ตอนที่ 10 ดำดิ่งลงไป
ตอนที่ 10 ดำดิ่งลงไป
แม้ภายนอกไร้อารมณ์ความรู้สึกสักเพียงใดแต่เสวี่ยหงเยว่ก็พยักหน้ากล่าวชมเหอไป๋เทียนอย่างภาคภูมิในใจ ประดุจดังพ่อหลงลูกชายไม่มีผิด เขาเอื้อมมือไปลูบหัวของเด็กชาย ลูบๆ แล้วโยกไปมาเบาๆ สองถึงสามที ให้เด็กรู้สึกดีใจที่ตัวเองเก่งและตอบถูก
เหอไป๋เทียนเอามือจับหัวตัวเองเล็กน้อย หัวเราะแหะๆ
“ท่านเหมยฉี ท่านบอกข้าได้หรือไม่ขอรับว่าสิ่งที่ท่านต้องการใต้น้ำตกนี้ คืออะไร?” เหอไป๋เทียนเอ่ยถาม จึงทำให้เหมยฉีเงียบลงเล็กน้อย คล้ายนางพะวงว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกหรือไม่
เหมยฉีมีหน้านางจะดูกังวลหนักก่อนนางจะค่อยๆ ตอบคำถามของเหอไป๋เทียน
“ดอกโบตั๋นพันปี...เจ้าค่ะ”
หากตรงนี้มีโต๊ะ ก็ขอตบโต๊ะสักฉาด หรือถ้าไม่มี ก็อยากจะตบเข่าตัวเอง!
เสวี่ยหงเยว่คาดไว้แล้วว่าไอ้การดำเนินเรื่องแบบนี้มันต้องนำไปสู่เนื้อหาสำคัญอะไรสักอย่างแน่ แดนลับแลที่ปิดซ่อน สัตว์หายาก ดอกไม้พันปี โอ้โห! ครบสูตร! ขอถามด้วยใจจริงเลยทำไมไอ้ของหายากแบบนั้นถึงได้โผล่มาให้เจอง่ายๆ ประดุจออกไปซื้อของที่ตลาดปากซอยขนาดนี้กัน เขาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอยู่บนเขาเสวี่ยนี้มาตลอดยี่สิบสามปียังไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลยนะ?
หรือเพราะโดนดึงเข้าไปในเนื้อเรื่องพระเอก ถึงได้เจอนั่นเจอนี่เต็มไปหมด สมแล้วที่เป็นพระเอก เจอกันไม่กี่ชั่วโมง งานก็งอก สาดโคร้มเข้ามาหาไม่หยุดหย่อน
กลิ้งตกเขา เจอหมาป่ายักษ์ แขนเป็นแผลเหวอะ
ขอบคุณ ขอบคุณ
ขอบคุณไม่ลงเลยเว้ยยย ฮือออ
เสวี่ยหงเยว่ได้แต่นึกน้อยใจในโชคชะตาตัวเองที่นอกจากมาเป็นตัวร้ายแล้วยังถูกดึงเข้าสู่เนื้อหาของพระเอกอีก งานหลักก็ต้องทำ งานใหม่ก็เข้ามา ทำไมเขาตอนเซ็นสัญญาเขาถึงไม่ร้องขอเงินเดือนจากการมาอยู่ที่โลกนี่บ้างนะ ไม่อย่างนั้นเขาคงเป็นพนักงานดีเด่นไปแล้ว
“กลีบของดอกโบตั๋นพันปี แม้เพียงแค่กลีบเดียวก็เพิ่มพลังให้กับสัตว์เช่นข้าเป็นอย่างมาก และมันคงจะมากพอที่จะทำให้ข้ามีเรียวแรงคลอดเด็กคนนี้ออกมา”
เหมยฉีบอกถึงเหตุผลของตน นางมองเสวี่ยหงเยว่และเหอไป๋เทียนด้วยดวงตาสีเขียวสวยราวกับหยกคู่นั้น สายตาคล้ายกับจะอ้อนวอน
“ที่แห่งนั้น แม้แต่ปลาที่แหวกว่ายในน้ำก็มิอาจเข้าไปถึง จำเป็นจะต้องพึ่งพาผู้ที่มีพลังปราณบริสุทธิ์เช่นท่านทั้งสองในการดำลึกลงไปถึงถ้ำด้านล่าง...ข้าต้องอภัยจริงๆ ที่บังอาจล่วงเกินอ้อนวอนพวกท่าน”
“พอแล้วขอรับ” เป็นเหอไป๋เทียนที่เอ่ย เขาลูบไล้ไปตามแนวเส้นขนของเหมยฉีเบาๆ แล้วยิ้มบาง
เสวี่ยหงเยว่หลับตาลง นับหนึ่ง สอง และสามในใจ
“ข้าปล่อยผู้เดือดร้อนไปไม่ได้อยู่แล้ว”
นั่นไงล่ะ! นั่นไงล่ะ! นั่นไง! มาแล้วไง! บทพูดเด็ดของสิ่งมีชีวิตชนชั้นพระเอก การปล่อยคนเดือดร้อนไม่ได้นั่นน่ะ ผ้มนี้แทบอยากจะแหกปากกรีดร้องแล้วเขย่าตัวให้แรงๆ เพราะเอ็งชอบตกปากรับคำคนทุกข์ยากทุกคนแบบนี้ไง ความซวยถึงมาเยือน ไอ้คุณพระเอก!!
