ตอนที่ 11 ค้นพบบางสิ่ง
ตอนที่ 11 ค้นพบบางสิ่ง
เสียงของเหอไป๋เทียนนั้นแผ่วจางจนหายไป...
เด็กคนนั้นกำลังไปไกลจากเขาเรื่อยๆ แล้ว...
พอตั้งสติได้เสวี่ยหงเยว่จึงรีบใช้พลังจับสัมผัสของเหอไป๋เทียนเพื่อคาดคะเนว่าเด็กคนนั้นจะถูกพาตัวไปยังทิศทางใดทันที ทว่าความมืดมิดในถ้ำก็สร้างความสับสนให้กับพลังของเขาเป็นอย่างมาก เขาจับคลื่นสิ่งมีชีวิตไม่ได้เลยแม้แต่น้อย สัมผัสของเหอไป๋เทียนเองก็ไม่รู้สึก
ในเวลานี้สิ่งที่รับได้มีแต่คลื่นพลังที่กล้าแข็งพยายามรบกวนสมาธิของเขาอยู่
คลื่นพลังอันแรงกล้านั้นดึงดูดให้เท้าก้าวเดินไปอย่างเสียการควบคุม แม้เสวี่ยหงเยว่จะเป็นห่วงเหอไป๋เทียนมากเท่าใด แต่ทุกครั้งที่พยายามจะขัดขืนเพื่อเดินไปยังอีกทาง ความรู้สึกอึดอัดทรมานราวกับจะบีบหัวใจให้แหลกก็เกิดขึ้นทันที เขาขัดขืนร่างกายตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เสวี่ยหงเยว่รู้จักสภาวะการที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ดี ร่างกายของเขากำลังบังคับให้ทำตามบท
นั่นเท่ากับว่าทางที่กำลังมุ่งหน้าเดินไปนั้นจะต้องมีอะไรบางอย่างซึ่งสำคัญต่อการดำเนินบทบาทของเสวี่ยหงเยว่รอเขาอยู่
เขาหวังว่าพระเอกอย่างเหอไป๋เทียนคงมีสกิลอมตะอยู่บ้าง อย่างน้อยก็คงไม่ตายจนกว่าจะจบเรื่อง
เสวี่ยหงเยว่เดินมาเรื่อยๆ เขาจำไม่ได้เลยว่าตนเดินไปยังทิศใดบ้าง เลี้ยวทางไหนบ้าง ความมืดมันสร้างความสับสนให้มากกว่าที่คิดนัก กว่าที่จะรู้ตัวอีกทีก็หยุดอยู่ตรงหน้าทางตัน หันไปทางซ้ายก็พนังถ้ำ หันไปทางขวาก็ก้อนหินใหญ่ รอบกายไม่ปรากฏเส้นทางให้เดินไปต่อได้เลยนอกจากถอยหลัง
ซึ่งพอจะลองถอยก็ถอยไม่ได้ เท้าเขาตรึงแน่นอยู่กับที่
“แล้วจะให้ไปทางทางไหนละเฮ้ย!” สบถออกมาอย่างหัวเสีย กลับตัวก็ไม่ได้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง ไม่เหลือตัวเลือกอะไรให้เลยสักทาง แต่ก่อนที่จะอาละวาดแหกปากไปมากกว่านี้ ภาพของเหอไป๋เทียนก็ลอยขึ้นมาให้ความคิด เสวี่ยหงเยว่ข่มตาลงทำหัวให้เย็น ท่องเอาไว้เขาไม่ควรเสียเวลาแม้แต่น้อย ต้องรีบดำเนินตามเนื้อเรื่องให้จบโดยเร็วเพื่อที่จะได้ให้ร่างกายตัวเองเป็นอิสระจากการบังคับ
เสร็จภารกิจตัวเองเมื่อไรเขาต้องไปตามหาเหอไป๋เทียน
มือไม้แตะสะเปะสะปะสำรวจไปตามพนังด้านหน้าและด้านข้างเอาความรู้ที่มีจากการอ่านนิยายแนวผจญภัยขุดสมบัติมาใช้ หากร่างกายเขาบังคับให้มาทางนี้นั่นเท่ากับว่าเส้นทางที่ถูกต้องมันต้องซ่อนอยู่เบื้องหลังสิ่งกีดขวางเหล่านี้ เขาชะงักมือเล็กน้อยเมื่อไล่จับไปแล้วรู้สึกว่าแผ่นหินตรงจุดหนึ่งมันมีความหนาแตกต่างจากพวก
เสวี่ยหงเยว่คิดว่านั่นคงเป็นกลไกอะไรบางอย่างเขาจึงรีบดันมันทันที!
เสียงแผ่นหินขูดกับพื้น เสวี่ยหงเยว่ใช้เวลาเล็กน้อยในการเลื่อนเปิดประตูกลเนื่องจากระยะเวลาที่ผ่านมานานทำให้กลไกของมันฝืดเคือง
เมื่อเปิดประตูออกได้เขาก็พบแสงสว่างสาดจ้าเข้ามาจนสายตาคนที่อยู่ในความมืดเป็นเวลานานพร่าเบลอไปชั่วครู่ เสวี่ยหงเยว่หรี่ตาหยี เอามือข้างหนึ่งยกขึ้นป้องเอาไว้ เขาใช้เวลาในการปรับตัวกับแสงนั้นสักพักหนึ่งจึงได้เห็นว่ามีอะไรบางอย่างรออยู่ตรงหน้า
ที่แห่งนี้เป็นโถงกลางในถ้ำ มันกว้างขวางมีเนินหิน เนินทรายและแหล่งน้ำใสหล่อเลี้ยงดูงดงามแก่สายตา ในนี้ไม่ได้มีแสงจากด้านนอกส่องเข้ามา แสงสว่างทั้งหมดในนี้เกิดขึ้นเองจากพลังของบางสิ่งที่ชูช่ออยู่กลางโถงนั้น
ดอกโบตั๋นกลีบซ้อนเป็นชั้นงดงามสวยเปล่งแสงเรืองรองนวลตาแสนอ่อนโยน พลังสว่างที่สะอาดบริสุทธิ์แผ่กระจายไปรอบๆ สมกับที่อยู่รอดมานับพันปี
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น...
เขากลับไม่ได้สนใจสิ่งที่เบ่งบานชูช่อดอกสวยอยู่เบื้องหน้าเเลยแม้แต่น้อย เสี้ยวหนึ่งในใจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าดอกไม้ดอกนี้คือจุดประสงค์ที่เขาดั้นด้นลงมา
มันไม่อาจดึงความสนใจของเขาไปได้เลยสักนิด
เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของดอกไม้พันปีดอกนั้นคือแท่นศิลาสลักอักขระโบราณที่มีเม็ดอัญมณีสีดำสนิทฝังตรึงเอาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา
เมื่อมาอยู่ใกล้จึงได้รู้ว่าพลังบางอย่างแผ่กระจายแทรกไปกับพลังของดอกโบตั๋นพันปี และเขาเข้าใจได้ทันทีว่าสัญญาญเรียกร้องให้เสวี่ยหงเยว่เดินมานั้นส่งจากอัญมณีเม็ดนั้น
ในเรื่องย่อที่อ่านมา กว่าชีวิตของเสวี่ยหงเยว่จะถึงจุดตกต่ำเข้าด้านมืดเต็มตัวเป็นจอมมารตัวร้ายสุดโฉดใจทราม ฆ่าไม่ได้หยามก็ไม่ได้ ไม่ไว้หน้าใครซ้ำยังทรยศคนได้หน้าตาเฉยเพื่อครอบครองสมบัติวิเศษ อายุอานามก็ปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้ว
ซึ่งห่างจากช่วงเวลาปัจจุบันนี้สิบกว่าปี
ช่วงวัยรุ่นของเสวี่ยหงเยว่ตัวต้นฉบับนั้นราบเรียบปกติเชียวล่ะ เป็นประมุขที่ดีไม่แพ้บิดา คอยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้ชาวเมือง ได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้ใหญ่ต่างสกุล คนหนุ่มไฟแรงที่ให้ความสำคัญกับหน้าที่การงานของตัวเองยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
เขาสงสัยมาตลอดตั้งแต่ที่ได้อ่านบท ว่าอะไรทำให้คนๆ หนึ่งเดินทางเข้าสู่ด้านมืดได้ ทำไมคนเอาการเอางานเช่นนั้นจึงปล่อยให้ตัวเองเป็นคนร้ายกาจ เสวี่ยหงเยว่ตัวต้นฉบับจะต้องพบกับจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากและสำคัญมากกว่าการที่เห็นพ่อแม่ตายต่อหน้าแน่ๆ
และในตอนนี้เขาคิดว่าตนได้คำตอบนั้นแล้ว
เสวี่ยหงเยว่ขยับเท้าอย่างเชื่องช้า หัวใจเต้นเร็วและแรงจนหูอื้ออึงไปหมด สติหลงเหลือเพียงครึ่ง เขารู้สึกราวกับตัวเองกึ่งหลับกึ่งตื่นเดินละเมอ
เสวี่ยหงเยว่ไร้สติมากจนเดินเลยดอกโบตั๋นพันปีสำหรับเขาแล้วคลื่นพลังพันปีรุนแรงสู้อัญมณีเม็ดนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แรงดึงดูดนั้นทำให้เขาลืมเป้าหมาย ลืมไปสิ้นว่าตัวเองลงมาที่นี่เพราะอะไร
ในตอนนี้เขาลืมทุกๆ อย่าง
ลืม...
ฝ่ามือเอื้อมไปแตะอัญมณีที่ฝังตรึงอยู่กลางศิลาราวกับต้องมนต์สะกด มวลหนาแน่นของพลังหนักหน่วงราวกับมีคลื่นสาดกระทบเข้าใส่อย่างรุนแรง เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ สติที่มีถูกกลบไปจนเกือบสิ้นกว่าจะรู้ตัวว่าควรหนี ความมืดเข้มข้นก็ซึมผ่านเข้ามาในร่างกายเสียแล้ว
มากเสียจนทรุดลงไปเดี๋ยวนั้น
ความทรมานราวกับถูกบางอย่างที่รุนแรงและร้อนราวเหล็กหลอมทะลักเข้ามาในร่างกาย แม้จะพยายามเคลื่อนตัวหนีก็ไม่อาจจะหนีไปได้ มันพันธการร่างเขาเอาไว้ ตรึงกายบังคับให้หยุดนิ่ง แทรกซึมพลังความมืดให้เข้าในทุกช่องทางที่จะเข้ามาได้ สร้างความปั่นป่วนให้กับเสวี่ยหงเยว่ เขานอนขดลงไปกับพื้นตัวบิดงอหากแต่ไม่อาจจะส่งเสียงอะไรได้ ห้วงสติทั้งหมดเริ่มหาย ลมหายใจขาดช่วง
เจ็บปวดแทบเจียนตาย
…
…
ความบิดเบี้ยวเกิดขึ้นแก่สายตาที่พร่ามัวของเขา ทิวทัศน์หมุนวนจนคลื่นเหียน เขามองเห็นภาพปัจจุบันตัดสับภาพในอดีตกลับไปกลับมา
ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก ค่ำคืนจันทร์สีเลือดที่เขาเกิดมาในครอบครัวเสวี่ย ภาพของประมุขเสวี่ยและภรรยากำลังถูกสังหาร ภาพของพิธีการแต่งตั้งประมุขในวัยเยาว์ ภาพทุกภาพการกระทำทุกอย่างนั้นล้วนเกิดกับเขามาแล้ว หากแต่ เขากลับ...กลับรู้สึกว่านี่คือความทรงจำของผู้อื่นที่ไม่ใช่เขา
มันไม่ใช่ของเขา
ภาพความทรงจำเหล่านั้นหลั่งไหลเขามาไม่หยุด จนเขาอึดอัด มันอัดแน่นจนร่างกายรับไม่ไหว
ภาพสุดท้ายที่ช่วยดึงสติได้...คือภาพของน้ำตกถูกพังทลายพร้อมกับใครบางคนสังหารเหมยฉีเพื่อแย่งชิงอัญมณีดำเม็ดนั้น
“ไม่นะ!!!” เขาร้องออกมาก่อนที่ทุกอย่างจะตัดไป
พร้อมกับภาพใหม่เข้ามาแทนที่
ความพังพินาศก่อเกิดในสถานที่เคยคุ้นตา ภาพกองซากศพที่เกลื่อนเต็มสองข้างทาง ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเสียหายราพณาสูร เขาไม่มั่นใจได้ว่าภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขานี้คือความฝัน ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่านี่คือความจริง แต่ทั้งกลิ่นอาย ทั้งสัมผัสนั้นมันสมจริงมากเสียจนขนลุก
สถานที่แห่งนั้นคือตำหนักของสกุลเสวี่ยที่พังทลายเป็นซากปรักหักพังราวกับเพิ่งผ่านการถูกทำลายล้างอย่างบ้าคลั่งไม่เหลือเค้าโครงความงดงามยิ่งใหญ่อีกต่อไป
บ้าคลั่ง...มากเสียจนทุกสิ่งทุกอย่างไม่เหลือชิ้นดี
แมลงวันกระทบปีกบินวนเกาะซากศพที่นอนเกลื่อนกลาดเต็มสองข้างทาง สร้างกลิ่นคลื่นเหียนชวนอาเจียนเป็นอย่างมาก เมื่อเดินข้ามสะพานไม้ สระนิลปัทม์ที่เคยมีดอกบัวงามเบ่งบานบัดนี้แห้งเหี่ยวไร้ซึ่งความงดงามใดๆ อย่างที่เขาคุ้นตาอีกต่อไป
ความวังเวงอันไม่น่ามอง ความต่ำตมจนไม่เหลือซึ่งความรุ่งโรจน์ใดๆ
ยิ่งเดินผ่านยิ่งระลึกถึงความทรงจำครั้งยังสวยงาม ยิ่งเดินผ่านเขายิ่งพบกับร่างอันไร้ซึ่งวิญญาณของคนสำคัญที่เขาเคยรู้จัก หลานซิ่นหลิง...เหมินจิ้นเค่อ...จงฉิงเจีย…และทุกๆ คนที่เขาเคยพบ เคยใช้ชีวิตร่วมกัน ได้พูดคุยทักทายและหัวเราะ
ทุกคนตายหมดแล้ว
เขากอดร่างตัวเองเอาไว้ เนื้อตัวนั้นสั่นเทาโดยไม่มั่นใจว่าเพราะอากาศอันหนาวเหน็บหรือเป็นเพราะความหวาดกลัวที่กำลังก่อตัวในจิตใจ
สิ่งที่เห็นมันพร่าเลือนไม่ชัดเจนราวกับภาพลวงตาหากแต่เสียงกรีดร้องในใจก็ทำให้เผลอคิดว่ามันคือความจริงที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคตสักวัน
เพียงแค่นั้นก็พาให้หัวใจบีบรัดจนแทบสลาย
ยิ่งเมื่อมองทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า บัลลังก์แห่งสกุลเสวี่ยปรากฏร่างอันโดดเดี่ยวของชายคนหนึ่ง ดวงตาของคน ๆ นั้นมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างพึงพอใจ เขาส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ ดูราวกับคนไร้สติสัมปชัญญะไม่มีผิด
เส้นผมสีขาว ดวงตาสีแดง เครื่องแต่งกายอันทรงค่าสีขาวปักลวดลายดอกปี่อั้นที่บัดนี้บางส่วนถูกย้อมด้วยคราบเลือดเก่าแห้งกรัง
ชายคนนั้นมีใบหน้าที่เขาคุ้นเคยมาตลอดระยะเวลายี่สิบสามปี
คนที่อยู่บนบัลลังก์นั้น คนที่ดูทั้งบ้าคลั่งและโดดเดี่ยวคือเสวี่ยหงเยว่
ที่ไม่ใช่...เสวี่ยหงเยว่
...ไม่ใข่เขา…
เขารู้สึกเหมือนว่าได้สบตากับ ‘เสวี่ยหงเยว่’ อีกคน ร่างกายของเขาก็หยุดนิ่งงันราวกับช่วงเวลาได้ถูกแช่แข็ง ความรู้สึกบางอย่างที่อัดอั้นก่อตัวแน่นขึ้นในใจ หลั่งไหลออกมาจนหาคำพูดใดมาเปรียบเปรยไม่ได้ สับสนจนปากไม่อาจจะเรียบเรียงให้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดๆ
เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร
ทว่าช่วงเวลากลับอยู่ได้ไม่นาน อยู่ๆ ก็เกิดความมืดขึ้นมาจากท้องฟ้าและเริ่มขยายจนกลายเป็นหลุมดำดูดกลืนทิวทัศน์ทุกอย่าง ร่างกายของเขาถูกดึงออกไปจากเหตุการณ์นี้อย่างต้านไม่อยู่ เสี้ยววินาทีนั้น เขาคล้ายกับเห็นอะไรบางอย่าง…
ริมฝีปากของเสวี่ยหงเยว่อีกคนนั้นขยับ
และเขารู้สึกเหมือนจะได้ยินคำพูดบางอย่าง…
ความมืดมิดที่ดูดกลืนทุกอย่างสงบลงแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างจ้า เสวี่ยหงเยว่ที่นอนขดตัวกับพื้นจึงตื่นขึ้นมาจากห้วงภวังค์ ความหนักอึ้งจากสิ่งที่เห็นในความฝันทำให้พะอืดพะอมมากจนเกือบประครองตัวลุกขึ้นนั่งแทบไม่ไหว ทั้งหัว ทั้งตัว ปวดจนต้องใช้เวลานั่งสักพักเพื่อรวบรวมสติที่แตกกระจายให้กลับมา
เสวี่ยหงเยว่สูดลมหายใจลึกๆ คลื่นพลังบางอย่างนั้นลอยวนอยู่ในมือของเขาจนรู้สึกหนักอึ้งไปหมด อัญมณีที่ไม่อาจทราบได้ว่ามันหลุดออกมาจากศิลามาตั้งแต่เมื่อไรกำลังส่องประกายกระทบหยอกล้อกับแสงที่ส่องมา คล้ายเอ่ยทักทายเขา
ซึ่งมันได้เลือกแล้วว่าจะให้ใครเป็นนายคนใหม่
ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วการที่เขาได้เจอกับเหอไป๋เทียนไวกว่าที่ควรจะเป็นไม่ใช่เพราะเส้นเรื่องผิดพลาด
แต่เพราะพวกเขาทั้งคู่ต่างมีสตอรี่สำคัญที่ต้องปลดล็อคที่ถ้ำใต้น้ำตก และการพบเจอของคนทั้งสองซึ่งมีความสำคัญต่อการดำเนินเนื้อเรื่องในสถานที่แห่งนี้ ความบังเอิญอย่างร้ายกาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั้งเขาและเหอไป๋เทียนโดนดึงเข้ามาพร้อมๆ กัน
ภาพที่เกิดขึ้นในหัวของเขาเมื่อครู่ทำให้เขารู้ว่าเสวี่ยหงเยว่จะต้องมีอัญมณีเม็ดนี้เพื่อให้พลังมืดในตัวเองเพิ่มขึ้นมากพอที่จะฝึกฝนวิชาต้องห้ามทั้งหมด มันคือส่วนสำคัญที่ทำให้คนๆ นั้นเสียสติจมลงด้านมืดได้อย่างรวดเร็ว หากหลบเลี่ยงเนื้อหาในส่วนนี้ไปก็ไม่อาจจะดำเนินเนื่อเรื่องการเป็นตัวร้ายของตัวเองต่อไปได้
ถึงไม่อยากจะได้มาแต่บทต้องเดินไปแบบนั้นเขาก็ต้องจำใจยอมรับมัน
สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดพลาดแต่เป็นเพราะทุก ๆ อย่างต้องดำเนินไปตามเรื่องราว...ไปตามเนื้อเรื่องที่สะเปะสะปะไม่อาจคาดเดาความแน่นอนได้
หากจะมีสิ่งที่เล่นตลก มันคงเป็นโชคชะตาที่คนเขียนบันดาลให้กับตัวละครเช่นเขา
นอกจากเรื่องของอัญมณีนั้นแล้วภาพที่เขาเห็นในฝัน มันคือภาพของเสวี่ยหงเยว่ที่ตกต่ำเป็นจอมมาร หันหลังให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง เขาสังหารมิตรสหาย ทำลายแม้แต่บ้านเมืองของตนเพื่อตอบสนองความต้องการในอำนาจ
ชั่วร้าย ดำดิ่งลงไปในความมืด จิตสำนึกด้านดีไม่มีหลงเหลือ คนๆ นั้นมีคุณสมบัติอย่างที่ตัวร้ายควรจะมีทุกอย่าง
ทว่าความโดดเดี่ยวอันเคว้งคว้างบนบัลลังก์ประมุขนั้น...มันกลับไม่ทำให้รู้สึกถึงความน่ารังเกียจ น่าสมเพชอย่างที่ควรจะรู้สึกกับตัวร้ายผู้ตกต่ำ ภาพทั้งหมดนั้นมันทำให้เขารู้สึกเศร้า เศร้าและรู้สึกเจ็บปวดจนในอกนี้แทบแหลกสลาย ความรู้สึกทรมานกลั่งกรองออกมาจนจุกแน่นแม้น้ำตาจะไม่ได้รินไหลแต่ก็รู้สึกราวกับล้ากำลัง...
ไม่ใช่เพราะว่าคนๆ นั้นคือเสวี่ยหงเยว่ ไม่ใช่เพราะว่าตัวเองตอนนี้คือเสวี่ยหงเยว่หากแต่ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในนี้มันคือความสงสารที่มีให้กับใครสักคน…
คงจะทรมานและเดียวดายมาตลอด
นั่นคือความรู้สึกที่เขาคิดจากมุมมองของคนที่สาม
แม้เสวี่ยหงเยว่ไม่อาจรู้ได้ว่าความฝันที่ตนเห็นนั้นคืออะไร จะเพราะอัญมนีนั้นทำให้เขามองเห็นหรือจะเพราะความฝันจากจิตปรุงแต่ง เขาไม่อาจจะตัดสินใจได้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่รู้และมั่นใจว่าเสวี่ยงหงเยว่ที่เขาเห็นคนนั้นไม่ใช่เขา
แต่เป็นเสวี่ยหงเยว่ตัวต้นฉบับ...
หวนระลึกถึงสิ่งที่เห็นในความฝันนั้นแล้วก็ทำให้เขาใจหายวูบ เสวี่ยหงเยว่ไม่อาจรู้ได้ว่าทฤษฎีของเขาจะถูกต้องทั้งหมดหรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นในฝันมันจะเป็นเรื่องในอนาคตของเขา หรือคือเนื้อเรื่องของเสวี่ยหงเยว่ตัวต้นฉบับ ไม่ว่าจะเป็นแบบใดเขาไม่แน่ใจเลยสักอย่าง
แต่เสียงที่เขาได้ยินมาจาก ‘ตัวเขาอีกคน’ มันยังคงติดตรึงในความทรงจำไม่หายไป
‘จงเป็นอิสระ อย่าได้ถูกครอบงำ’
คำพูดนั้นยังคงกังวาลอยู่ไม่คลายไปเลย...
แต่เขามีเวลาให้คิดถึงเรื่องของเสวี่ยหงเยว่อีกคนได้ไม่นานนัก อยู่ๆ การสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของพื้นดินก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีสัญญาณบอกกล่าว เสียงลั่นราวกับบางอย่างแตกร้าวดังสนั่น เศษหินก้อนเล็กปะปนรวมเป็นทรายป่นร่วงลงมากระทบกับพื้นเบื้องล่างราวกับห่าฝน เรียกให้เสวี่ยหงเยว่รีบเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนทันที และได้เห็นถึงสาเหตุนั้น
พนังถ้ำบนหัวเขาเริ่มแยกตัวออกจากกัน...
ในตอนนี้ต่อให้ไม่มีสติก็ต้องตั้งสติกันแล้วล่ะ!
เสวี่ยหงเยว่ตั้งท่ากางม่านป้องกันตนเองทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเกินอันตรายจากการโดนพนังถ้ำถล่มลงมาใส่หัว อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้เขาต้องรีบเอาตัวรอดก่อน
แต่ทว่า...!!
ในจังหวะที่เขามองซ้ายขวาหาทางรอด เสวี่ยหงเยว่ก็ต้องชะงักเมื่อสะดุดตากับดอกโบตั๋นพันปีที่เบ่งบานตรงหน้า
มันกระตุ้นให้เขานึกทุกอย่างออก ทั้งเหตุผลที่ดั้นด้นมานี่
และ...นึกถึงภาพของเด็กคนนั้น เพียงแค่นั้นความรู้สึกผิดก็กัดกินเข้ามาในจิตใจ เสวี่ยหงเยว่ทรุดลง นึกโกรธแค้นตัวเองที่ถูกภาพแห่งอัญมณีมืดนั้นครอบงำจนลืมเรื่องสำคัญไปเสียสิ้น
เรื่องที่สำคัญ...
“ไป๋เทียน!!”
เขาร้องเรียกชื่อเด็กคนนั้นในจังหวะเดียวกันกับที่พนังด้านบนแตกเป็นเสี่ยงและถล่มลงมา!