญญาณเนื้อแท้ของเฟย์นะ แล้วทำไมเขาถึงได้ไม่เคยรู้สึกถึงมันเลยแม้แต่น้อย เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เขาแอบชอบเท่านั้น เขาแอบมองเธออยู่ทุกวัน มองอยู่ตลอดเวลามานานหลายปีก่อนจะได้พบกันอีกครั้งในสถาบันกองปราบด้วยซ้ำ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เขาจะไม่รู้เลยถ้าเธอซ่อนพลังนี้ไว้จริงๆ

“แพทย์วิญญาณมีความเห็นว่ายังไงบ้าง”

ฟอแกนด์หันไปถามแพทย์หญิงอนาเซียที่เฮคเตอร์ไปพาตัวมา คุณหมอมีอาการมึนหัวนิดหน่อยจนเซไปเกาะแขนเฮคเตอร์ไว้ เพราะห่างหายจากผลกระทบการพาหายตัวแบบนี้ไปนาน แต่สถานการณ์ตรงหน้าที่บีบรัดก็ไม่มีเวลาให้คุณหมอคนสวยได้พักมากนัก อนาเซียลองเดินเข้าไปใกล้ แต่เพียงไม่กี่ก้าวก็ถอยออกมาเพราะตัวเริ่มชาแล้วนั่นเอง

“พลังของแพทย์วิญญาณคือต้องสัมผัสตัวคนไข้เพื่อตรวจสอบอาการ ฟื้นฟูพลัง หรือรักษาซ่อมแซมอะไรต่างๆ ไปตามอาการค่ะ ตราบใดที่เข้าไปใกล้จนแตะตัวไม่ได้ฉันก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”

ความหวังครั้งใหม่ทลายลงไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเอ็ดเวิร์ดประมวลคำพูดของทุกคนได้เรียบร้อยแล้ว เขาก็ตัดสินใจพูดความเห็นของตัวเองออกมา แม้จะรู้ตัวเสมอว่าคำพูดของเขาค่อนข้างมีน้ำหนักต่อความเชื่อถือของทุกคน

“เคนเซย์ นั่นเพื่อนร่วมรุ่นของนายใช่มั้ย เธอชื่ออะไรนะ”

“เฟย์นะครับ”

“อืม...ไอวิญญาณสีดำนั่นน่าจะพุ่งออกมาจากตัวคุณเฟย์นะแบบที่เธอไม่รู้ตัว พลังอาจจะเกิดการรั่วไหลจากการช็อกถึงขีดสุด สั่นสะเทือนถึงในระดับดวงวิญญาณ ทำให้พลังบางอย่างที่มีในตัวปริแตกออก และเธอก็ไม่ได้มีสติที่จะพยายามควบคุมมัน ทุกคน...ผมคิดว่าพอจะมีอยู่สองหนทางที่อาจจะหยุดยั้งเธอได้”

“ทำยังไงครับ!” เคนเซย์ถามสวนขึ้นในทันที ด้วยท่าทีน้ำเสียงที่ทุกคนพอมองออกว่ากำแพงปิดกั้นความบ้าของเขาใกล้จะแตกออกแล้ว

“อย่างแรกคือทำให้เธอได้สติขึ้นมาเองและพยายามควบคุมพลังตัวเองให้ได้ อย่างที่สอง...คือสิ่งสุดท้ายจริงๆ ที่เราจะไม่ทำแน่นอน หากสถานการณ์ไม่เลวร้ายจนควบคุมไม่ได้แล้วจริงๆ เราต้องวิสามัญฆาตกรรมเจ้าของพลังนี้ ให้เธอกลายเป็นวิญญาณ เพื่อให้เจ้าหน้าที่กองปราบวิญญาณทำงานได้ตามปกติต่อไป...”

เกิดความเงียบขึ้นทั่วบริเวณ ผู้พูดประโยคนั้นอย่างเอ็ดเวิร์ดเองก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่อราวกับต้องใช้พลังใจในการตัดสินใจพูดอย่างมหาศาลเช่นกัน แน่นอนว่าคนที่ช็อกอ้าปากค้างที่สุดก็คือเคนเซย์นั่นเอง

“เราต้องลองอย่างแรกกันก่อนค่ะ!”

เสียงของยูทากะดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ หญิงสาวสวมแว่นไม่รอช้า เธอการควักปืนพกประจำตัวออกมาแล้วเล็งไปทางเฟย์นะในทันที

“หยุดนะ! พี่จะทำอะไร!”

เคนเซย์พยายามร้องห้าม แต่เฮคเตอร์กับชาเกลก็คว้าแขนทั้งสองข้างของน้องเล็กในหน่วยไว้ไม่ให้เข้าไปยุ่ง

“แค่เฉียดๆ เพื่อลองเรียกสติเธอเท่านั้น เชื่อใจฉันเถอะ”

ยูทากะเอ่ยขึ้น ก่อนจะเริ่มตั้งสมาธิเล็งอย่างจริงจัง แต่แล้วกระสุนสลายวิญญาณดอกแรกก็สลายไปก่อนที่มันจะเข้าถึงตัวเฟย์นะได้

“ไอพลังสีดำคงมากเกินไป ต้องใช้กระสุนจริงที่พลังพวกนี้ไม่มีผลด้วย”

ฟอแกนด์เอ่ยขึ้นก่อนจะควักปืนของตัวเองออกมา เขาไม่รอให้เคนเซย์ทำเสียงน่ารำคาญอะไรทั้งนั้น กระสุนจริงที่เหมือนแทบไม่ได้เล็งถูกยิงออกมาจนวิ่งทะลุผ่านไอพลังสีดำนั้นไป และเข้าเฉียดบาดที่ต้นแขนของหญิงสาวไปเล็กน้อย

ร่างของเฟย์นะเหมือนมีการกระตุกให้รู้สึกตัว หญิงสาวที่ช็อกจนแน่นิ่งไปราวกับได้สติรู้ตัวกลับมา

ทว่า...นั่นกลับยิ่งทำให้เรื่องทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีกขั้นแล้ว

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด