ตอนที่แล้วMoney Monster Episode XIII [รางวัลของผู้ชนะ]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMoney Monster Episode XV [การ์ดลงทุน]

Money Monster Episode XIV [มื้อเที่ยงกับเงินที่หายไป]


Money Monster

Episode XIV

[มื้อเที่ยงกับเงินที่หายไป]

ไลท์กับโบรกเกอร์แทบทั้งหมดทยอยผ่านเข้าไปในประตูเพื่อแสวงหาข้อมูลกลับไปให้ได้มากที่สุด โดยเพ่งเล็งข้อมูลที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับอาวุธ

เหล่าผู้คนกว่าสามร้อยชีวิตที่กำจัดอมนุษย์สีขาวลงได้ แทบทั้งหมดล้วนเคยต่อกรกับกรีดมาแล้วตั้งแต่ยังเป็น[ชิพเตอร์] จึงทำให้มีพื้นฐานในการใช้การ์ดลงทุนและการควบคุมมอนสเตอร์อยู่มามากก็น้อย แต่สำหรับอาวุธนั้นแตกต่างออกไป

ตอนเป็นชิพเตอร์ทุกคนสามารถเลือกที่จะใช้เป็นชนิดใดก็ได้ไม่ว่าจะดาบ หอก ปืน ไลท์ในตอนนั้นถูกเมซูลแนะนำให้ใช้ปืนเพราะมันง่ายต่อการใช้งานและปลอดภัยกว่า แถมยังมีกระสุนยิงได้ไม่จำกัดแต่พอเป็นโบรกเกอร์แล้วไม่ใช่

เมื่อกลายเป็นโบรกเกอร์ทุกคนจะสามารถใช้อาวุธได้เพียงชนิดเดียวเท่านั้น แถมยังถูกสุ่มเลือกอีกด้วยประกอบไปดังต่อไปนี้

อาวุธระยะใกล้: อาวุธประเภทดาบ มีด ขวาน ค้อน สนับมือ

อาวุธระยะกลาง: ทวนศึก หอก ฉมวก กระบอง เคียว

อาวุธระยะไกล: ไม้เท้า คทา ธนู หน้าไม้ ปืน

แต่ละอย่างมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน แถมในแต่ละประเภทยังมีอัตราสุ่มกับประสิทธิภาพที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย ยกเว้นตัวเช่นอาวุธระยะใกล้และไกล

อาวุธระยะใกล้อาจเสียเปรียบด้านระยะการโจมตี แต่อาวุธระยะใกล้จะมีช่องใส่รูนที่จะเพิ่มพูนความสามารถและพลังวิเศษมากกว่า เป็นต้น

และก็ได้รู้อีกอย่างว่า[ปืน]คืออาวุธที่มีอัตราสุ่มรับน้อยที่สุด และเป็นอาวุธที่ใช้ง่าย โจมตีรุนแรงและมีความต่อเนื่องสูงสุด แต่ข้อเสียคือมันสิ้นเปลืองทรัพยากรเพราะการ์ดที่สนับสนุนอาวุธปืนจะมีราคาแพง แถมกินวัตถุดิบในการอัพเกรดสูงมากที่สุดในบรรดาอาวุธทุกชิ้น

แต่ข้อดีของมันก็เป็นที่ยอมรับและน่าอิจฉาต่อโบรกเกอร์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ไลท์ก็แอบสังเกตเห็นสายตาริษยามองมาที่เขาอยู่เป็นระยะๆ

หลังจากเรื่องของอาวุธแล้วไลท์ก็เน้นจดจำและคัดลอกส่วนสำคัญอื่นๆ ไปศึกษาต่อเองในทีหลัง ไม่ว่าจะเป็นระบบสนับสนุนความได้เปรียบในการต่อสู้ เรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ เกี่ยวกับกรีด และอื่นๆ ที่เขามองเห็น

เวลาล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็วจนท้องร้องโครมคราม ตั้งแต่เมื่อเช้าก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่น้อย ไลท์จึงตัดสินใจละจากสถานที่แห่งนี้หลังจากเก็บข้อมูลมาได้พึงพอใจแล้วก่อนจะมุ่งหน้าไปยังศูนย์อาหารที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ แต่ว่า...

สลัด 13.75เหรียญ / แฮมเบอร์เกอร์ 49.99เหรียญ / ข้าวไก่ย่างราดซอสเทอริยากิ 69.99เหรียญ /โคล่าขวดใหญ่ 23เหรียญ /หม้อไฟปลาสามรส 129.99เหรียญ /ขนมปังพระอาทิตย์ 19.49เหรียญ

ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างตกตะลึงกับราคาที่อลังการหรูหราจนตาแทบบอด แทบอยากจะวิ่งพรวดหนีออกจากสถานที่แห่งนี้ให้รู้แล้วรู้รอดแต่ขามันกลับไม่ยอมขยับเมื่อกลิ่นอาหารโชยมาแตะจมูก

กลิ่นหอมอบอวลที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นความอยากอาหารลอยไปทั่วศูนย์อาหารอย่างร้ายกาจ แม้ราคาของอาหารตรงหน้าจะเรียกว่าขูดรีดยังน้อยไปแต่กลับเสมือนมีบางอย่างกำลังชักจูงให้สั่งมันมาทานสักจาน

‘อะ..อันตราย จะอันตรายเกินไปแล้ว! ไม่ได้ ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปเงินในกระเป๋าต้องกระจุยแน่ ขนาดแฮมเบอร์เกอร์ร้านที่เราเคยทำพาร์ทไทม์ยังราคาแค่1.5เหรียญเองนะเฟ้ย แต่ทำไมถึงอยากกินขนาดนี้นะ ทำไมกัน’ ไลท์คิดในใจด้วยอาการสับสนแล้วกระเดือกน้ำลายลงคอไปด้วยความกระหาย

ไลท์เป็นคนประหยัดและมีวินัยสูง เขาจะลดความสิ้นเปลืองในการใช้จ่ายให้น้อยที่สุดเสมอ โดยเฉพาะกับอาหาร เพราะอาหารราคาแพงแค่ไหนหากมีสารอาหารเท่ากันก็ย่อมมีค่าเท่ากัน เงิน1.5เหรียญมีค่าเทียบเท่าร้านอาหารริมทาง แค่จะซื้อแฮมเบอร์เกอร์เขายังเสียดายจะนับประสาอะไรกับราคากว่าครึ่งร้อยเหรียญตรงเบื้องหน้า

เขายับยั้งช่างใจไว้ได้แต่คนอื่นไม่!

ทันทีที่ได้กลิ่นก็พากันควักกระเป๋าเงินออกมาจับจ่ายกันอย่างสุรุ่ยสุร่าย สั่งมื้อใหญ่มาทานกันอย่างเอร็ดอร่อยชนิดราวกับไม่เคยทานอะไรมาก่อนในชีวิต กินอย่างตละกะตะกลามไร้ซึ่งมารยาทกันถ้วนหน้า เป็นภาพที่ไลท์ไม่เคยคิดว่าจะเห็นมาก่อนในชีวิต

‘มันอร่อยขนาดนั้นเชียวรึ’

“อึก..”ไลท์ยกมือขึ้นปากน้ำลายก่อนที่จะตบหน้าตัวเองแรงๆ หนึ่งทีเพื่อไล่สัตว์ร้ายที่ชื่อว่า[ความตะกละ]ให้ออกไป เตรียมหันหลังหนีให้กับศูนย์อาหารแห่งนี้ ทว่า..กลับมีบางสิ่งที่ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น

“ในที่สุดก็เจอแล้ว!!!!” เสียงอันคุ้นหูดังไปทั่วศูนย์อาหารจนสายตาของทุกคนต้องจับจ้องไปยังต้นทางเสียง พบเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังหอบแฮ่กๆ อยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า พริบตาที่ไลท์หันไปมองก็ทำให้ตัวเขาแข็งทื่อในทันที

‘นั่นมันไอ้บ้าที่ช่วยเราขึ้นมาจากบ่อน้ำนี่!’

“บังอาจเบี้ยวสัญญางั้นเรอะ! นายต้องเจอนี่สักหน่อยแล้ว ลูกถีบแห่งความยุติธรรมจะลงทัณฑ์แกเอง อจ๊าก!” ครอสซ์ทำท่าแปลกประหลาดเสมือนการ์ตูนยุคเก่าก่อนจะวิ่งพุ่งตัวกระโดดถีบใส่ไลท์เข้าอย่างแรง ใบหน้าของชายหนุ่มผมทองคำขาวบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวดก่อนจะกระเด็นเข้ากระแทกกำแพงอย่างรวดเร็ว

“ชั่วร้ายที่สุด! เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าแฮมเบอร์เกอร์เลยรีบชิงหนีก่อนสินะ! ก็แค่แฮมเบอร์เกอร์..ก็แค่แฮมเบอร์เกอร์ไม่เห็นต้องเบี้ยวกันก็ได้นี่ ถ้าเงินไม่พอก็เปลี่ยนเป็นเฟรนฟรายก็ยังดี!”

“จะบ้าเรอะ! ฉันนี่นะไม่มีเงินจ่ายค่าแฮมเบอร์เกอร์ เงินแค่ไม่กี่เหรียญทำไมฉันจะไม่มีกัน! และก็ที่หายไปเพราะมีคนดึงเรากลับเข้าไปในห้องนั่นต่างหาก ฉันไม่ได้คิดจะหนีหรืออะไรทั้งนั้น!”

“อ่าว? งั้นเหรอ”

“เออ!” ไลท์น้ำตานองหน้าลุกขึ้นยืนด้วยสภาพสะบักสะบอม เจ็บตัวฟรีๆ ไม่พอยังต้องมาเจอหน้ากับอภิมหาของมนุษย์ที่เขาไม่อยากจะเสวนาด้วยที่สุดในตอนนี้ เขาถูกเจ้าตัวประคองตัวขึ้นมาก่อนจะพูดว่า

“นี่ไง! แฮมเบอร์เกอร์” ครอสซ์ชี้ไปที่ป้ายโฆษณาที่ซึ่งมีภาพของแฮมเบอร์เกอร์ที่ดูน่ารับประทานมากติดตั้งไว้อยู่ แต่ทันใดที่เห็นราคาร่างของเขาก็สั่นสะท้านในทันที

เบอร์เกอร์จักรพรรดิหมูซอสพริกไทยดำโอเมก้าสเปเชี่ยลก๊อด ราคา 499.99เหรียญ//ชิ้น

“เชี่ย! ราคาขนาดนี้ควักเอาตาฉันไปขายเถอะ” ไลท์ถึงกับอุทานออกมาเมื่อเห็นชื่อและราคาที่แสนจะอลังการงานสร้างดาวล้านดวง เขาทำท่าจะหนีแต่มือของครอสซ์กลับคว้าเอาไว้ได้ทันทำให้หยุดกึก เหงื่อผุดไหลจากร่างกายเป็นน้ำตกพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มซีดเป็นไก่ต้ม

“พี่ชาย! เบิ่งตาดูให้ดี เบอร์เกอร์ชิ้นเดียวราคาครึ่งพันเหรียญ ให้ฉันไปเลี้ยงที่โลกภายนอกดีกว่าน่า”

“ไม่ได้! ถ้านายเกิดหนีขึ้นมาล่ะก็ฉันวิ่งหาไม่ได้แล้วนะ!”

“แต่ว่า-”

“คิดจะหนีงั้นเหรอ..” ดวงตาสีแดงเข้าสบตากับไลท์พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุนต่ำเต็มไปด้วยอำนาจ ใบหน้าซื่อๆ กับยิ้มร่าเริงบัดนี้แสดงท่าทีดุดันราวกับนักสู้ที่ผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน ประกอบกับบาดแผลขีดที่หน้าผากด้านซ้ายทำให้เสริมบารมีความยำเกรงเข้าไปอีก

“เหอะๆ..เหอะๆๆ..” ไลท์ควักกระเป๋าตังก่อนจะหยิบบัตรMMCออกมาแล้วไปต่อแถวทั้งน้ำตา รู้แบบนี้...ทนหิวรอกลับไปทานข้าวที่บ้านซะยังจะดีกว่า

 

“ว้าว! น่าอร่อย!” ครอสซ์ทำตาเป็นประกายแวววับเมื่อเห็นเซ็ตอาหารตรงหน้า อันไปประกอบไปด้วยเบอร์เกอร์จักรพรรดิหมูซอสพริกไทยดำโอเมก้าสเปเชี่ยลก๊อด โคล่าขนาด2.2ลิตร กล้วยหอมสุดหรูหนึ่งหวี น้ำแข็งหนึ่งถัง มูลค่าโดยรวมทั้งหมดของทั้งโต๊ะนี้ตกอยู่ประมาณ600เหรียญนิดๆ

ในขณะที่ไลท์ผู้เป็นคนจ่ายเงินไหนๆ แล้วก็ได้เสียเงินเลยซื้อแฮมเบอร์เกอร์ที่ราคาถูกที่สุดมาทานเองหนึ่งชิ้นราคาตกอยู่ที่49.99เหรียญ น้ำเปล่าและน้ำแข็งฟรี กับขนมปังทาเนยราคาถูก

“อา..คุณปู่ ยกโทษให้ผมด้วย ผมได้ใช้เงินไปกับอาหารหนึ่งมื้อมากกว่าหกร้อยเหรียญซะแล้ว” ไลท์ร่ำไห้ก่อนจะมองอาหารบนโต๊ะทั้งน้ำตา ดูครอสซ์ที่ค่อยๆ จัดแจงยัดอาหารใส่ปากทีละชนิดอย่างเอร็ดอร่อยก็ทำให้ท้องส่งเสียงร้องดังขึ้น

“อร่อย! อร่อยมากๆ เลย ไม่เคยทานอาหารมื้อไหนอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย สุดยอด นี่มันจะสุดยอดเกินไปแล้ว” ครอสซ์พูดออกมาทั้งอาหารยังเต็มปากจนไลท์ดูไม่ได้ ก่ายผากหนึ่งทีก่อนจะกล่าวว่า

“อย่าพูดทั้งที่อาหารเต็มปากสิ เฮ้อ..มันจะอร่อยสักแค่ไหนกันเชียว ก็แค่ฟาสต์ฟู้ด” ไลท์กล่าวแล้วมองไปยังแฮมเบอร์เกอร์ที่อยู่ในมือ แม้หน้าตาดูภายนอกจะน่าอร่อยดูไม่เลวนักแต่เขาก็คิดว่าทุกคนแสดงท่าทีเวอร์เกินไป ก่อนจะค่อยๆ แกะส่วนของกระดาษห่อออกทีละชั้น

แฮมเบอร์เกอร์ไส้หมูที่ถูกประกอบด้วยขนมปังโรยด้วยงาขาวและดำ ภายในสอดเส้นด้วยเนื้อหมูชิ้นโตสองชิ้นสอดด้วยผักใบเขียว มะเขือเทศชิ้นบาง แตงกวาหั่นและซอสสีดำที่ส่งกลิ่นพริกไทยโชยมาแตะจมูกจนแทบสำลัก ทันทีที่สูดดมเข้าไปก็ทำให้สะท้านไปทั่วร่าง

“นะ..นี่มัน” ไม่รอช้ารีบกัดมันในทันที

เสมือนว่าความชุ่มฉ่ำของเนื้อระเบิดไปทั่วปาก กลิ่นของเครื่องเทศกระจายขึ้นจมูกอย่างรวดเร็ว รสชาติของซอสที่ทั้งเผ็ดและหวานอ่อนๆ เข้าจู่โจมที่ลิ้นเข้าอย่างจัง ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งอยากทานเข้าไปอีกจนรู้สึกตัวอีกที เบอร์เกอร์ที่อยู่ในมือพลันหมดไปแล้ว

“บะ..บ้าน่า เป็นแค่ฟาสต์ฟู้ดแต่ทำไมรสชาติถึงอร่อยขนาดนี้” ไลท์ทำสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะหันไปมองเบอร์เกอร์ราคาสุดอหังการที่ครอสซ์กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ด้วยราคาที่ต่างกันสุดขั้วนี้ รสชาติจะมากตามราคาด้วยหรือไม่?

เมื่อสังเกตเห็นสายตาของไลท์ครอสซ์หรี่ตาลงก่อนจะนำกระดาษมาห่อเบอร์เกอร์แล้วหลบมาซ่อนอยู่ข้างหลังเหมือนเด็กหวงของเล่น

“ไม่ให้หน่อย!”

“จะบ้าเรอะ! ฉันไม่กินของเหลือจากผู้ชายคนอื่นหรอกเฟ้ย! อึ๋ย น่าขนลุก”

“งั้นก็แล้วไป” ครอสซ์ยิ้มกล่าวก่อนจะนำเบอร์เกอร์ขึ้นมาทานต่อ ไลท์รีบจัดการอาหารที่เหลือแล้วค่อยเอ่ยถามอีกฝ่ายเป็นการฆ่าเวลา

“จะว่าไปชื่อครอสซ์ใช่ไหม นายจัดการกับกรีดเทียมยังไง”

“อ้อ!! ฉันใช้สนับมือต่อยมันน่ะ”

“สนับมือ? ต่อยมันเฉยๆ นี่นะ” ไลท์ขมวดคิ้วสงสัยแต่เจ้าตัวพยักหน้ารัวๆ

“แต่ต่อยยังไงมันก็ลุกขึ้นมาได้อยู่ดี เลยคิดว่า อื้ม! ต่อยใส่หัวให้มันสลบดีกว่า หลังจากนั้นมันก็ตายไปเลย!”

“....”

“ทำไมเหรอ”

“เปล่า...” ไลท์ตอบกลับก่อนจะยกแก้วขึ้นมาดูดน้ำ

‘หมอนี่..เป็นพวกสมองกล้ามสมบูรณ์แบบเลยสินะ’

“แล้วนายล่ะ เอ..ชื่ออะไรนะ ไรท์ใช่ไหม!”

“ไลท์..”

“ใช่ๆ ไลท์จัดการมันยังไง ต่อยใส่หัวมันเหมือนฉันไหม”

“ของฉันล่อให้มันชะโงกหน้ามามองแล้วยิงที่หัว ก็เลยไปติดที่บ่อน้ำอย่างที่เห็น”

“อ้อ! แต่เดี่ยวก่อนนะ นายพูดว่ายิงใช่ไหม แสดงว่ามีไอ้นั่นสินะ?” ครอสซ์เอ่ยทั้งทำตาเป็นประกาย ไลท์เอียงคอสงสัยเล็กน้อยก่อนจะถามไปว่า

“ไอ้นั่นหมายถึงอะไร”

“ไอ้นั่นไง ปืน นายมีปืนใช่ไหม”

“อา”

“ขอฉันยืมหน่อย!”

“หา?”

“ปืนไง ขอฉันยืมใช้หน่อยได้ไหม”

“อืม..ได้” ไลท์พยักหน้า

‘เท่าที่อ่านมาเหมือนอาวุธจะเป็นสิ่งของประเภท[ผูกติดผู้ใช้]ขโมยไม่ได้ ถ้าแค่ให้ยืมใช้เหมือนจะไม่เป็นปัญหา’

หลังจากจัดการกับอาหารเสร็จสิ้นไลท์กับครอสซ์ก็พากันมาที่ห้องฝึกฝน สถานที่ที่สามารถจำลองกรีดขึ้นมาต่อสู้ได้ ในเวลานี้เต็มไปด้วยโบรกเกอร์คนอื่นๆ ที่คอยต่อแถวรอใช้งานทำให้ทั้งสองคนต้องรอจนกว่าจะถึงคิว ก่อนจะเข้าไปยังห้องจำลองพร้อมกัน

[ไลท์005 กับ ครอสซ์141 เข้าสู่ระบบจำลองการต่อสู้ โปรดระบุความยากของศัตรู] เสียงสังเคราะห์เอ่ยจะมีเมนูความยากปรากฏ ถึงแม้จะบอกให้ระบุแต่มีให้เลือกเพียงแค่เลเวลหนึ่งเท่านั้น ไลท์กดเลือกและเพิ่มจำนวนเป็นสองตัวก่อนจะเข้าสู่โหมดต่อสู้

เมื่อเข้าโหมดต่อสู้เครื่องแบบของเขาก็เปลี่ยนไป ปืนปรากฏขึ้นกลางอากาสแล้วสวมเข้าที่มือก่อนจะยื่นไปให้ครอสซ์

“อ๊ะนี่”

“โอ้! ปืนของจริงนี่นา” ครอสซ์ยิ้มกว้างก่อนจะรับปืนไปด้วยท่าทีดีอกดีใจ พลิกมันไปมองอย่างเพลิดเพลินเสมือนเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่

“ฉันขอยืมสนับมือของนายหน่อยจะได้ไหม”

“ได้สิๆ” ครอสซ์พูดเสร็จก็ถอดสนับมือยื่นให้ไลท์รับไปใช้ก่อนจะวิ่งเข้าหากรีดตัวหนึ่งด้วยรอยยิ้ม คนอื่นจะทำอย่างไรต่อไลท์ก็ไม่ได้สนใจแล้ว สวมสนับมือก่อนจะหันหน้าเข้าไปหาคู่ซ้อมของตนเองที่ยืนรออยู่

เพราะว่าเป็นแค่ของจำลองจึงไม่มีรังสีฆ่าฟันแผ่ออกมา หากไม่ได้มีใครใกล้เข้ามาก็ยืนนิ่งเฉยๆ ไม่ต่างจากหุ่นตั้งโชว์ ไลท์สูดลมหายใจก่อนจะเข้าหามันอย่างเชื่องช้า พอก้าวถึงรัศมีที่กำหนดอมนุษย์สีขาวก็เคลื่อนไหวในทันที

“ตาย!” มันคำรามออกมาแล้วซัดหมัดเข้าใส่ไลท์จนเขาต้องยกมือขึ้นกัน เสมือนกับถูกค้อนเหล็กหนักห้ากิโลกรันทุบเข้าให้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าอานุภาพถูกลดทอนมากกว่าตอนต่อสู้ครั้งก่อนไปในระดับหนึ่ง

“ตาย!ตาย!ตาย!ตาย!ตาย!” อมนุษย์สีขาวว้ากเสียงชุดใหญ่ร้อมกระหน่ำกำปั้นซัดเข้าที่ชายหนุ่มอย่างต่อเนื่อง ไลท์ทำอะไรไม่ได้นอกจากตั้งท่าป้องกันเท่านั้น ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างกายและทวีมากขึ้นทุกครั้งที่หมัดตรงเข้ามา

‘ตอบโต้ไม่ได้เลยแฮะ’ ไลท์คิดในใจก่อนที่จะหลบหมัดที่พุ่งเข้ามาได้สำเร็จเป็นครั้งแรก แล้วสวนกลับด้วยหมัดตรงในทันที เมื่อสนับมือกระแทกเข้าที่ศีรษะของอมนุษย์สีขาวก็มีเลือดสีเงินไหลจากปากก้อนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันหยุดซะงักแม้วินาทีเดียว กลับมาเป็นฝ่ายลุกโจมตีเช่นเดิม

‘หมัดเบาไปงั้นเหรอ ไม่สิ เราชกต่อยไม่เป็นมากกว่า’ ไลท์คิดได้ก่อนจะวิ่งเพื่อเพิ่มระยะห่าง แต่ศัตรูก็กัดไม่ปล่อยวิ่งตามอย่างไม่ลดละ หลังจากนั้นเขาก็ปะทะกับอมนุษย์สีขาวสักระยะพร้อมจับตามองครอสซ์ที่ใช้ปืนต่อสู้กับกรีดอย่างสนุกสนานมากกว่าเขาจนได้ข้อสรุปว่า

อาวุธระยะใกล้และไกล ส่วนที่แตกต่างกันไม่ใช่แค่ระยะโจมตีหรืออัตราการกินทรัพยากรในการอัพเกรด แต่ยังส่งกระทบด้านอื่นอีกด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการใช้งาน สนับมือจำเป็นต้องมีทักษะในการต่อสู้ระยะประชิดแถมยังต้องใช้สมาธิอย่างมากกับการจดจ่อกับคู่ต่อสู้ตรงหน้าทำให้สังเกตสถานการณ์รอบตัวได้ลำบาก ในขณะที่ปืนของเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาทักษะอะไรมาก แค่เหนี่ยวไกปืนก็โจมตีได้ แถมยังกระจายสมาธิสังเกตได้มากกว่า

แล้วก็เรื่องของสภาพจิตใจระหว่างเผชิญหน้า พอต้องมาต่อสู้ระยะประชิดไลท์ก็ได้รู้ว่าเขาสูญเสียความใจเย็นลงไปมากกว่าปกติถึงหลายเท่า อาจจะเป็นเพราะความกลัวหรือความอ่อนประสบการณ์ แต่มันก็เป็นปัญหามาก และเขาเชื่อว่าโบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะต้องเจอกับปัญหานี้ในช่วงแรก

‘จะไม่แปลกใจเลยถ้าเราโดนเพ่งเล็งเพราะความอิจฉา’ ไลท์ได้ข้อสรุปในใจแล้วหลังจากที่การจำลองการต่อสู้จบลง ผลคือไลท์เอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้ ส่วนครอสซ์ก็เอาชนะไม่ได้เช่นกันเพราะมัวแต่ยิงมั่วจนกระสุนหมด แต่เจ้าตัวก็ยังยิ้มร่าเริงสนุกสนานก่อนจะเปลี่ยนอาวุธกันคืน