การพูดแบบพระเอกของเหอไป๋เทียนนั้นสร้างความประทับใจให้กับเหมยฉีเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่านางนั้นซึ้งแบบสุดๆ จนแทบโค้งคำนับให้กับเด็กชายเลยก็ว่าได้
เสวี่ยหงเยว่เลยต้องถอนหายใจอีกรอบ ในเมื่อลงเรือลำเดียวกันมาแล้ว ก็ต้องลงไปให้สุด ถ้าเหอไป๋เทียนจะทำอะไรตอนนี้ นอกจากจะห้ามไม่ได้แล้ว เขายังต้องคอยสนับสนุนด้วย
“เช่นนั้น...พวกเราต้องดำลงไปข้างล่างใช่ไหม?” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยถามหากแต่เหอไป๋เทียนกลับส่ายหน้า
“ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นน้องต่างหาก”
“ว่าไงนะ?” เขาถึงกับควบคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ได้ชั่วครู่ รีบหันมาด้วยความตกใจทันที จะไปคนเดียว บ้าแล้วหรือไง อันตรายจะตายไป
“หงเกอบาดเจ็บ” เหอไป๋เทียนบอกแล้วมองไปยังที่แขนขวา “น้องไม่อยากให้พี่ลงไป”
สิ้นประโยคนั้นก็ทำให้เส้นอะไรอย่างอย่างในหัวของเสวี่ยหงเยว่นั้นขาดพึง เส้นบางๆ เส้นนั้น...มีชื่อว่าเส้นแห่งสติความอดทนอดกลั้น
“ทำตัวเป็นพระเอกก็ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะไอ้หนู! เด็กตัวแค่นี้จะไปทำอะไรได้? พลังน่ะแข็งแกร่งพอแล้วเหรอไง! รู้มั้ยเนี่ยว่าถ้าปล่อยให้ไปคนเดียวมันน่าเป็นห่วงขนาดไหนน่ะ เข้าใจไหม ว่าเป็นห่วง!!”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัด สิ่งที่เกิดดูราวกับหยุดนิ่งไปชั่วครู่หลังจากสิ้นคำพูดของเสวี่ยหงเยว่
เออะ…
เอ้ย…
ฉิบหายแล้ว โมโหจนหลุดสิ่งที่คิดในใจออกมาหมดเลย!!!
เหอไป๋เทียนที่ได้ยินมหากาพย์ร่ายยาวเหยียดออกมาจากปากชายคนที่ตนคิดมาตลอดว่าเป็นคนสงบเสงี่ยมก็ถึงกับตกใจไปครู่ใหญ่ๆ แต่พอนึกทบทวนคำพูดทุกอย่างทุกถ้อยคำดูแล้ว ก็พาให้เด็กชายยิ้มแล้วหลุดเสียงหัวเราะออกมา
เขาไม่เคยถูกดุเช่นนี้มาก่อน คนที่บ้านนั้นไม่ว่าจะท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ ไปตลอดจนคนรับใช้ มักจะคอยโอ๋ คอยตามใจเสมอเมื่อเขาต้องการสิ่งใด เขาทำผิดอะไรไม่เคยถูกบอกว่าผิด ทำเรื่องเอาแต่ใจอะไรก็ไม่มีใครติในสิ่งที่ทำ พวกเขานั้นไม่อยากให้ตนรู้สึกน้อยใจ
การที่ถูกดุในความเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องหายากในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้
พอเป็นแบบนั้นแล้ว ก็ทำให้รู้สึกว่า...ดีจังเลยนะที่มีคนดุด้วยความห่วงอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ด้วยแหละ อา...คิดแบบนี้แปลก ๆ หรือเปล่านะ?
แต่เหอไป๋เทียนก็คิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ
เสวี่ยหงเยว่ที่อยู่ๆ ก็โดนหัวเราะถึงกับหลุดเก็กไปชั่วครู่ สงสัยนักว่าอะไรทำให้ขำได้ โดนด่าเป็นชุดเนี่ยนะ ไม่เข้าใจสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าพระเอกเอาเสียเลยให้ตายสิ
“น้องเข้าใจแล้วขอรับ หงเกอ” เอ่ยออกมา แล้วเอามือแตะแขนขวาของอีกฝ่ายเบาๆ หลับตาลงตั้งสมาธิใช้พลังกับอีกฝ่ายดังที่ตนเคยช่วยรักษาตอนตกเขา
ในตอนแรกเขาตั้งใจจะทำแบบนี้ให้ แต่หงเกอบอกว่าแผลสกปรกแถมยังชักมือหลบ เขาจึงได้พามาล้างแผลและใช้สมุนไพรห้ามเลือดให้เท่านั้น
ปากแผลที่มีเลือดซึมนั้นค่อยๆ ขยับเข้าหากันอย่างช้าๆ จนกระทั่งเข้ามาชิดติดกัน คล้ายกับการเย็บแผลโดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์แพทย์ใดๆ
ทว่าสิ่งที่เหอไป๋เทียนทำมันแค่ช่วยปิดปากบาดแผลเท่านั้น เสวี่ยหงเยว่ยังคงรู้สึกเจ็บปวด ราวกับกล้ามเนื้อเต้นตุบๆ อยู่ใต้ผิวหนังอยู่เลย
“ถ้าเป็นแผลสด น้องอาจยังทำได้ไม่ดีนัก ถ้าเจ็บกลางทางน้องไม่รับผิดชอบนะขอรับ”
ถ้าทำแบบนี้ได้แต่แรกทำไมไม่ทำละฟะ! ปล่อยให้เสียเลือดตั้งนานสองนานทำไม! เลือดไหลหมดตัวจะรับผิดชอบไหมเนี่ย!
แต่...เสวี่ยหงเยว่ก็พอเข้าใจอยู่ อะไรที่ทำได้ไม่ดีนักก็ไม่อยากทำให้คนอื่นเท่าไร โดนด่ามาก็ไม่คุ้มเสีย อีกอย่างเขาก็ได้รับการปฐมพยาบาลห้ามเลือดไปแล้วด้วยก็ถือว่าพอทำให้หายหงุดหงิดไปได้บ้าง
“เท่านี้ก็เหลือเฟือ เด็กน้อย...ข้าดูแลตัวเองได้ดีกว่าเจ้าเยอะนัก”
คิดว่างั้นนะ
“พวกข้าจะต้องว่ายลงไปใต้น้ำตกนี้ใช่ไหมขอรับ” เหอไป๋เทียนเอ่ยถาม
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ นายท่านเหอ”
เหมยฉีรับ นางพยักหน้าเล็กน้อยให้กับกวางป่าสองตัวที่ยืนอยู่ด้านข้างของนาง พวกมันหายเข้าไปทางด้านหลังคาบก้อนหญ้าแห้งถูกม้วนแน่นเป็นทรงกลมขนาดประมาณหนึ่งข้อนิ้วก้อยกลับมาด้วย
“สิ่งนี้คือหญ้าศวาสะมัจฉา (ลมหายใจปลา) เมื่ออมไว้ใต้ลิ้นจะทำให้พวกท่านหายใจใต้น้ำได้ดังปลานะเจ้าคะ”
เสวี่ยหงเยว่รับมา แม้จะมองด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ แต่ในใจเขากลับรู้สึกแปลกๆ ไม่อยากจะใช้มันสักเท่าไรนัก ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจเหมยฉี หรือกลัวจะผิดพลาดใช้งานไม่ได้หายใจในน้ำไม่ออก
แต่...แต่…
เมื่อกี้กวางมันคาบมาใช่ไหม แล้วจะให้เอาของเลอะน้ำลายกวางเข้าปากเนี่ยนะ ...พี่…พี่เอาจริงเหรอ
แต่เสวี่ยหงเยว่จะทักแย้งอะไรก็ไม่ทันแล้ว เหอไป๋เทียนอมก้อนหญ้านั้นเข้าไปเรียบร้อยแล้ว
แถม...แถมยัง
เห็นว่าเจ้าหนูไป๋นั้นกำลังถอดเสื้อผ้าตัวนอกออกอีกต่างหาก!
เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน!! น้องครับ น้องใจเย็นก่อน!!
“น้องไม่อยากจะให้เสื้อตัวเองเปียกหมดหรอกนะ” เห็นถึงสายตาของเสวี่ยหงเยว่ เหอไป๋เทียนรีบแก้ตัวทันทีด้วยเสียงอู้อี้เพราะมีก้อนหญ้าอมอยู่ในปาก
ส่วนเสวี่ยหงเยว่ส่ายหน้าได้แต่คิดว่าเอาที่น้องสบายใจเลย พี่จะไม่ห้ามอะไรน้องแล้ว
เขาเลยจำใจปลดเสื้อนอกบางส่วนของตัวเองออกมาด้วย เขาวางเสื้อที่ถอดออกแล้วข้างๆ เสื้อผ้าของเหอไป๋เทียนที่พับวางอย่างเป็นระเบียบ
ก่อนจะลงน้ำเสวี่ยหงเยว่เอามือแตะผมตัวเองเล็กน้อย พึมพำอะไรบางอย่าง หวังว่าน้ำจะไม่ชะล้างสีดำที่ตัวเองใช้ย้อมผมปลอมตัวนี้ออกไปจนหมด
เขาส่งมือไปหาเด็กชายที่ยืนอยู่เคียงข้าง คล้ายว่าจะให้เหอไป๋เทียนจับมือตนเอาไว้ ซึ่งเด็กชายก็เชื่อฟังอย่างว่าง่าย เขาคว้ามือเสวี่ยหงเยว่เอาไว้แล้วทันที ส่งสายตาหากันและกันแทนสัญญาณว่าพร้อมที่จะไปแล้ว พวกเขาทั้งสองจึงเริ่มก้าวเดินลงไปในน้ำ ลึกเรื่อยๆ
เรื่อยๆ
และเรื่อยๆ
จนกระทั่งจมลงไปมิดหัว
โดยมีสายตาของเหมยฉีและเหล่าสรรพสัตว์มองด้วยความเป็นห่วง ภาวนาให้ทั้งสองทำภารกิจสำเร็จและปลอดภัยกลับมา
เมื่อลงมาในน้ำแล้ว เสวี่ยหงเยว่เผลอกลั้นหายใจด้วยความเคยชินจนกระทั่งถูกคนข้างตัวสะกิด เขาจึงลืมตาขึ้นและพบว่าความแสบตาที่ควรจะเคยเกิดตอนอยู่ในน้ำกลับไม่เกิด อีกทั้งยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนทั้งที่ใต้น้ำลึกควรจะมืดเพราะแสงแดดส่องมาไม่ถึง
เท่ากับว่าก้อนหญ้าที่กำลังอมใต้ลิ้นนี้ได้ผลมาเลยทีเดียว
เนื่องจากในน้ำไม่สามารถพูดจาได้ พวกเขาทั้งคู่จึงทำได้เพียงสื่อสารด้วยการมองตากันเท่านั้น เสวี่ยหงเยว่จับมือของเด็กชายข้างตัวเองไว้แน่นเพื่อไม่ให้พลัดหลงกันใต้น้ำ พาแหวกว่ายไปเรื่อยๆ เพื่อค้นหาเส้นทางไปยังถ้ำใต้น้ำตกที่เหมยฉีบอก
ตอนอยู่โลกเก่า เสวี่ยหงเยว่นั้นเคยไปเที่ยวทะเล ไปมาแล้วแทบทุกภาค ขึ้นเรือไปดำน้ำชมสัตว์ใต้ทะเลหรือก็บ่อยย่อมเคยเห็นทิวทัศน์ใต้น้ำจนชินตาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่กำลังปรากฏแก่สายตาตอนนี้กลับสร้างความประทับใจให้กับเขามากเสียจนลืมสิ่งที่เคยเห็นในโลกเดิมไปเลย
ใต้น้ำสีครามใส แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเป็นสีสันที่ลวงตาจากการหักเหของแสง ทว่าก็ยังงดงาม เม็ดหินปนเม็ดทรายเนื้อละเอียด ไร้ซึ่งขยะปฏิกูลใดๆ ให้เห็นรำคาญตา บ่งบอกถึงคุณภาพความสะอาดของแหล่งน้ำ เหล่าฝูงปลาหลากหลายสายพันธุ์เวียนว่ายเข้ามาหา ทักทายพวกเขาอย่างเป็นมิตร ทั้งขนาดน้อยนิดไม่ถึงฝ่ายมือ ไปจนถึงใหญ่โตขนาดเทียบเท่ากับตัวมนุษย์ พวกมันทั้งหลายให้ความเอ็นดู ใจดีกับเขาทั้งคู่เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังพร้อมใจกับว่ายไปด้วยกันเพื่อนำทางให้
โลกใต้น้ำนั้นช่างงดงาม ทว่าลึกลับ
เขาได้แต่หวังว่าการลงไปที่ถ้ำนั้นจะไม่มีเรื่องเสี่ยงตายเกิดขึ้น แต่อีกใจก็รู้สึกว่าไอ้ที่เขาคาดหวังนั้นมันจะไม่มีทางเป็นเป็นจริง
เมื่อคนที่มาด้วยกันกับเขานั้นเป็น "พระเอก' ฐานันดรสุดแสนพิเศษของเรื่อง เขาเชื่อได้อย่างสนิทใจว่ามันต้องมีความเหลือเชื่อชวนปวดหัวเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะสิ่งที่เรียกว่าพระเอกนอกจากจะมีสกิลเทพแล้วยังมีสกิลเรียกภัยพ่วงมาเป็น Option เสริมติดตัว เขาอ่านมานิยายมากี่เรื่องต่อกี่เรื่องคนที่ซวยเช็ดที่สุดก็คือตัวพระเอกนี่แหละ
เมื่อว่ายจนลึกมากพอแล้ว เหล่าฝูงปลาก็ชะงักลง มันเอาหัวดุนๆ หลังของเสวี่ยหงเยว่และเหอไป๋เทียน ส่งสัญญาณว่าพวกมันคงมาส่งได้เท่านี้เท่านั้น ไปไกลมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เสวี่ยหงเยว่เข้าใจเพราะเขารู้สึกได้ อาณาเขตตรงนี้มีไอพลังงานหนาแน่นแผ่กระจายออกมาเป็นระยะๆ แสดงว่าถ้ำใต้น้ำที่เหมยฉีว่าคงจะอยู่ไม่ไกลแล้ว เขากระตุกมือของเหอไป๋เทียนเบาๆ ให้เด็กชายเขามาใกล้เขาให้มากเท่าที่สุดและพาว่ายไปยังทิศนั้นด้วยกัน
ยิ่งว่ายเข้าไปใกล้ เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงกดดันของมวลพลังเข้มข้น มิน่าเล่าทำไมนางเหมายฉีถึงต้องพึ่งพาพวกเขา ผู้ที่อาศัยในสถานที่แห่งนี้มีแต่สัตว์และสัตว์ด้านบนนั้นเป็นสัตว์บกมันไม่สามารถลงมาในน้ำได้นานส่วนสัตว์น้ำก็ไม่มีความสามารถในการต้านพลังพอจะว่ายไปทางนี้
ผู้ที่สามารถเข้ามาในนี้ได้ คงมีเพียงแค่มนุษย์และต้องเป็นมนุษย์ที่มีพลังบริสุทธิ์มากพอที่จะอดทนต่อความกดดันนี้ได้
เห็นดังนั้นเขาจึงโอบประครองร่างของเหอไป๋เทียนเข้ามาแนบกับตัวเอง เพื่อไม่ให้เจ้าตัวเล็กนี้ โดนกระแสพลังเล่นงานไปเสียก่อน ขนาดเขายังรู้สึกว่ามันหนักอึ้งไหนเลยจะกับเด็กที่ยังอ่อนด้อยประสบการณ์ หากปล่อยเอาไว้ไม่แคล้วคงโดนเล่นงานจนไม่ได้สติและจมหายไปในน้ำ
เหอไป๋เทียนนั้นตัวสั่นไปหมด เขารับรู้ได้ถึงพลังที่สะอาดมากก็จริง แต่มันกลับหนักอึ้งจนแทบขยับตัวไปไหนไม่ได้ เด็กชายเม้มปาก กอดคนข้างกายแน่น นึกย้อนไปถึงตอนที่ตนบอกว่าจะมาคนเดียวแล้วก็รู้สึกอับอายในความปากเก่งไม่ประเมินความสามารถของตน
หากไม่มาด้วยกัน ตนคงทำอะไรไม่ได้ ไม่ได้เลยสักอย่าง
แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งแล้วที่เขาได้รับการปกป้องนี้จากอีกฝ่าย
เป็นอ้อมกอดนี้ที่โอบประครองเขาเอาไว้ คอยปกป้องตนเสมอ ไม่ใช่แค่ในครั้งนี้ หากแต่เป็นทุกครั้งที่เกิดอันตราย ความรู้สึกอบอุ่นนั้น สร้างสรรค์ถักทอสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อใจให้อย่างเชื่องช้า
เชื่องช้า ทว่ามั่นคง
มั่นคงเสียจนทำให้เขาอยากเข้มแข็งขึ้นมากกว่านี้ อย่างน้อยก็อยากจะเข้มแข็งมากพอพึ่งพาตัวเองได้ มากพอที่จะไม่เป็นภาระทำให้ใครบาดเจ็บเพราะตัวเขา
อยากเป็นให้ได้อย่างคนตรงหน้า อยากเก่ง อยากเข้มแข็งได้อย่างนั้น
เขาหวัง และปรารถนาที่จะทำให้ได้เช่นนั้น
เมื่อว่ายเข้ามาเรื่อยๆ บรรยากาศอันหนักอึ้งนั้นเริ่มจากหายไป แทนที่ด้วยคลื่นพลังที่กระจ่างอ่อนโยน เสวี่ยหงเยว่ก็ได้พบกับเส้นทางหนึ่งซึ่งคล้ายกับทางเดินทอดยาวไปสู่บางอย่าง เขามั่นใจได้ว่านั่นคือทางไปสู่ถ้ำใต้น้ำตกอันเป็นเป้าหมาย
พอเป็นเช่นนั้นจึงรีบหันมองคนใกล้ตัว
เขาไม่สามารพูดอะไรออกมาในน้ำได้ก็จริงแต่ก็อยากจะบอกเหลือเกินว่าตรงนี้ปลอดภัยแล้ว เหอไป๋เทียนหยุดกอดเขาได้แล้ว
แต่...แต่ว่า…
ร่างเล็กๆ ที่กำลังกอดแน่นเอาหน้าซุกอกเขา ตัวสั่นเป็นลูกกระต่ายไม่ยอมปล่อยไม่ว่าจะขยับไปตัวไหนก็ตามแบบนี้แล้วนั้น
มัน...มัน…
ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน…
พวกเขาทั้งสองว่ายไปตามเส้นทางนั้นเรื่อยๆ ถึงจะรับรู้ว่ามีกระแสพลังของดอกโบตั๋นพันปีส่งมาตลอดก็จริง แต่ทว่าบรรยากาศตอนนี้นั้นมันกลับช่างเงียบเฉียบวังเวง น้ำนิ่งสงบไม่มีระลอก ไม่เห็นซึ่งถึงสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่โดยรอบนี้แม้แต่น้อย เป็นจุดบอดที่ไม่มีใครเข้ามาโดยแท้จริง
เมื่อถึงปากถ้ำใต้น้ำแล้ว บรรยากาศวังเวงขั้นสุดจนทั้งเสวี่ยหงเยว่และเหอไป๋เทียนต่างหันมามองหน้ากันคล้ายทำใจก่อนว่ายเข้าไป น่าแปลกที่พอเข้ามาด้านในลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ระดับน้ำกลับยิ่งลงและลดลงจนกระทั่งหมดไป กลายเป็นทางในถ้ำที่สามารถเดินได้แทน
เสวี่ยหวงเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อพบว่าพอระดับน้ำลดลงก็หายใจได้อย่างปกติ เขาจึงคายก้อนหญ้าออกมาจากปากและเก็บเข้ากระเป๋าตรงอกเสื้อแทน
“จากตรงนี้ข้าว่าพวกเราทั้งคู่คงต้องเดินไปเรื่อยๆแล้วล่ะ” เขาพูด ตรงนี้มันมืดมากจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากสีดำ ทั้งเมือกทั้งตะไคร่ที่เกิดขึ้นจากการอยู่ติดแหล่งน้ำเป็นระยะเวลานานต่างจับตัวหนาบนหินสร้างความชื้นแฉะชวนเดินลื่น เขายิ่งจับมือเหอไป๋เทียนแน่นขึ้น ระหว่างใช้มืออีกข้างคลำทิศทางไปตามพนังถ้ำอันเย็นเฉียบ
“หงเกอ”
“ยังอยู่”
“หงเกอ…”
“จับมือไว้อยู่”
ตลอดตามเส้นทางที่เดิน เหอไป๋เทียนเรียกชื่อเขาแบบนี้ และเสวี่ยหงเยว่ก็จะตอบกลับไปทุกครั้ง คล้ายเด็กคนนั้นถามซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าตนยังอยู่ด้วย ยังเดินมาด้วยกันไม่ได้คลาดไปไหน ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากจนต่อให้มองไม่เห็นหน้า ก็คาดเดาได้ว่าเป็นห่วงเขาอยู่ไม่มากก็น้อย
อืม บทแบบนี้มันควรให้เป็นหน้าที่ของพระเอกกับนางเอกอะไรแบบนั้นไม่ใช่เหรอ ไอ้ฉากการแสดงความเท่ฉันปกป้องเธอได้แม้ในอยู่ในอันตรายแบบนี้เนี่ย
ผิดบทแล้วไหมล่ะ
ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าใด แต่คงเป็นเวลาที่นานพอดู ตาของเขาก็เห็นถึงแสงสว่างจากที่หนึ่ง แม้จะอยูไกลแต่ก็ไม่เกินกำลังที่จะเดินไป เขาดึงมือคนข้างกายเล็กน้อยกระตุ้นให้เร่งฝีเท้าตามมา
รีบเดินให้เร็ว รีบทำธุระเก็บกงเก็บกลีบนั่นมาให้เสร็จ จากนั้นจะได้เผ่นกลับ
รีบกลับก่อนงานจะเข้าหรือเกิดอะไรไม่ดีไม่งามขึ้น จะหาว่าจิตปรุงแต่งขี้ระแวงเกินเหตุก็ได้ แต่การอ่านนิยายมามากทำให้เขาไม่เชื่อเลยว่าการทำภารกิจนี้จะจบได้อย่างง่ายดายเหมือนเดินไปซื้อข้าวร้านตามสั่ง...
“หงเกอ!!”
จังหวะที่กำลังเดินอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงของเหอไป๋เทียนร้องออกมาให้ลั่น ราวกับตกใจอะไรบางอย่าง มือทีจับกุมกันเอาไว้แน่นก็หลุดออกจากกัน
เสียงร้องของเด็กชายหายไปในความมืดมิด ไกลออกไปเรื่อยๆ เรียกเม็ดเหงื่อให้ผุดพรายขึ้นมาเต็มใบหน้า และแผ่นหลังของเสวี่ยหงเยว่
งานงอก!!
ไม่ทันขาดคำ...เอ้ย ไม่สิ ยังคิดไม่ทันจบเลย!!