“แหม! ขอบใจมากเลยนะ! ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าอยากจะมีปืนสักกระบอกไปไล่ล่าสัตว์ประหลาดดู”

“อืม นี่ ตอนสู้กับกรีดสีขาวไม่เกรงบ้างเลยเหรอ?” ไลท์เอ่ยถาม ครอสซ์กุมคางเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า

“รู้สึกตกใจมากกว่าที่จู่ๆ ก็ได้เจอสัตว์ประหลาดล่ะมั้ง แต่ตอนสู้ฉันเฉยๆ มาก เพราะปกติก็ชอบไปทะเลาะวิวาทกับชาวบ้านเขา เลยมีประสบการณ์เรื่องชกต่อยเยอะเลย”

“งะ..งั้นเหรอ” ไลท์เริ่มเหงื่อตก ตอนนี้รู้แล้วว่ารัศมี นักเลงที่แผ่ออกมาตอนอยู่ศูนย์อาหารเป็นของจริง

“เอาเป็นว่าฉันกลับบ้านก่อนดีกว่า” ไลท์โบกมือลาก่อนจะสาวเท้าออกจากห้องให้รวดเร็วที่สุด ครอสซ์ยิ้มจางๆ ก่อนจะโบกมือกลับพร้อมตะโกนพูดว่า

“วันหลังเจอกันนะ!”

‘เหอะๆ แต่ฉันไม่อยากเจอแกอีกแล้ว!’ ไลท์คิดในใจพร้อมทำสีหน้าอ่อนแรง วันนี้เป็นวันที่สิ้นเปลืองพลังงานมากที่สุดวันหนึ่ง และพอกลับถึงบ้านก็มิวายต้องเหนื่อยซ้ำสองอีกเมื่อน้องชายเจ้าปัญหาไปกรอกหูแม่ว่าเมซูลเป็นแฟนของเขา แถมน้องสาวฝาแฝดก็ดันไปคุยกันจนติดแจ ระหว่างทานข้าวเย็นก็ถูกสอบสวนครั้งยิ่งใหญ่จากทั้งพ่อและแม่

แต่พอบอกไปว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งก็ทำสีหน้าผิดหวัง กว่าจะได้มีเวลาพักจริงๆ ก็ปาไปเกือบสี่ทุ่มครึ่ง ในระหว่างที่ล้มตัวนอนบนเตียงอย่างหมดสภาพเขาแอบหยิบนามบัตรที่เมซูลให้ในตอนอยู่ที่สวมสาธารณะ

‘ลองติดตัวไปดูดีกว่า’

เมื่อคิดจบไลท์ก็ลงมือเปิดโทรศัพท์กรอกอีเมลของเมซูลส่งข้อความไปหาเธอในทันที ใช้เวลายี่สิบนาทีกว่าที่หญิงสาวจะส่งตอบกลับมา

เมซูล:เป็นยังไงบ้าง?

ไลท์: ไปถึงวันแรกเขาก็บังคับให้สู้กับกรีดสีขาว

เมซูล: เป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะฉันหรือพวกรุ่นพี่ก็เคยโดนมาด้วยกันทั้งนั้น แนวคิดของศูนย์ฝึกอบรมคือการเน้นให้ปฏิบัติจริงได้รวดเร็วที่สุด แทนที่จะให้เรียนรู้ด้วยทฤษฏีสู้ให้ไปผิดพลาดแล้วเรียนรู้ข้อบกพร่องของตัวเองจะเรียบง่ายแล้วได้ผลมากกว่า

ไลท์: เข้าใจแล้ว แต่ศัตรูโหดไปนะ ถ้าไม่มีปืนฉันน่าจะล้มมันไม่ได้

เมซูล:นายชนะมันงั้นเหรอ? ก็ดีแล้ว แล้วได้อะไรกลับมาบ้าง

หลังจากนั้นไลท์ก็ส่งไฟล์ข้อมูลที่เขาเก็บเกี่ยวมาจากศูนย์อบรมให้เมซูลตรวจดู หญิงสาวใช้เวลาสักครู่ก่อนจะตอบกลับมา

เมซูล:ฉลาดเลือกดี ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ขีดเส้นมาถามได้

ไลท์:ขอบคุณ!

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันจนดึกเกี่ยวกับข้อมูลที่หามาได้ พอรู้สึกตัวอีกทีก็เช้าซะแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด